5. ตัดสินใจเข้าโรงพยาบาล

การตัดสินใจเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษาโรคของดิฉันครั้งนี้ คือการเปิดเผยให้ครอบครัวได้รู้ว่าดิฉันเป็นโรคอะไร และทำอย่างไรกับโรคที่เป็นนี้ในสองปีที่ผ่านมา และที่ต้องเปิดเผยนั้นก็เพราะมาถึงจุดที่เป็นทางตัน หมดหนทางแล้วจริงๆ ถ้าจะบอกว่าใกล้ตายมากแล้ว ก็ไม่ผิด….

เรื่องเกิดตอนที่ลูกชายและลูกสะใภ้ เดินทางไปพิษณุโลกตามที่ได้คุยกันไว้ก่อนแล้ว ดิฉันก็พาลูกไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน และพาไปเยี่ยมอาม่า แม่เล็กของดิฉันก็คืออาม่าของลูก ถือเอาโอกาสนี้ เปิดเผยเรื่องราวของดิฉันกับลูกชายและลูกสะใภ้ ทั้งเรื่องก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ และเรื่องอาการจุกเสียดท้องนั้น รวมทั้งร่างกายที่ผอมซูบผิดหูผิดตา ลูกชายกังวลมาก มาซักถามแม่ ดิฉันก็ตอบไปว่า ไม่มีอะไร แม่แข็งแรงดี ยังออกกำลังกายได้ทุกวัน กินก็ได้ นอนก็หลับดี เพียงแต่ถ่ายไม่สะดวก ถ้ากินยาถ่ายและถ่ายได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนที่ผอมนั้น แม่เปลี่ยนอาหารการกิน ลูกชายก็ว่า ทำไมแม่ไม่ไปหาหมอ เวลามีอาการอะไรเกิดขึ้น ดิฉันบอกลูกไปว่า ไม่ชอบหมอแผนปัจจุบัน หลอกเอาแต่เงิน ขนาดเป็นคนรู้จักกันแท้ๆ ก็ยังทำให้เสียใจ ไม่เห็นรักษาอะไร จ่ายแต่ยามา กินแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร หมดไปเป็นแสน อย่างเรื่องพี่วรรณกับเรื่องของแม่ไงล่ะ (เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นดิฉันยังแข็งแรงอยู่ ไม่มีโรคอะไร เป็นการตรวจร่างกายประจำปี หมอว่าแข็งแรงดี แต่จ่ายยาอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด แค่ค่ายาก็สองหมื่นกว่า และยังให้หมอคนเดียวกันนี้รักษาแม่บ้าน หมดไปแสนกว่าบาท เฉพาะค่าตรวจและค่ายาทั้งเรื่องของแม่บ้านและเรื่องของตนเอง แล้วก็ไม่ได้เรื่องอะไร เลยทำให้เข็ดและเกลียดหมอแผนปัจจุบันไปเลย)

ลูกชายก็ว่า เขามีเพื่อนที่เรียนชั้นมัธยมด้วยกัน เป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องทางเดินอาหาร และไปเรียนต่อเรื่องนี้โดยเฉพาะจากเมืองนอก ลูกบอกว่าจะลองคุยปรึกษากับเพื่อนดูก่อนเรื่องโรคของแม่ รับรองคิดค่ารักษาไม่แพง ไม่ซี้ซั้วเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันเลย ดิฉันก็ว่าตามใจ ลูกลองไปคุยกับเพื่อนดูก่อนก็ได้ แต่ในใจก็ยังกังวล ไม่อยากให้ลูกรู้ว่า เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะถ้าลูกรู้สักคน ลูกคนอื่นๆ และคุณพ่อของลูก ญาติพี่น้องต้องรู้กันหมด ไม่อยากให้ใครต้องมากังวล ห่วงใยเลยเชียว ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆค่ะ กลัวอิสรภาพและความเป็นส่วนตัวจะหายไป

ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ไม่รู้จะมีสักกี่คนที่คิดอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้….

ลูกชายกลับกรุงเทพฯไปแล้ว ดิฉันยังไม่ยอมกลับ ไม่อยากไปหาหมอ และตอนนั้นอาการจุกเสียดต่างๆก็ไม่มี การถ่ายท้องดีขึ้น อาจเพราะยาขับลมและยาช่วยย่อยที่ซื้อมากิน ทำให้ท้องไม่แน่น ไม่อึดอัด ลูกชายโทรศัพท์มาตามแทบทุกวัน สอบถามอาการของแม่ และบอกว่าคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอแล้ว เมื่อไหร่แม่จะกลับเข้ากรุงเทพฯ เวลาไปพบหมอ ให้เอาเอกสารทางการแพทย์ที่แม่ตรวจไว้เมื่อสองปีก่อนนั้นไปด้วย ดิฉันได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่รับปากลูกไปตรงๆ ยังไม่อยากจะไปหาหมอแผนปัจจุบัน ในช่วงเวลานั้นในใจดิฉันเองยังคิดถึงการรักษาด้วยวิธีของแพทย์แผนจีน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นเภสัชกร เป็นผู้จัดการติดต่อให้ทุกอย่าง เอกสารรายละเอียดและรูปถ่ายก็ส่งไปให้หมดแล้ว รอแค่วิธีการรักษาและการสั่งยาของหมอจีนเท่านั้น แต่ลูกชายก็เร่งเหลือเกิน ให้รีบกลับกรุงเทพฯไปพบหมอเพื่อน ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ

เช้าวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 หลังจากจัดข้าวของต่างๆ และกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็ขับรถออกจากบ้าน เวลาประมาณ 8.30 น. ระยะทางพิษณุโลก-กรุงเทพฯ เพียง 300 กว่ากิโลเมตรนั้น ปกติดิฉันใช้เวลาขับรถไม่เกิน 5 ชั่วโมง แต่วันนั้นที่ขับรถกลับ ดิฉันรู้สึกว่าตนเองเพลียมากและง่วงมาก ทั้งๆที่กลางคืนก็นอนหลับได้ดี ตื่นเช้ามาไม่มีอาการจุกแน่นท้องแต่อย่างใด ถ่ายได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็มีอาการบางอย่างที่บอกไม่ถูก ต้องจอดรถบ่อยเพื่อเข้าห้องน้ำ กินข้าวบ้าง ดื่มกาแฟบ้าง ซื้อขนมขบเคี้ยวกินแก้ง่วงบ้าง และงีบหลับตามปั๊มน้ำมันเป็นระยะๆไปตลอดทาง ใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 10 ชั่วโมง กว่าจะถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ก็ประมาณหกโมงเย็น เพลียสุดๆ แค่ขนข้าวของที่จำเป็นขึ้นบ้าน อาบน้ำแล้วก็จะนอนเลย ลูกชายคนโตโทรศัพท์มาถามข่าวว่าถึงกรุงเทพฯหรือยัง และพร้อมที่จะไปพบหมอที่เป็นเพื่อนลูกวันไหน ขอให้บอกมา จะได้นัดหมอไว้ก่อน ไม่ต้องเสียเวลาไปรอนาน ดิฉันบอกลูกว่า วันนี้ขอนอนก่อนแม่เพลีย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ที่บอกลูกไปอย่างนั้น เพราะในใจยังอยากรอการสั่งยาของหมอจีนที่จะส่งมาจากเมืองจีน ส่วนลูกชายคนเล็กยังอยู่หอพัก เพราะเป็นวันศุกร์ต้องเรียนหนังสือ และต้องทำงานกับเพื่อนในวันเสาร์และจะกลับบ้านวันอาทิตย์ ดิฉันก็อยู่บ้านคนเดียวเช่นเคย

เช้าวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม ดิฉันตื่นนอนตามปกติ ยังเพลียอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยากไปออกกำลังกาย ทุกครั้งไม่ว่าจะป่วยหรือเพลียแค่ไหน ถ้าพอลุกได้ ดิฉันไม่เคยละเลยที่จะไปออกกำลังกาย เพราะรู้สึกว่า หากได้รำไท้เก๊กสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง เมื่อจบแล้วร่างกายจะสดชื่นและเบาสบายขึ้น เช้าวันนี้ก็เช่นกัน ตื่นนอนแล้ว ไม่ถ่ายท้องค่ะ ท้องแน่นแข็ง แต่ก็ไม่มีอาการจุกเสียดหรืออึดอัดแต่อย่างใด หาอะไรกินพอรองท้องตอนเช้าๆ ก็ขับรถไปออกกำลังกายกับเพื่อนๆ ตามที่นัดกันไว้ พวกเราอยู่ที่สวนคุยกันบ้าง สอนมวยไท้เก๊กกันบ้างจนเกือบเที่ยง เพื่อนชวนไปกินข้าวกลางวัน ความจริงไม่หิวข้าวเลย แต่ดิฉันคิดว่า ดีเหมือนกัน เมื่อเช้าไม่ถ่ายท้อง หาอะไรกินให้เยอะๆ เผื่อจะได้ขับของเก่าออกไปบ้าง เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

กลับถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเตรียมจะงีบกลางวัน ไม่รู้สึกอยากถ่ายท้องเลย ทั้งๆที่กินอะไรมาเยอะมาก ท้องแน่นแข็งขึ้นอีก คลำดูบริเวณช่องท้อง รู้สึกเหมือนมีแต่เนื้ออุจจาระเต็มท้องไปหมด อยากจะให้ถ่ายท้อง แต่ไม่มีความรู้สึกอยากถ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่อาการจุดเสียดแน่นท้อง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกินยาขับลม และยาช่วยย่อยอาหารที่ติดมาจากบ้านที่พิษณุโลกหรือเปล่า แต่ในใจก็กังวลว่า ทำไมไม่รู้สึกอยากถ่ายท้องบ้างเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ และถ้าคืนนี้เกิดมีอาการจุกเสียดแน่น เหมือนมีของแหลมมาทิ่มแทงลิ้นปี่และหัวใจ เหมือนเมื่อสองครั้งก่อนนั้นจะทำอย่างไรดี ในใจก็เริ่มหาวิธีว่า น่าจะมียาอะไรสักอย่างที่ไปช่วยทำให้เนื้ออุจจาระที่อยู่ในท้อง ย่อยสลายกลายเป็นเนื้ออุจจาระที่เหลวๆ หรือกลายเป็นน้ำได้ก็ยิ่งดี จะได้ไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ในใจเริ่มยอมรับบ้างแล้วว่า ก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่คงจะโตขึ้น จนไปขวางกั้นเนื้ออุจจาระไว้

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนรุ่นน้องท่านที่เป็นเภสัชกรนั้น สอบถามตามความเข้าใจของตนเองว่า มียาอะไรช่วยย่อยเนื้ออุจจาระให้เหลวหรือเป็นน้ำได้มั้ย จะได้ไปซื้อมากิน และยังถามต่อไปว่า หมอที่เมืองจีนส่งข่าวมาหรือยังว่าจะให้ไปซื้อยาอะไรมาต้มกิน เธอตอบว่า หมอเมืองจีนยังไม่ส่งข่าวมา เท่าที่รู้ตอนนี้ไม่ว่างเลย ยังติดต่อไม่ได้ จากนั้นเธอก็ถามต่อไปถึงอาการต่างๆที่ดิฉันเป็นอย่างละเอียด ดิฉันเล่าให้ฟังทุกเรื่องที่เป็นหนักๆและบอกว่าผ่านมาได้อย่างไร ทั้งเรื่องอาการจุดเสียดปางตาย ที่เกิดขึ้นสองครั้งที่บ้านกรุงเทพฯและบ้านที่พิษณุโลก เล่าถึงความเพลียจัดในการขับรถจากพิษณุโลกถึงกรุงเทพฯ ที่ต้องใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมง เพราะต้องจอดพักงีบหลับเป็นระยะๆตลอดการเดินทาง รวมทั้งอาการที่เป็นอยู่ในขณะนั้นคือ มีเนื้ออุจจาระเต็มท้องไปหมด แต่ไม่รู้สึกอยากถ่ายท้องเลย

เพื่อนท่านนั้นบอกว่า เธอคิดว่าอาการต่างๆที่เล่าให้ฟังนั้น น่าจะเกิดจากก้อนเนื้อมะเร็งในลำไส้ของดิฉัน คงจะโตขึ้นมากไปปิดทางเดินของอุจจาระ เกิดอุจจาระคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นของมีพิษทั้งนั้น จึงก่อให้เกิดอาการต่างๆอย่างที่เล่ามาให้ฟัง และยาที่จะช่วยย่อยเนื้ออุจจาระนั้น ถึงจะมีและซื้อมากิน ถ้าได้ผลก็แค่ชั่วคราว แล้วก็จะเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นอีก แต่ถ้ายานั้นไม่ได้ผล จะทำให้ยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก ตอนนี้อาการตามที่ดิฉันเล่าให้ฟังนั้น เธอว่ามันไม่ใช่การกินยาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว แม้แต่ยาจีนถึงจะกินตอนนี้ก็ไม่ทันการณ์แล้ว สิ่งสมควรทำที่สุดในตอนนี้คือ เล่าความจริงทั้งหมดให้คนในครอบครัวได้รับรู้ และไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อจัดการกับก้อนเนื้อนั้น ดิฉันตอบเธอไปคำเดียวว่า “โอเค” จากนั้นก็ขอบคุณเธอและวางโทรศัพท์ไป

ดิฉันต่อโทรศัพท์ถึงลูกชายคนโตทันที ถามลูกว่า เพื่อนที่เป็นหมอนั้นอยู่โรงพยาบาลวันไหนบ้าง ลูกบอกว่าจะโทรศัพท์เช็คให้เดี๋ยวนี้ เงียบไปสักพัก ลูกโทร. กลับมาบอกว่า หมอทำงานจันทร์ถึงเสาร์จากเช้าถึงสองทุ่ม หยุดวันอาทิตย์คือพรุ่งนี้ แม่จะไปหาหมอวันไหน ดิฉันบอกลูกว่า

“งั้นพาแม่ไปหาหมอวันนี้เลย”

ในบทนี้ที่เล่าให้ฟังทั้งหมด คืออาการกำเริบของมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ดิฉันใช้ทุกวิธีที่จะรักษาอาการทั้งหลายนั้น ทั้งด้วยการกินอาหารแบบธรรมชาติบำบัด รักษาด้วยวิธีการของหมอเขียว ไปรักษากับหลวงพ่อที่วัด ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยใจที่หวังว่า ถ้าถ่ายสะดวก ทุกอย่างจะดีขึ้น ก้อนเนื้อจะเล็กลงได้เอง แต่เมื่อลองทุกวิธี แล้ว ไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง หมดหนทางแล้ว ดิฉันก็ตัดสินใจที่จะไปโรงพยาบาล เพื่อใช้วิธีของแพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาโรคตนเอง โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆในจิตใจทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการตัดสินใจครั้งนี้ คือ ความรู้สึกสำนึกผิดถึงความผิดพลาดของตนเอง ที่ไม่บอกกับคนที่เรารักและรักเราให้รู้ถึงโรคร้ายที่เราเป็น หากเราต้องตายลงไป โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้ดูแลรักษาเรา พวกเขาจะต้องรู้สึกเศร้าและทุกข์ระทมใจไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือลูกชายทั้งสามคน แต่ถ้าเราให้โอกาสแก่พวกเขาได้รับรู้ ดูแลรักษาเราให้ดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อบุพการีแล้ว แม้เราจะต้องตายไป จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ลูกๆก็จะไม่เสียใจมาก เพราะพวกเขาได้มีโอกาสดูแลแม่ อย่างดีที่สุดแล้ว