7. เป็นคนไข้ที่ว่าง่ายและอดทน
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน 2561 เวลาบ่ายๆ ถูกย้ายจากห้องไอซียู มายังห้องพักฟื้นชั้น 11 ของตึก พอเปลี่ยนจากเตียงรถเข็นมานอนเตียงในห้องแล้ว ลูกๆซึ่งรอกันอยู่ ก็มารุมล้อมถามอาการ ดิฉันยังง่วงซึมอยู่ด้วยฤทธิ์ยา ก็คุยไปไม่กี่คำ หลับไปอีก ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น จึงนอนนิ่งๆบนเตียง ไม่อยากขยับตัวเลย เพราะความเจ็บปวดนั้น สักครู่คุณพยาบาลก็เข้ามาวัดความดันโลหิต กระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย เสร็จแล้วเธอก็บอกให้ดิฉันพยายามพลิกตัวซ้ายขวา อย่านอนนิ่งๆเฉยๆ ดิฉันถามเธอว่าพลิกตัวทำไม เธอบอกว่าเพื่อให้ลำไส้ที่ผ่าตัดไปนั้นได้เคลื่อนไหว จะได้ไม่เป็นพังผืด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขับถ่าย แล้วเธอก็เข็นรถวัดความดันออกจากห้องไป
ได้ยินดังนั้น จะรอช้าอยู่ใย ดิฉันก็พยายามพลิกตัวทันที โดยมีลูกมาช่วยประคอง ตอนแรกก็พลิกไปข้างซ้ายก่อน โอ้ย…เจ็บจัง! (ร้องในใจ ไม่ให้ลูกๆได้ยิน) แต่ก็ทนเอา พลิกตัวแล้วประคองตัวเองให้นอนตะแคงไม่ได้ จึงบอกให้ลูกเอาหมอนอีกใบหนึ่งมาหนุนหลังไว้ อ้าว! ติดอะไรหว่า ไม่รู้อะไร ตุงๆอยู่ตรงหน้าท้องด้านซ้ายของสะดือ คลำดูเห็นเป็นถุงหน้าท้อง เป็นพลาสติกใส มีอะไรเป็นลูกกลมๆใหญ่ๆสีแดงชมพู อยู่ในถุงนั้นด้วย และยังแถมมาด้วยถุงใส่น้ำปัสสาวะ ที่มีท่อต่อมาจากท่อปัสสาวะของร่างกาย พอมาคลำดูตรงหน้าท้องด้านขวาของสะดือ มีลูกอะไรก็ไม่รู้ เป็นกระเปาะพลาสติก หน้าตาเหมือนลูกระเบิดขนาดเล็ก มีน้ำสีแดงๆ คล้ำๆ ค่อนข้างข้นเหนียวอยู่ในกระเปาะนั้น พอเริ่มปวดมาก ก็ให้ลูกมาช่วยพลิกตัวกลับมานอนหงาย สบายขึ้น หลับไปอีกงีบใหญ่ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เจ็บแผลมากขึ้น แต่ยังทนได้ ความเจ็บยังอยู่ที่ระดับไม่เกิน 5 คะแนน มองไปที่ตรงกลางลำตัว มีผ้าพันแผลปิดยาวตั้งแต่ลิ้นปี่ถึงหัวเหน่า ยังไม่รู้ว่าแผลเป็นยังไง แต่ได้รู้จากคุณหมอตั้งแต่ก่อนเข้าผ่าตัดแล้วว่า ต้องเปิดแผลตรงกลางลำตัวยาวมาก เพราะต้องผ่าตัดถึงสามแห่ง คือที่ลำไส้ใหญ่สองแห่งและที่ตับ การผ่าตัดคือตัดเนื้อร้ายที่ตับก่อน เสร็จแล้วจึงมาตัดก้อนเนื้อร้ายที่ลำไส้ใหญ่ด้านขวาและส่วนปลายลำไส้ด้านซ้าย
หลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว ดิฉันก็พยายามพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง พอเริ่มปวดแผล ก็จะเปลี่ยนท่า โดยมีลูกๆคอยช่วยพลิกตัวให้ เวลาที่นอนหงาย ดิฉันก็ยังพยายามยกแขนสองข้าง กระดกปลายเท้า และยืดหดขา อย่าถามค่ะว่า….ปวดมั้ย? ก็ปวดทุกขยับแหละ แต่เพราะเป็นคำแนะนำของพยาบาล ต้องทำตามค่ะ ดิฉันเชื่อว่า พวกเธอต้องมีประสบการณ์เรื่องการดูแลคนไข้หลังผ่าตัดมาอย่างช่ำชอง สิ่งที่พวกเธอแนะนำ ต้องเป็นประโยชน์ต่อคนไข้แน่นอน ตลอดวันและคืนนั้น ทุกครั้งที่ตื่นจากฤทธิ์ยา ดิฉันจะพยายามเปลี่ยนท่าทุกครั้งไป คุณพยาบาลก็เข้ามาเจอหลายครั้งที่พลิกตัวเปลี่ยนท่า ต่างก็พากันให้กำลังใจเชียร์ให้พยายามพลิกตัวบ่อยๆ
เวลาบ่ายแก่ๆ คุณหมอเจ้าของไข้ที่เป็นผู้ผ่าตัดลำไส้ เข้ามาดูอาการ ดิฉันก็ถามคุณหมอว่า ได้ทำอะไรไปบ้างในห้องผ่าตัด คุณหมอว่า ตัดก้อนเนื้อที่ตับขนาด 1 นิ้วไปก้อนหนึ่ง และตัดอีกก้อนเล็กมากที่กำลังก่อตัว แต่ไม่ทราบยังมีรากเหลืออยู่มั้ย ควานหาไม่เจอ ส่วนอีกแห่งที่ตับ คุณหมอ….ไม่ได้ทำอะไร เพราะไม่แน่ใจเนื่องจากเพิ่งเป็นสีคล้ำๆเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร หากเป็นเนื้อร้ายจริง เวลาให้ยาคีโมก็จะช่วยได้ ส่วนต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งด้วยนั้น ไม่ได้ทำอะไร เพราะยังไม่มีอะไรมาก และที่ลำไส้ตัดต่อไปสองแห่ง ดิฉันถามว่าตัดไปยาวแค่ไหน คุณหมอว่าแห่งละประมาณ 30 เซนต์ ก้อนเนื้อร้ายที่อยู่ในส่วนของลำไส้ใหญ่ด้านขวา ก้อนโตมากปิดกั้นอุจจาระไว้ เมื่อตัดเนื้อออก อุจจาระที่คั่งค้างอยู่นั้นก็ทะลักออกมา มีเยอะมาก และกลิ่นก็เหม็นมาก(สงสารคุณหมอและพวกพยาบาลจัง ที่ต้องอดทนต่อกลิ่นเน่าเหม็นนั้น) ส่วนก้อนเนื้อที่อยู่ใกล้รูทวารยังเล็กอยู่ แต่ก็ต้องตัดออกให้หมด นอกนั้นก็มีการเจาะหน้าท้องเพื่อดึงลำไส้ออกมาให้เป็นทางออกของอุจจาระลงในถุงหน้าท้อง และเย็บปิดรูทวาร ช่วงนี้ยังต้องสวนปัสสาวะอยู่ เพราะคนไข้ยังลุกเดินไม่ได้ ส่วนอาหารก็ให้กินน้ำซุปไปก่อน ถ้าเจ็บแผลมากขอให้บอกพยาบาลเพื่อฉีดยาแก้ปวดให้ ไม่ต้องทนเจ็บ ยาบล็อคหลังยังคงไว้อยู่จนครบสามวัน จึงจะถอดออกให้ ก่อนออกจากห้องไป คุณหมอทราบจากรายงานว่าดิฉันพลิกตัวได้แล้ว ก็สั่งว่า… พลิกตัวได้แล้วใช่มั้ย พรุ่งนี้ให้ลุกขึ้นมานั่งห้อยขา ดิฉันก็รับคำโดยไม่ถามอะไรเลย เพราะตั้งใจไว้แล้ว ถ้าหมอสั่งให้ทำอะไรก็จะทำตามนั้น โดยไม่มีเงื่อนไข
จากคำบอกเล่าของคุณหมอเกี่ยวกับอุจจาระที่คั่งค้างอย่างมากมายในลำไส้ใหญ่นั้น ทำให้ดิฉันเข้าใจได้เลยว่า อุจจาระเหล่านั้นมีพิษร้ายรุนแรงมาก และเป็นสาเหตุของอาการปวดจุกแน่นท้อง ไม่ตด ไม่เรอ และมีลมดันขึ้นมาที่ลิ้นปี่และหัวใจ ตามที่เล่าให้ฟังไปแล้วว่า เจ็บปวดปางตาย!
คุณหมอออกจากห้องไปแล้ว ดิฉันก็บอกกับลูกว่า ลองประคองให้แม่นั่งห้อยขาหน่อย ลูกช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่ง เมื่อนั่งห้อยขาลงข้างเตียงแล้ว ดูความรู้สึกของตนเอง เอ๊ะ! สบายขึ้นแฮะ…รู้สึกเจ็บแผลน้อยลง นั่งห้อยขาอยู่สักครู่ ก็บอกกับลูกว่า อยากลองยืนดู ลูกก็ยกเก้าอี้พนักพิง มาวางไว้ให้ โดยหันด้านพนักพิงให้จับ ดิฉันก็จับพนักพิงเก้าอี้ไว้ทั้งสองมือ แล้วค่อยๆยืนขึ้น สังเกตตนเองอีก ก็สบายขึ้นอีกแบบหนึ่ง บอกลูกว่า แม่รู้สึกว่ายืนแล้วสบายขึ้น ยืนอยู่สักครู่ก็นั่งลงที่ขอบเตียง นั่งสักครู่ก็ลุกยืนอีก คราวนี้เลยกำหนดในใจว่า จะลองลุกแล้วก็นั่งสัก 5 ครั้ง คิดดังนั้นแล้ว ก็ลุกยืน แล้วก็นั่งลง ลูกถามว่าแม่ทำอะไร ดิฉันก็ว่าแม่อยากลองลุกนั่งดู พอครบ 5 ครั้ง รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงบอกกับลูกว่า เอาแม่ลงนอนหน่อย แม่เหนื่อยแล้ว ลูกก็มาประคองให้นอนลง หลับไปพักใหญ่ รู้สึกตัวตื่นขึ้น ก็บอกลูกให้ประคองขึ้นมานั่งห้อยขา แล้วลุกนั่งอีก 10 ครั้ง พอเหนื่อยก็กลับลงไปนอนพลิกซ้ายขวา พอเจ็บแผลก็มานอนหงาย ได้สักพักก็ยกแขน กระดกเท้า และชันเข่า เหยียดเข่า เรียกได้ว่า ทั้งหมดที่หมอและพยาบาลบอกให้ทำ ก็พยายามทำอยู่เรื่อยๆ ไม่ละเลย ยังแถมลุกยืนนั่งให้ด้วย ก่อนที่หมอจะสั่งซะอีก
รุ่งเช้าวันจันทร์ที่ 9 เมษายน เมื่อพยาบาลมาวัดความดัน ตรวจดูปริมาณปัสสาวะจากถุง และน้ำเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลในร่างกาย โดยดูจากลูกกระเปาะพลาสติก ปรากฏเป็นน้ำสีแดงเรื่อๆไม่ข้นและแดงคล้ำเหมือนวันก่อน วันนี้ยังคงไม่มีอุจจาระในถุงพลาสติกหน้าท้อง ส่วนลูกกลมๆแดงๆที่อยู่ในถุงพลาสติกหน้าท้องคือ ลำไส้ที่คุณหมอดึงเอาขึ้นมาให้เป็นเหมือนรูทวาร เพื่อเป็นทางออกของอุจจาระ วิธีการก็คือ เมื่อรูทวารทางก้นถูกเย็บปิดลง ก็ต้องมีทางออกของอุจจาระ โดยคุณหมอจะเจาะหน้าท้องในส่วนที่ใกล้กับสะดือ ดึงเอาสำไส้ขึ้นมาประมาณหนึ่งตรงรูที่เจาะไว้ กลับปลิ้นลำไส้นั้นเพื่อให้เป็นช่องทางออกของอุจจาระ แล้วเย็บขอบลำไส้ติดกับเนื้อหน้าท้องรอบๆรูที่เจาะไว้นั้น
ส่วนจะเจาะที่ด้านซ้ายหรือฝั่งขวาของสะดือ ต้องแล้วแต่ว่า คนไข้ท่านนั้นเป็นมะเร็งที่ส่วนไหนของลำไส้ใหญ่ ภายหลังพยาบาลบอกว่า ดิฉันโชคดีที่เปิดถุงหน้าท้องด้านซ้าย เพราะอุจจาระจะออกมาเป็นก้อน หรือเหลวมีเนื้อ เวลาอยู่ในถุงจะไม่ลำบาก แต่คนไข้บางคนที่ต้องเจาะถุงหน้าท้องทางด้านขวา ส่วนใหญ่จะออกมาเป็นน้ำเหลวๆ และมีแค่เศษเนื้ออุจจาระปนมาบ้างเล็กน้อย เวลาห้อยอยู่ในถุงจะค่อนข้างลำบาก ต้องคอยไปถ่ายถุงบ่อยๆ ทั้งนี้เนื่องจากว่า ลำไส้ใหญ่ทางด้านขวา เป็นส่วนต้นของการรับเอากากอาหารที่เกิดจากการย่อยอาหาร ซึ่งตรงส่วนนี้ ของเหลวทั้งหลายยังไม่ถูกลำไส้ดูดซึมเข้าไป การถ่ายลงถุงหน้าท้องจึงเป็นของเหลวโดยส่วนมาก ส่วนผู้ที่เจาะถุงทางด้านซ้ายของสะดือ มีระยะทางเดินของกากอาหารในลำไส้ จากด้านขวาไปซ้าย ต้องผ่านลำไส้ยาวพอสมควร ในช่วงเวลานั้น ของเหลวและสิ่งที่ยังเหลือพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะถูกลำไส้ดูดกลืนส่งกลับเข้าไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย จนเหลือแต่กากอาหารจริงๆ เมื่อถึงรูทวารแล้ว จึงเหลือแต่เนื้ออุจจาระล้วนๆ ที่จะถ่ายลงถุงหน้าท้อง ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือระบบปกติของร่างกายมนุษย์เรานั้นเอง ต่างกันแค่การถ่ายออกทางรูทวารปกติ หรือรูทวารเทียมที่ทำขึ้นมาใหม่
หลังจากคุณพยาบาลที่มาจดอะไรต่อมิอะไร เพื่อรายงานผลต่อคุณหมอ เดินออกจากห้องไปแล้ว ตอนนั้นยังเช้าอยู่มาก อาหารยังไม่มาส่ง ดิฉันนึกอยากลองเดินดู จึงบอกลูกให้ช่วยประคองเดินรอบเตียง ลูกก็ถอดปลั๊กไฟของอุปกรณ์ที่ห้อยน้ำเกลือ(อันที่จริงเป็นถุงใส่ยาน้ำชนิดต่างๆ) ต่อไปนี้จะเรียกว่า “เสาน้ำเกลือ” จับเอาถุงใส่น้ำปัสสาวะที่ต่อจากท่อปัสสาวะของดิฉัน ไปพาดกับเสาน้ำเกลือ ซึ่งต้องลากตามการเดิน ส่วนลูกกระเปาะพลาสติกที่ใส่น้ำที่ไหลออกจากช่องท้องเนื่องจากการผ่าตัดนั้น ลูกก็เอาใส่ในกระเป๋าเสื้อของดิฉัน แล้วประคองให้เดินรอบๆเตียง พร้อมกับลากเสาน้ำเกลือตามไปด้วย เดินรอบเตียงได้สองรอบ พอดีคุณพยาบาลเปิดประตูห้องเพื่อมาจดยอดการดื่มน้ำ และเอาน้ำดื่มมาเพิ่มเติมให้ ดิฉันมองออกไป เห็นทางเดินหน้าห้องจากฝั่งห้องที่พักอยู่ไปยังห้องด้านตรงข้าม มีระยะทางสั้นๆ ซึ่งเป็นส่วนกว้างของตัวอาคาร ก็นึกอยากลองออกไปเดิน จึงบอกลูกว่า พาแม่ไปเดินตรงทางเดินนั้น ลูกถามว่า แม่จะเดินไหวหรือ ดิฉันก็ว่า ถ้าไม่ไหวแม่จะบอกเอง เมื่อไปเดินจริง ดิฉันก็นับก้าวที่เดินจนถึงห้องตรงข้าม ได้ยี่สิบห้าก้าว หันเดินกลับมาที่ห้อง รวมได้ 50 ก้าว บอกลูกว่า เดินพอแล้วพาแม่ไปนั่งที่เตียง ลูกก็พามานั่งที่ขอบเตียง ดิฉันนั่งห้อยขาอยู่พักหนึ่ง บอกลูกให้เอาเก้าอี้พนักพิงมาให้จับ เพื่อจะลุกนั่งอีกสัก 10 ครั้ง จากนั้นก็นอนลง หลับไป
คุณหมอมาเยี่ยมไข้ประมาณแปดโมงกว่า คำแรกที่หมอทักคือ เดินแล้วหรือ ดิฉันก็รับคำไป คาดว่าพยาบาลที่เห็นดิฉันออกไปเดินนอกห้อง คงรายงานให้คุณหมอทราบ เมื่อคุณหมอตรวจร่างกายตามปกติแล้วก็บอกว่า วันนี้ให้กินอาหารอ่อนๆทั้งสามมื้อ แล้วพรุ่งนี้ให้กินอาหารเหมือนปกติได้ ดิฉันถามว่าอาหารปกติคืออะไร หมอก็ว่าเป็นข้าว กับข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว เพราะลำไส้เริ่มทำงานแล้ว จะได้มีกากอาหารออกมา ส่วนยาที่บล็อคหลัง จะให้เอาออกวันนี้เพราะครบสามวันแล้ว ถ้ายังปวดแผลอยู่ ก็ให้บอกกับพยาบาล เพื่อฉีดยาแก้ปวดให้
อาหารอ่อนมื้อแรกคือ ข้าวต้มและกับข้าวสองอย่าง คือปลากับเต้าหู้ ดิฉันกินได้ค่ะ หมดด้วย กินเสร็จแล้วก็ให้ลูกพาไปเดินย่อยอาหาร เหมือนเดิมค่ะ คือ 50 ก้าว แล้วกลับมานอน หลังอาหารมื้อกลางวันและเย็นก็ทำแบบเดียวกัน คือกินเสร็จก็ไปเดินย่อยอาหาร แต่มื้อเย็นเพิ่มเป็นเดินสองรอบ คือ 100 ก้าว ช่วงอยู่บนเตียง ไม่ได้เดิน ก็พลิกร่างกายนอนตะแคงซ้ายขวา หรือไม่ก็ยกแขนขึ้นลง กระดกปลายเท้า ชันเหยียดเข่า ตามลมหายใจ พอเพลียก็หลับไป
เมื่อเริ่มเดินได้ ดิฉันไม่อยู่นิ่งเฉยเลยค่ะ พยายามเคลื่อนไหวตลอด ซึ่งทำให้กลับรู้สึกว่ายิ่งเราเคลื่อนไหวมากเท่าไร อาการเจ็บก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง ไม่เจ็บเท่าที่คาดไว้ ตอนค่ำพยาบาลมาตรวจดูถุงอุจจาระหน้าท้อง ปรากฏมีของเหลวข้นสีดำอยู่ในถุงพลาสติกหน้าท้องจำนวนหนึ่ง ไม่มากนัก เธอก็จัดแจงมาทำความสะอาด เทกากอาหารจากถุง กลิ่นเหม็นมาก ดิฉันดูวิธีทำของเธอทุกขั้นตอน เผื่อว่าจะต้องทำเอง บอกตรงๆค่ะว่า ตอนแรกที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก แต่เมื่อคิดว่า ต่อไปนี้สิ่งเหล่านี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ก็ทำใจได้ระดับหนึ่ง
วันอังคารที่ 10 เมษายน วันนี้กินอาหารปกติ มีข้าว กับข้าว ผลไม้ปอกเปลือก ออกไปเดินได้มากขึ้น ดิฉันให้ลูกพาเดินไปครึ่งทางของตัวอาคาร นับได้ 400 ก้าว ในขณะที่เดิน คุณพยาบาลที่เป็นหัวหน้าET nurse มาเห็นดิฉันเดินตัวงอๆ เอาแขนสองข้างกุมไว้ที่หน้าท้อง เธอบอกว่า ถ้าดิฉันเดินแบบนี้ อีกหน่อยตรงส่วนหน้าอกและช่องท้องทั้งหมดจะเป็นพังผืด และทำให้ต้องหลังโกงไปตลอดชีวิต เวลาเดินจะหน้าเกลียดมาก ดิฉันก็ถามเธอว่า แล้วต้องทำยังไง เธอสอนว่า เวลาเดินให้เอามือไพล่หลัง ยืดอก แรกๆถ้าเจ็บมาก ก็ให้เอามือไพล่หลังไว้ต่ำหน่อย ประมาณแถวตะโพก แล้วค่อยๆขยับแขนขึ้นมาจนถึงกลางหลัง เอามือจับแขนสลับกันไว้เป็นมัดข้าวต้ม อกจะแอ่นขึ้น อีกหน่อยก็จะเดินได้สง่า เธอทำท่าให้ดูในขณะที่สอน ดิฉันอยากเป็นคนแก่ที่เดินอย่างสง่า ก็เลยรีบทำตาม แรกๆที่เดินยืดอก เอามือไพล่หลัง ก็เจ็บนะคะ แต่แค่พักเดียว ก็สบายขึ้น ถึงตอนนี้ลูกต้องประคองไหล่ให้เดินค่ะ เพราะยังทรงตัวไม่ได้ อีกมือหนึ่งก็ลากเสาน้ำเกลือตามไปด้วย
คุณหมอมาเยี่ยมไข้ตอนสาย หลังจากที่ดิฉันกลับจากการเดินย่อยอาหารพอดี ดูคุณหมอจะพอใจมาก เมื่อตรวจอาการทั้งหมดตามปกติแล้ว คุณหมอบอกว่า วันนี้จะให้พยาบาลเอาถุงปัสสาวะออก เพื่อให้ฝึกฉี่ด้วยตนเอง ดูโดยรวมแล้ว แผลทั้งที่หน้าท้องและที่ก้น ก็แห้งสนิทดี ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อสามีของดิฉันถามหมอว่าจะให้กลับบ้านได้เมื่อไหร่ คุณหมอตอบว่า วันพฤหัสฯนี้ ก็กลับได้ ถ้านับจากวันผ่าตัดค่ำวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็เที่ยงคืนกว่า เกือบหนึ่งนาฬิกาของวันศุกร์ที่ 6 และจะได้ออกจากโรงพยาบาลในวันพฤหัสฯที่ 12 เมษายน เพื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้านนั้น รวมแล้วแค่ 7 วันหลังการผ่าตัดใหญ่เท่านั้น
บางท่านที่อ่านบันทึกนี้ อาจจะคิดว่าการผ่าตัดนี้ยังไม่ถือว่าใหญ่ แต่สำหรับดิฉัน ที่อยู่มาจนอายุ 65 ปีถือว่าเป็น “ผ่าตัดใหญ่” เพราะต้องกรีดหน้าท้องเป็นแผลตั้งแต่ลิ้นปี่จนถึงหัวเหน่ายาวถึง10 นิ้ว ตัดต่อลำไส้ใหญ่ไปสองแห่ง รวมตัดลำไส้ทิ้งไป 60 ซม. ตัดก้อนเนื้อที่ตับไป 1 แห่ง ขุดเนื้อร้ายที่ตับอีกหนึ่งแห่ง ผ่าตัดทำถุงหน้าท้อง 1 แห่ง แผลเย็บปิดรูทวารที่ก้นอีก 1 แห่ง รวมแล้วมีแผลภายในท้องอยู่ 4 แห่ง แผลภายนอกที่มองเห็นได้อีก 3 แห่ง อ้อ!ยังมีการเจาะรูที่ช่องท้องด้านขวา เพื่อให้เป็นทางไหลออกน้ำเลือดน้ำหนอง ที่เกิดจากแผลผ่าตัดอีก 1 รู แต่รูนี้เล็กมาก แค่ปิดพลาสเตอร์ แผลก็ปิดภายในแค่วันสองวันเท่านั้น
ภายหลังคุณพยาบาลหลายท่าน มาแอบกระซิบบอกว่า ตั้งแต่มีเคสการผ่าตัดแบบนี้หรือคล้ายกันนี้ ตามประวัติที่ผ่านมา ไม่มีใครได้กลับบ้านเร็วเท่าคุณป้า ดิฉันก็ถามพวกเธอว่า แล้วคนอื่นๆอยู่กันกี่วัน เธอว่าส่วนใหญ่ก็อยู่เป็นเดือนหรือสองเดือน ถ้าแผลเล็กหน่อยก็สามสัปดาห์อย่างเร็ว พวกเขาไม่มีใครอดทนและขยันเดินเท่าคุณป้า ส่วนใหญ่กลัวเจ็บแผล ไม่ยอมขยับแม้เมื่อนอนอยู่บนเตียง บางคนนอนนิ่งๆเพราะกลัวเจ็บเมื่อต้องขยับตัว จนเป็นพังผืดเกาะแผลหรือท้อง ต้องไปผ่าตัดเพื่อเอาพังผืดออกก็มี เลยต้องเจ็บตัวสองครั้ง
ทั้งหมดทั้งมวลที่ดิฉันแข็งแรงได้รวดเร็ว หมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้เร็ว ก็เพราะ..ความเป็นคนว่าง่ายอย่างหนึ่ง ไม่ว่าหมอหรือพยาบาลบอกหรือแนะให้ทำอย่างไร ไม่เคยเกี่ยงงอนทำทันที แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ จิตใจที่ยอมรับและอดทน เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่เมื่อเจ็บป่วย ย่อมมีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอไป ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ ความเจ็บปวดนั้นยังคงมีอยู่ แม้กระนั้น ความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ถาวร อย่างไรก็ต้องมีการหายเจ็บ แต่ที่ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวด กลายเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส แทบจะไม่มีวันจางคลาย ล้วนเกิดจากจิตใจที่ยอมรับไม่ได้ มีความรู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง ไม่อยากเจ็บป่วย อยากหายไวๆเหมือนมีปาฏิหาริย์มาบันดาลให้เป็นไป เมื่อจิตใจเข้าไปมีส่วนร่วมกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเหล่านั้น จึงทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
Leave a Reply