2. “ทำไมแม่ไม่หางานทำบ้าง?”
คนที่เคยทำงานมากว่าค่อนชีวิต และมีวิถีชีวิตที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างโดยตลอด ยิ่งเป็นงานที่มีความรับผิดชอบสูง รักงานที่ตนเองทำ แล้วต้องมาหยุดงานแบบไม่รู้อนาคตว่าจะได้กลับไปทำงานนั้นอีกเมื่อไร ทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องหยุด มันช่างเหงาเศร้า เคว้งคว้างเหมือนเป็นคนที่ไร้ความหมายและเจ็บปวดใจยิ่งนัก ดิฉันเข้าใจความรู้สึกทั้งมวลได้อย่างดียิ่ง เพราะดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นเช่นกัน เมื่อมามีลูกตอนแก่ (อายุ43) ร่างกายอ่อนแอลงทันทีหลังจากคลอดลูก คุณพ่อของลูกจึงอยากให้หยุดงาน เพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นแม่บ้านดูแลลูกให้ดี เพราะลูกชายคนโตทั้งสองเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว
แต่ด้วยความเคยชินกับการถูกสังคมกลืนกินจนหมดตัวหมดใจ มีชีวิตที่ถูกย้อมด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาเกือบครึ่งชีวิตโดยไม่รู้ตัว เมื่อต้องหยุดทุกสิ่งที่เคยได้รับอย่างกะทันหัน ดิฉันจึงงงๆกับชีวิตแม่บ้าน ทำตัวไม่ถูกไปพักใหญ่ อันที่จริงงานเลี้ยงดูลูก นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ ต้องดูแลฟูมฟักทั้งกายและใจของลูก ต้องทุ่มเททั้งจิตใจและวิญญาณในการดูแลอบรมบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของสังคมเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่สังคมเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆที่พยายามบอกตนเองอย่างนี้มาตลอด แต่กว่าจะทำใจให้ยอมรับได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร ดิฉันพยายามทำงานบ้าน และดูแลลูกชายทั้งสามด้วยตนเอง โดยไม่จ้างผู้ช่วย ทั้งๆที่อยู่ในฐานะที่แม้จะมีแม่บ้านและผู้ช่วยดูแลลูก ก็ทำได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ก็อยากทำงานบ้านเอง ด้วยคิดว่าจะให้ลูกทุกคนมีส่วนช่วยทำงานบ้าน เช่นล้างถ้วยจานชาม กวาดถูบ้าน รีดเสื้อผ้าของตนเอง เป็นต้น
ในช่วงแรกที่สอนให้ลูกหัดรีดเสื้อผ้าของตนเองนั้น เราย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ใกล้โรงเรียนของลูกชายคนรองและคนเล็ก บ้านใหม่มีบริเวณที่กว้างขวางมากขึ้น มีสวนและสนามหญ้าเล็กๆที่ต้องดูแลเพิ่มขึ้น ดิฉันยังคงไม่หาผู้ช่วยทำงานบ้านอีกเช่นเดิม อยากให้ลูกหัดช่วยตัวเองและแบ่งเบาภาระจากแม่ ขณะนั้นลูกชายคนโต แจ๊คอายุ 15 ปีและโจ๊กคนถัดมาอายุ13 ปี ดิฉันบอกลูกว่า แม่มีงานบ้านเพิ่มขึ้น เหนื่อยมากขึ้น อยากให้ลูกหัดรีดเสื้อผ้าของตนเอง เพื่อแม่จะได้เหนื่อยน้อยลง ลูกๆรับคำ ดิฉันจึงกางโต๊ะรีดผ้าแบบที่ต้องยืนรีด ให้ลูกถือเสื้อตนเองมาคนละหนึ่งตัว ดิฉันหยิบเสื้อของคุณพ่อมารีดให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วให้ลูกลองรีดของตนเอง พร้อมกับคอยบอกว่า ให้ทำอย่างไร ลูกก็ทำตามได้
สองวันต่อมา ลูกโจ๊กมาบอกว่า
“แม่! โจ๊กรีดเสื้อไม่เรียบ เพื่อนล้อว่าเสื้อยับ แม่รีดให้หน่อย”
“หนูก็รีดให้เรียบ” ดิฉันตอบลูกไปด้วยเสียงเรียบๆ
“ก็โจ๊กรีดแล้วแต่มันไม่เรียบ” ลูกตอบมา
“หนูก็พยายามรีดให้เรียบ” ดิฉันยืนยันคำเดิม
“งั้นโจ๊กไม่รีด” ลูกชายเริ่มโกรธ
“ก็แล้วแต่ อยากใส่เสื้อยับๆไปโรงเรียนก็ตามใจ เสื้อผ้าของหนู หนูใส่เองต้องรีดเอง” จบคำพูด ดิฉันก็เดินเลี่ยงไปทำงานอื่น
วันนั้นลูกประชดโดยการไม่รีดเสื้อไปโรงเรียน แต่หลังจากนั้นอีกสองวัน เขาพยายามหัดรีดเสื้อผ้า โดยขอให้ดิฉันสอนให้ใหม่อีกครั้ง และไม่เคยร้องขอให้แม่ทำให้อีกเลย แถมยังช่วยรีดเสื้อผ้าให้คุณพ่อเป็นบางครั้ง เมื่อลูกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และต้องไปอยู่หอพัก ลูกบอกว่าพวกเพื่อนๆซักรีดเสื้อผ้าตัวเองไม่เป็น บางคนก็มาให้ลูกสอนให้ บางคนก็ต้องจ้างคนอื่นซักรีดให้ บางคนก็ใส่เสื้อยับๆไปเรียน ดิฉันคิดว่าการสอนลูกให้ช่วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็กอยู่นั้น ในช่วงแรกลูกจะต่อต้านและรู้สึกเหมือนแม่ใจร้าย คุณต้องไม่ใจอ่อนและคิดว่าลูกยังเล็กอยู่ ทำให้เขาไปก่อน เมื่อลูกโตกว่านี้แล้วค่อยสอน พยายามคิดไว้เสมอว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ถ้าไม่ดัดเสียในตอนนี้ เมื่อพวกเขาโตกว่านี้แล้ว เขาจะดื้อจนคุณดัดไม่ได้
อย่างเรื่องการให้เงินลูกก็เช่นกัน เนื่องจากลูกโตแล้ว ต้องซื้อข้าวกลางวันกินเองที่โรงเรียน ดิฉันก็จะสอบถามลูกว่า ค่ารถ ค่าอาหารกลางวัน และค่าขนมเขาต้องใช้เงินกันวันละเท่าไร ดิฉันจะจ่ายตามที่ใช้จริง แล้วบวกเพิ่มอีกเล็กน้อย ในช่วงเวลานั้น(พ.ศ.2543) ลูกชายคนโตเรียนชั้น ม.4 ที่โรงเรียนย่านลาดพร้าว ต้องขึ้นรถสองต่อจึงจะถึงโรงเรียน เขาจะได้เงินไปโรงเรียนวันละ 60 บาท ส่วนโจ๊กลูกคนรองเรียนชั้น ม.2 ที่โรงเรียนใกล้บ้าน ไม่มีค่ารถ เพราะขี่จักรยานไปโรงเรียน จึงได้เงินไปวันละ 40 บาท ถ้าลูกจะซื้ออุปกรณ์การเรียนก็มาขอเพิ่ม ดิฉันจะซักถามรายละเอียด เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น ก็จะจ่ายเงินเพิ่มให้ แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องใดไม่จำเป็น อย่างเช่นลูกอยากมีกล่องดินสอ หรือกระเป๋าราคาแพงๆอย่างเพื่อนๆ ดิฉันก็จะไม่จ่ายเงินเพิ่มให้
เหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติเป็นเวลาเกือบปี ลูกโจ๊กเริ่มเรียกร้องให้ดิฉันจ่ายเงินเพิ่มให้ครั้งละสิบบาทบ้าง ยี่สิบหรือสามสิบบาทบ้าง ดิฉันถามลูกทุกครั้งที่ขอเพิ่มว่าจะเอาเงินไปทำอะไร ลูกบอกว่าเพื่อนได้เงินไปโรงเรียนเยอะกว่าเขา เขาควรจะได้เงินเพิ่ม ดิฉันถามเขาว่าแล้วเงินที่แม่ให้นั้น พอเป็นค่าข้าวและขนมหรือเปล่า เขาบอกว่าพอค่าอาหาร แต่ไม่มีเงินซื้อของอื่น ดิฉันถามลูกว่าจะเอาเงินไปซื้ออะไรบ้าง เขาไม่ยอมตอบ เมื่อไม่มีคำตอบเขาก็ไม่ได้เงินเพิ่มตามที่เรียกร้อง
เช้าวันหนึ่งเป็นวันเสาร์ นายโจ๊กจะไปทำรายงานบ้านเพื่อน เขาขอให้ดิฉันไปส่ง ดิฉันก็ตามใจลูกเพราะบ้านเพื่อนอยู่ไม่ไกลกันนัก ในขณะที่รถติดไฟจราจรที่สามแยกใกล้บ้าน ลูกก็พูดขึ้นด้วยเสียงห้วนๆว่า
“แม่ ทำไมแม่ไม่หางานทำบ้าง”
“อ้าว! หนูไม่เห็นว่าแม่ทำงานเหรอ แม่ก็ทำงานบ้านไง”
“ไม่ใช่โจ๊กหมายถึงให้แม่หางานทำนอกบ้าน เหมือนแม่ของปอมไง” ลูกเอ่ยชื่อเพื่อนคนหนึ่ง (นามสมมติ)
“ทำไมล่ะ” ดิฉันถามลูก ชักงงๆว่าอยู่ดีๆทำไมลูกมาพูดเรื่องนี้
“ก็พ่อแม่เพื่อนโจ๊กเขาทำงานทั้งสองคน เขาเลยมีเงินให้ลูกเขาเอาไปโรงเรียนวันละร้อยบาท แต่แม่ปล่อยให้ป๊าทำงานคนเดียว บ้านเราเลยจน แม่ถึงมีเงินให้โจ๊กไปแค่วันละสี่สิบบาท เวลาโจ๊กอยากได้อะไร โจ๊กก็ไม่มีตังค์ไปซื้อเหมือนเพื่อนๆ” ลูกพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธปนน้อยใจ ดิฉันจึงถามลูกว่า
“อ้อ! พ่อแม่เพื่อนหนูเขาทำงานได้เงินเดือนละเท่าไรล่ะ”
ลูกตอบเสียงดังฟังชัดว่า
“พ่อเขาทำงานได้เดือนละห้าหมื่น แม่เขาก็ได้เดือนละห้าหมื่น สองคนรวมกันเป็นแสน เขาเลยมีเงินให้ลูกเขาวันละร้อย แต่บ้านเราป๊าทำงานคนเดียว เพราะแม่ไม่ยอมช่วยทำงาน แม่เลยไม่ค่อยมีตังค์ให้ลูกๆ”
“ทำไมหนูรู้ล่ะว่าพ่อแม่เพื่อนทำงานได้เงินเดือนคนละห้าหมื่น พ่อแม่เขาบอกหนูเหรอ” ดิฉันชักสงสัย
“เปล่า ไอ้ปอมบอก โจ๊กเคยถามว่าทำไมเขารู้ เขาบอกว่า พ่อเขาเคยบอกว่า พ่อมีเงินเยอะแยะใช้ไม่หมด ให้ลูกเอาไปใช้เยอะๆเลย”
“อ้อ! แล้วโจ๊กรู้มั้ยว่าป๊าหนูทำงานได้เดือนละเท่าไร”
“ไม่รู้” ลูกตอบเสียงสะบัด
“งั้นแม่จะบอกให้ ธุรกิจบ้านเราที่ป๊าทำอยู่ มีรายได้เดือนละสิบล้านบาท” ดิฉันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ลูกนิ่งเงียบ ดิฉันพูดต่อพร้อมกับเคลื่อนรถ เมื่อได้สัญญาณไฟเขียว “แล้วหนูรู้มั้ยตอนที่แม่ทำงานช่วยป๊าหนูอยู่นั้น แม่ทำงานได้เงินเท่าไร” ลูกยังคงนิ่งไม่ตอบ ดิฉันจึงพูดต่อไปอย่างช้าๆว่า
“ทุกครั้งที่แม่ออกไปติดต่องาน ถ้าคุยงานกับลูกค้าหนึ่งชั่วโมง แม่จะเซ็นสัญญาขายมาอย่างน้อยครั้งละหนึ่งล้านบาท แต่ถ้าคุยงานสองหรือสามชั่วโมง แม่จะได้ออร์เดอร์มาครั้งละสามถึงห้าล้านบาท เดือนหนึ่งๆแม่ทำรายได้ให้บริษัทของเราประมาณเจ็ดแปดล้านบาท ไม่ใช่แค่เดือนละแสนนะลูก”
ดิฉันหยุดพูดไปชั่วครู่เพื่อดูปฏิกิริยาของลูก เมื่อเห็นว่าลูกนิ่งสงบดีอยู่ จึงกล่าวต่อไปด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า
“แล้วลูกรู้มั้ยว่า ทำไมแม่จึงทิ้งเงินเป็นล้าน เพื่อมาเป็นแค่แม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง เลี้ยงลูกด้วยตัวเองและทำงานบ้านทุกอย่าง เพราะแม่รักลูกมากไงล่ะ คุณภาพของลูกสำคัญกว่าเงินล้านมากนัก เลี้ยงลูกด้วยเงินน่ะมันง่ายนะลูก แค่ให้เงินลูกตามที่เรียกร้อง แม่ก็หยิบให้ได้อย่างสบาย โดยไม่เดือดร้อน พ่อแม่เกือบทุกคนก็กำลังทำอย่างนี้กับลูกของตนอยู่ และทุกคนก็อ้างกับตัวเองว่าให้เพราะความรักลูก และเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อแม่ที่จะต้องให้ แต่สำหรับแม่แล้วแม่คิดว่า ถ้ารักลูกต้องไม่ตามใจลูกในทางที่ผิด ลูกอายุยังน้อย ยังเรียนหนังสืออยู่ หาเงินใช้เองไม่ได้ จึงควรใช้เงินเท่าที่จำเป็นเท่านั้น” ดิฉันหยุดพูดและชำเลืองดูลูก เมื่อเห็นว่าลูกกำลังคิดตามในสิ่งที่ดิฉันกำลังพูดให้ฟังอย่างตั้งใจ จึงพูดต่อไปว่า
“แม่ถามจริงๆเถอะลูก ถ้าหนูได้เงินวันละหนึ่งร้อยบาท เหมือนที่เพื่อนหนูได้ หนูจะเอาไปซื้ออะไรบ้าง”
“ก็ซื้อของที่โจ๊กอยากได้” ลูกตอบมาด้วยเสียงเบาๆ
“ก็ของอะไรบ้างล่ะที่หนูอยากได้นะ ไหนลองยกตัวอย่างให้แม่ฟังหน่อยซิ” ลูกนิ่งไม่ตอบ ดิฉันรอฟังคำตอบจากลูกชั่วครู่ เมื่อไม่ได้ยินเสียงพูด จึงกล่าวต่อไปว่า
“หนูรู้ใช่มั้ยว่าของที่หนูอยากได้นั่นนะ มันเกินความจำเป็นและไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น แถมยังเป็นของที่เอามาเล่นสนุกอวดกันเท่านั้น ถ้าแม่ให้เงินหนูไปซื้อ หนูก็จะสนุกกับมันอยู่สักพัก แล้วหนูก็เบื่อ จากนั้นหนูก็จะขอเงินไปซื้อของอื่นๆที่หนูชอบอีก แล้วก็เบื่ออีก เดี๋ยวกลับบ้านหนูลองไปเปิดตู้ใส่ของเล่นที่หนูกับแจ๊คขอให้ป๊าซื้อให้ แล้วลองเอาออกมาดูซิว่า หนูอยากจะเล่นของชิ้นไหนอีกสักครั้งสองครั้งมั้ย ถ้าหนูไม่อยากเล่น ให้ถามตัวเองดูว่า ทำไมถึงไม่อยากเล่นอีก เพราะอะไร”
“แหมแม่! ก็ของมันเก่าแล้ว มันน่าเบื่อจะตายไป ใครจะไปอยากเล่น” ลูกพูดสวนมาอย่างลืมตัว
“ก็นั่นนะซิ! ใครๆก็อยากได้ของใหม่ๆ เพราะของใหม่มันน่าตื่นเต้น ของเก่ามันน่าเบื่อจะตายไป แล้วหนูคิดว่าของใหม่มันจะทำให้หนูตื่นเต้นอยู่ได้นานแค่ไหน สนุกได้กี่วัน สองวันหรือสามวัน หรือหนึ่งอาทิตย์ หรือหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้นของที่หนูเบื่อแล้วหนูจะทำยังไงกับมัน ไหนลองบอกแม่ซิ”
ลูกนิ่งคิด ไม่ตอบ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“เอาอย่างนี้นะ แม่จะเปลี่ยนจากการให้เงินค่าอาหารรายวันเป็นรายอาทิตย์ ตอนนี้หนูได้วันละสี่สิบบาท อาทิตย์หนึ่งเรียนห้าวันก็ได้เงินสองร้อยบาท ตกลงมั้ย”
“แม่เพิ่มให้โจ๊กหน่อยซิเป็นอาทิตย์ละสามร้อยบาทก็ยังดี” ลูกขอต่อรอง
“หนูทำความดีอะไรเพิ่มขึ้นละ แม่จึงสมควรให้หนูเพิ่มอีกหนึ่งร้อยบาท”
ดิฉันถามยิ้มๆ ลูกนิ่งอึ้งไปสักครู่แล้วพูดว่า
“ก็โจ๊กรีดเสื้อผ้าเอง ล้างชามข้าวเอง บางทีก็ช่วยแม่กวาดถูบ้าน แม่น่าจะเพิ่มเงินให้โจ๊ก”
“พี่แจ๊คเขาก็ทำทุกอย่างเหมือนหนู แต่เขาไม่เห็นมาขอเงินแม่เพิ่มเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าหนูสอบได้เกรดเกินสองจุดห้า แม่จะเพิ่มให้อีกวันละสิบบาท เป็นอาทิตย์ละสองร้อยห้าสิบบาท ตกลงมั้ย”
“ถ้าเกินสองจุดห้าแม่เพิ่มเป็นสามร้อยบาทไม่ได้เหรอ” ลูกต่อรองราวกับกำลังซื้อขายของกับแม่
“ถ้าอยากได้สามร้อยก็ต้องได้เกรดสามขึ้น เอามั้ย” ดิฉันต่อรองกลับไปตามวิสัยนักธุรกิจเก่า และความเป็นคุณแม่เหนียวหนืด
“งั้นโจ๊กเอาสองร้อยห้าสิบบาทก็ได้”
“แต่มีข้อแม้อีกนะ ถ้าหนูสอบเกรดตกจากสองจุดห้า เงินอาทิตย์จะหดกลับไปเป็นสองร้อยบาทเหมือนเดิม”
“โอ้โฮแม่! มีอย่างนี้ด้วยเหรอ ต้องให้แล้วให้เลยซิ มีการลดเงินอีกด้วย” ลูกชายร้องเสียงลั่น
“อ้อแน่นอน มีเพิ่มได้ก็ต้องมีลดได้ หนูก็ตั้งใจเรียนซิ จะได้ไม่ถูกลดเงิน ดูอย่างพี่แจ๊คซิ เขาตั้งใจเรียน ไม่ขี้เกียจ เรียนได้เกรดสูงๆเลยได้รางวัลพิเศษบ่อยๆ ถ้าหนูขยันเรียนแม่เชื่อว่าหนูต้องทำได้ดีกว่าตอนนี้แน่ๆ เพราะหนูเป็นเด็กฉลาด เสียแต่มีตัวขี้เกียจเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ก็ด้าย….คร้าบ” ลูกรับคำเสียงยานแบบยอมจำนน ก็พอดีรถมาถึงปากซอย ทางเข้าบ้านเพื่อนลูก ดิฉันจอดรถให้ลูกลงเดินเข้าซอยไปเอง เพราะบ้านเพื่อนอยู่ไม่ลึกจากปากซอยนัก
ในสัปดาห์แรกที่ลูกได้เงินเป็นก้อน ปรากฏว่าเงินหมดภายในสามวัน ลูกโจ๊กมาบอกว่าใช้เงินหมดแล้วจะขอเพิ่ม เพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกลางวันกินในวันพฤหัสฯและวันศุกร์ ดิฉันไม่ถามลูกว่าเอาเงินไปซื้ออะไร แต่ไม่ให้เงิน และบอกลูกให้เอาข้าวที่บ้านใส่กล่องไปกินที่โรงเรียน ลูกบอกว่าอายเพื่อนทำไม่ได้ ดิฉันจึงบอกลูกว่าถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องอดข้าวกลางวัน ลูกเซ้าซี้อยู่สองสามครั้ง ดิฉันยืนยันคำเดิมอย่างใจแข็งที่จะไม่ให้เงินเพิ่ม ลูกยอมจำนนเอานมกล่องไปกินแทนข้าวในสองวันที่เหลือ
ตั้งแต่นั้นมาลูกไม่เคยมาขอเงินเพิ่มเพราะใช้หมดก่อนเวลา คงรู้ว่าถึงอย่างไรแม่ก็คงไม่เพิ่มให้แน่ จึงพยายามใช้เงินให้ครบได้ในสัปดาห์ ภายหลังเมื่อเขาขึ้นเรียนชั้น ม.4 ดิฉันเปลี่ยนการให้เงินค่าอาหารกลางวันเป็นรายเดือนแก่ลูกทั้งสองคน เพื่อจะฝึกลูกให้รู้จักควบคุมการใช้เงินของตนเองในแต่ละเดือน โดยจำนวนเงินที่ให้ก็ปรับตามความเหมาะสม การเพิ่มพิเศษก็ยังคงใช้ผลการเรียนเป็นตัวตัดสิน ก็ปรากฏว่าลูกทั้งสองคนทำได้ดีพอสมควร เพราะเรียนได้เกรดค่อนข้างดีทั้งคู่ ไม่เคยมาขอเพิ่มเพราะใช้เงินไม่ชนเดือน แถมบางเดือนยังเหลือเงินไว้หยอดกระปุกอีกด้วย
ลูกโจ๊กก็ไม่เคยบอกให้แม่ไปหางานทำนอกบ้านอีกเลย แม้เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เมื่อลูกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยและต้องไปอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ดิฉันจ่ายเงินให้ลูกเป็นรายสัปดาห์ ลูกสงสัยว่าทำไมแม่ไม่จ่ายเงินเป็นรายเดือนเหมือนตอนเขาอยู่ชั้นมัธยม ทั้งๆที่เขาโตมากพอที่จะรับผิดชอบได้มากขึ้นแล้ว ดิฉันบอกลูกว่า เพราะลูกไปอยู่หอพัก อยู่ไกลพ่อแม่ ถ้าแม่ให้เงินเป็นรายเดือน ลูกก็อาจจะกลับบ้านเดือนละหนึ่งครั้ง แต่แม่อยากเห็นหน้าลูกบ่อยๆเพราะคิดถึง จึงอยากให้ลูกกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ พร้อมกับมารับเงินไปด้วย ลูกยอมรับในเหตุผล และปฏิบัติตามเงื่อนไขของแม่โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
อันที่จริงเรื่องการให้เงินลูกเป็นรายเดือนนั้น ดิฉันได้รับฟังจากคุณแม่หลายท่านว่า พอลูกไปอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน ใช้โทรศัพท์กลับมาขอเงิน บอกแต่ว่าไม่ว่างกลับ เรียนหนัก คุณแม่ทั้งหลายไม่ถามรายละเอียด พอลูกบอกแบบนั้นก็เชื่อ รีบๆส่งเงินไป เพราะกลัวลูกจะลำบาก สุดท้ายบางที 3 เดือนไม่กลับบ้านก็มี บางรายลูกขอเงินเพิ่มด้วยการอ้างสารพัด กว่าจะรู้ความจริง ลูกมีเมียไปแล้ว คราวนี้ก็ยั้งไม่อยู่ ทะเลาะกันไปใหญ่โต เพราะเกิดปัญหากลืนไม่เข้า คายไม่ออก ดิฉันรับฟังปัญหาพวกนี้แล้ว เลยต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยการให้เงินลูกเป็นรายสัปดาห์ แต่ไม่พูดเรื่องเหล่านี้ให้ลูกฟัง อ้างความรักอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
Leave a Reply