8. ผจญกับความเจ็บปวด
เมื่อพูดถึงความเจ็บปวด จะบอกว่าดิฉันไม่เจ็บหรือปวดน้อยกว่าคนอื่นก็ไม่ใช่ กลัวเจ็บมั้ย ก็กลัวค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการผ่าตัด จะมีอาการระคายเคืองที่ลำคอ ทำให้ต้องไอหรือจามอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ็บปวดบาดแผล อันเกิดจากการผ่าตัดนั้นอย่างสุดที่จะทนทาน ทำไมดิฉันรู้ ก็เพราะเคยมีประสบการณ์ค่ะ เมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว ดิฉันต้องผ่าตัดไตออกไปข้างหนึ่ง หลังการผ่าตัดมีอาการระคายเคืองที่คอ เกิดการไอหรือจามอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง การไอหรือจามทุกครั้ง ทำให้แผลที่เพิ่งผ่าตัดมาใหม่ๆเจ็บปวดทรมานมาก ยังจำได้ดีว่าปวดจนน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง เอามือกุมท้องจนตัวงอ ตอนนั้นดิฉันใช้ยาอมสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งมาอมไว้ ก็พอช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองได้ระดับหนึ่ง ช่วยโฆษณายาให้หน่อย เพราะเป็นยาโบราณของคนไทยเราเอง คือ ยาตราตะขาบห้าตัวค่ะ คิดว่าเกือบทุกคนคงรู้จักดี เวลาอมหรือเคี้ยวกลืนก็สัก 5-7 เม็ด จะรู้สึกชุ่มคอ อาการระคายเคืองแทบจะหายไปเลยเชียว ญาติพี่น้องใครต้องผ่าตัด แนะนำได้ค่ะ ยาดีไม่มีพิษภัย
เมื่อต้องมาผ่าตัดครั้งนี้ ความเข็ดขยาดต่อการไอหรือจามหลังผ่าตัดกลับมาอีกครั้ง ดิฉันจึงเรียนถามคุณหมอก่อนจะเข้าห้องผ่าตัดว่า หลังผ่าตัดจะไอหรือจามมั้ย คุณหมอบอกว่า ก็ต้องมีอยู่แล้ว เพราะการผ่าตัด ต้องสูบลมเข้าไปในช่องท้อง เพื่อให้อวัยวะต่างๆลอยตัว ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการผ่าตัด และลมเหล่านี้จะไปค้างอยู่ในปอด ด้วยกลไกการทำงานของร่างกาย ปอดย่อมต้องขับสิ่งแปลกปลอมที่ติดเข้ามากับลมนั้นออกไป ดังนั้นจึงทำให้เกิดการระคายเคืองที่จะต้องไอหรือจาม ดิฉันจึงเรียนถามคุณหมอว่า แล้วต้องทำอย่างไร คุณหมอตอบว่า ก็ต้องเอามือสองข้างประสานกัน กุมไว้ที่หน้าอกและงอตัวลง ครั้งนี้หมอทำท่าทางประกอบด้วย ดิฉันบอกหมอว่า เคยทำแล้วตอนผ่าตัดไต อาการปวดไม่ลดลง แต่ลองอมยาสมุนไพรไทยชนิดหนึ่ง ก็พอช่วยได้ระดับหนึ่ง เลยจะขออนุญาตนำยาอมสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งติดตัวไปด้วย เพื่อใช้อมลดอาการระคายเคืองในคอ คุณหมออนุญาตค่ะ แต่ห้ามนำไปใช้ในห้องผ่าตัด ต้องใช้หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันตกลงกันได้ด้วยดี…. งวดนี้ดิฉันเตรียมยาอมสมุนไพรไว้สองชนิดค่ะ คือ ยาอมเจ้าเก่าตราตะขาบห้าตัว กับ ยาอมที่เป็นยาหอม ชื่อว่า ยาหอมเทพจิตรตราห้าม้า แต่ยาหอมเม็ดนี้จะแรงมาก อมทีละเม็ดเดียวก็พอค่ะ ไม่งั้นหากอมหลายเม็ด จะเย็นจนขึ้นถึงสมองเชียวล่ะ
หลังผ่าตัดผ่านไป 3 วัน เมื่อหมอให้หยุดยาบล็อคหลัง อาการระคายเคืองในลำคอเริ่มปรากฏ พอไอทุกครั้ง ร่างกายสั่นสะเทือน ก็จะไปกระทบบาดแผลทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เจ็บปวดมากๆ น้ำตาร่วงเลยล่ะ ทรมานจริงๆ อันที่จริงก่อนที่จะไอหรือจาม จะมีอาการระคายเคืองที่คอนำมาก่อน จากนั้นก็จะไออย่างแรง เพื่อเค้นเอาสิ่งแปลกปลอมที่คั่งค้างอยู่ในปอดให้หลุดออก ในช่วงที่เริ่มปรากฏอาการ ดิฉันก็อาราธนาพ่อแม่ครูอาจารย์ตั้งหลายองค์ แล้วแต่จะนึกได้…..หลวงปู่…หลวงพ่อ…ช่วยลูกด้วย ขออย่าให้ไอเลย แล้วรีบลนลานคว้าเอายาอมที่เตรียมไว้ข้างเตียงตลอดเวลาขึ้นมาเคี้ยวๆ รีบกลืนลงคอ หมายจะให้ได้ผลเร็วๆ ซึ่งบางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล ดังนั้นทุกครั้งที่ปรากฏอาการ สิ่งหนึ่งที่จิตใจไม่เคยลืมคือ อาราธนาขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย แล้วรีบเคี้ยวกลืนยาอมไปด้วย ถึงกระนั้น ก็ยังคงเกิดความเจ็บปวดทรมานเพราะการไอหรือจามอยู่ดี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลสองวัน คือ เช้ามืดของวันพุธที่ 10 เวลาประมาณตีสี่ ดิฉันตื่นแล้ว นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนเตียงได้พักใหญ่ๆ รู้สึกปวดหลัง จึงเอนกายลงนอน ด้วยการไขเตียงให้เอนราบลง ในช่วงขณะนั้นเริ่มมีอาการระคายเคืองในลำคอ ดิฉันรู้ดีว่า ต่อจากนี้จะคือความเจ็บปวดแสนสาหัส ในใจก็ประหวัดไปถึงพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆองค์ เตรียมอาราธนาเหมือนเคย แต่แล้วก็คิดว่าถึงจะขอให้อย่าไอเลยเหมือนทุกครั้ง หลวงปู่ หลวงพ่อ ก็ช่วยเราไม่ได้ ถ้ามันจะต้องไอหรือจาม ก็เป็นเพราะระบบของร่างกาย ไม่มีใครมาช่วยเราได้ ถ้าอย่างนั้นก็…ยอมรับเถอะ…อยากจะไอก็ให้ไอไป อยากจะเจ็บก็ให้เจ็บไป อยากรู้เหมือนกันว่า จะเจ็บปวดมากน้อยขนาดไหน ถ้าจะต้องเจ็บปวดจนถึงตาย ก็ยอมรับไป คิดได้ดังนี้จึงนอนนิ่งๆ ทำใจนิ่งๆ จิตใจยอมรับในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น อาการไอปรากฏขึ้นจริงๆค่ะ แต่..เอ! ทำไมไม่เห็นเจ็บเหมือนทุกครั้งละ ก็พอทนได้อยู่นะ ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่าอย่างนี้ การไอใน 2-3 ครั้งนี้ แทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดบาดแผลทั้งหลายเลย จากนั้นเพียงชั่วครู่ ก็ปรากฏว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ดิฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเล็กๆ เกิดขึ้นที่ช่องท้องด้านซ้าย แล้วก็ดับวูบไป แล้วก็มีความปวดใหม่เกิดขึ้นต่อมา แล้วก็ดับหายไป บางครั้งก็ปวดมาก บางครั้งก็ปวดน้อย เกิดขึ้นให้ได้รู้ แล้วก็หายไป เกิดปวด แล้วก็หายไป เป็นอย่างนี้สามสี่ครั้งในแต่ละที่ๆไม่ซ้ำกัน อาการปวดมากหรือน้อย ปวดนานหรือแป๊บเดียวก็ต่างกันไปในแต่ละที่ ต่อจากนั้นความเจ็บปวดก็มาปรากฏที่ช่องท้องส่วนกลาง เกิดแล้วดับหายไป เกิดปวดที่ใหม่ แล้วดับหายไป ต่อมาความเจ็บปวดนั้น ก็ย้ายมาที่ช่องท้องด้านขวา ปรากฏอาการการเกิดดับของความเจ็บปวด ในลักษณาการเดียวกันกับทั้งสองแห่งที่ผ่านมา จิตอุทานออกมาว่า…เอ๊ะ! ความเจ็บปวดเป็นสิ่งเกิดดับนี่….. โอ๊ย! มีอย่างนี้ด้วยหรือ มีอย่างนี้ด้วยหรือ…. จำได้ว่าตอนนั้นนึกถึงพระพุทธเจ้าเลย ยกมือขึ้นพนมไหว้ท่วมหัว น้ำตาคลอ แต่ในใจยิ้ม ทำให้ปากยิ้มไปด้วย เรียกว่ายิ้มทั้งใจและกาย สำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า อย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ ต้องบอกว่า ยิ้มทั้งน้ำตา มันปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นจิตใจก็โล่งโปร่งเบาสบาย ร่างกายก็พลอยเบาสบายไปด้วย ไม่มีความกลัวอาการเจ็บปวดหลงเหลืออยู่เลย เพราะจิตใจได้รับรู้แล้วว่า ความเจ็บปวดหรือเวทนาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรคงทนอยู่ได้ แต่ที่ผ่านมาเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง เพราะมีจิตใจที่ไม่ยอมรับ และไปจับเอาความรู้สึกทางกายไว้ จึงไปขยายความเจ็บปวดให้มีกำลังแรงขึ้น อันที่จริงความเจ็บปวดเป็นเรื่องของกาย กายส่วนกาย จิตส่วนจิต ถ้าจิตไม่ไปจับเอาความรู้สึกที่กาย ก็จะเจ็บได้เท่าที่เป็น และไม่นานก็จะหายไป ไม่คงทนอยู่ได้ เพราะความไม่เที่ยงของทุกสิ่งนั่นเอง
ผลจากการเกิดปัญญาเห็นสภาวะการเกิดดับของเวทนาในครั้งนั้น ดิฉันมีความสุขไปอีกหลายวัน และจากนั้นมาจิตใจก็ยอมรับในทุกๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในแง่มุมใด จิตก็น้อมไปรับรู้ว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวรอยู่ได้ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นเช่นนี้ตลอดมา
Leave a Reply