2. รู้ผลชิ้นเนื้อ
กลับถึงกรุงเทพฯ ปฏิบัติตัวตามปกติทุกอย่าง ไปออกกำลังกาย ไปวัด ไปเที่ยว และไม่บอกให้ลูกๆและสามีรู้ว่า มีเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ เพราะตนเองไม่กังวลใจ แต่แม่เล็กโทรศัพท์มาเช็คทุกวันเว้นวัน แถมไปบอกน้องชายให้พลอยเป็นห่วงไปอีกคน เวลาโทรศัพท์มาถามข่าว ก็จะอ้างว่า น้องคนนั้นคนนี้ให้โทร.มา เห็นความกังวลของคนในครอบครัว โดยเฉพาะแม่เล็กซึ่งอายุเกือบแปดสิบปีแล้ว ก็ยิ่งบอกตนเองว่า ถ้าผลออกมาว่าเป็นเนื้อร้ายจริง จะไม่บอกให้ใครรู้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนในครอบครัว
ผ่านไปประมาณสิบกว่าวัน หลังจากวันส่องกล้อง มีโทรศัพท์เข้า บอกว่าโทร. จากโรงพยาบาล…..(ไม่บอกชื่อนะคะ เพราะเดี๋ยวเรื่องจะยาว) เป็นเสียงคุณพยาบาลหญิง ขอเชิญไปฟังผลชิ้นเนื้อ ดิฉันตอบไปว่า อยู่กรุงเทพฯ ไม่สะดวกไปฟังผลที่พิษณุโลก ขอให้แจ้งผลทางโทรศัพท์ คุณพยาบาลบอกว่า ต้องเรียนให้คุณหมอทราบก่อน ดิฉันก็วางสายไป สักครู่พยาบาลคนเดิมโทรศัพท์กลับมา บอกว่า คุณหมอสั่งให้คนไข้ต้องมาฟังผลด้วยตนเอง ดิฉันยังคงอ้างความไม่สะดวกเหมือนเดิม และขอให้ส่งผลการตรวจไปให้ที่กรุงเทพฯ หากไม่สะดวกที่จะแจ้งทางโทรศัพท์ พยาบาลรับคำว่าจะไปเรียนถามคุณหมอ เสียงโทรศัพท์เงียบหายไป
ผ่านไป 2 วัน กลับจากออกกำลังกายแล้ว ประมาณสิบนาฬิกา กำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่ มีเสียงโทรศัพท์ดังขี้น ดิฉันรับสาย คราวนี้เป็นเสียงผู้ชาย โทรศัพท์มาจากโรงพยาบาลเดิมที่พิษณุโลก บอกให้ดิฉันไปฟังผลชิ้นเนื้อ และให้พาญาติมาด้วย ดิฉันจึงถามไปว่า ให้พาญาติไปทำไม ทางนั้นตอบว่า คุณหมอสั่งให้พาญาติมาฟังผลที่โรงพยาบาลด้วย ให้พามาหลายๆคน ดิฉันก็ตอบไปเหมือนเดิมว่า ไม่สะดวกที่จะกลับไปฟังผลที่พิษณุโลก ให้แจ้งทางโทรศัพท์ หรือส่งผลทางไปรษณีย์ ทางฝ่ายบุรุษพยาบาลบอกเหมือนเดิมว่า ต้องไปเรียนถามคุณหมอ ดิฉันก็นึกในใจว่า แค่เรื่องฟังผล ทำไมลำบากจัง เรื่องมากจริง
หายเงียบไปอีก 1 วัน โทรศัพท์ดังขึ้นเวลาเดิม เสียงคุณพยาบาลหญิง ถามชื่อดิฉันแล้วก็บอกว่า คุณหมอ…..จะเรียนสายด้วย ซึ่งก็คือคุณหมอท่านที่ส่องกล้องให้ดิฉัน
“ค่ะ” ดิฉันรับคำคุณพยาบาลแล้วก็นิ่งอยู่
เสียงคุณหมอทักทายขึ้น ถามว่าทำไมไม่มาฟังผลด้วยตนเอง ดิฉันตอบไปว่า
“ดิฉันอยู่กรุงเทพฯ ไม่สะดวกที่จะไปฟังผลค่ะ คุณหมอจะกรุณา ช่วยแจ้งผลชิ้นเนื้อทางโทรศัพท์ได้มั้ยค่ะ”
คุณหมอตอบว่า“ไม่ได้! ต้องมาฟังผลด้วยตนเองที่โรงพยาบาล และให้พาญาติมาด้วย”
ดิฉันถามไปว่า “จะให้พาญาติไปด้วยทำไมคะ”
หมอก็ว่า “เอาเถิดน่า พาญาติมาด้วย เดี๋ยวก็รู้เอง พามาหลายๆคนยิ่งดี”
ดิฉันตอบว่า “ไม่สะดวกค่ะคุณหมอ เพราะบ้านไม่ได้อยู่พิษณุโลก และดิฉันจะไม่เดินทางไปที่นั่นอีกในเร็วๆนี้ คุณหมอจะกรุณาแจ้งผลการตรวจชิ้นเนื้อทางโทรศัพท์ได้มั้ยคะ หรือจะส่งผลการตรวจทางไปรษณีย์ก็ได้ค่ะ”
หมอคงชักฉุนในความดื้อรั้นของคนป่วย พูดเสียงหนักๆว่า
“ยังไงคุณก็ต้องมาฟังผลด้วยตนเองที่โรงพยาบาล แจ้งทางโทรศัพท์ไม่ได้ เอาญาติมาด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดี”
คราวนี้สงสัยหนัก ทำไมหมอย้ำจัง ให้เอาญาติไปด้วยทำไมตั้งเยอะแยะ ในใจก็แปลกๆว่า สงสัยจะเป็นอะไรที่ร้ายแรง หรือว่าจะเป็นมะเร็ง แต่ใจก็เฉยๆนะคะ เลยถามหมอไปว่า
“ดิฉันเป็นอะไรคะหมอ ถึงต้องเอาญาติไปฟังผลด้วยเยอะแยะ”
หมอก็ว่า “บอกไม่ได้ ต้องมาฟังด้วยตนเอง ที่ให้เอาญาติมาด้วยก็เพื่อได้รับรู้กันทั่วๆ เป็นอะไรไปจะได้มีคนช่วยกันหลายคน”
ดิฉันก็ตอบคุณหมอไปอีกว่า“ไม่สะดวกที่จะไปฟังผลด้วยตนเอง และไม่สะดวกที่จะเอาญาติไปด้วยแม้แต่คนเดียวค่ะ เอาอย่างนี้ ถ้าคุณหมอบอกไม่ได้ ดิฉันก็ไม่สะดวกไป คุณหมอกรุณาฝากผลการตรวจชิ้นเนื้อกับคุณหมอ……ได้มั้ยคะ เธอเป็นญาติของดิฉันเอง ที่มาส่องกล้องก็เพราะคำแนะนำของคุณหมอท่านนั้น แล้วดิฉันจะไปสอบถามเอง”
หมอหงุดหงิดมากขึ้น คงไม่เคยเจอคนไข้ดื้อถึงขนาด ตอบว่า “ไม่ได้ทั้งนั้น คุณต้องมาฟังผลด้วยตนเอง”
“เอาอย่างนี้คุณหมอ ช่วยบอกหน่อยว่า ดิฉันเป็นโรคอะไรคะ ร้ายแรงใช่มั้ยคะ”
“บอกไม่ได้ ต้องมาฟังเอง” หมอฉุนหนักขึ้น
“ใช่มะเร็งมั้ยค่ะ” ดิฉันยิงคำถามตรงเลย
“ก็ใช่นะสิ” คุณหมอคงเผลอ เสียงตอบตะคอกหนัก
เมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดเจน ใจหวิบไหวนิดนึง นิดเดียวจริงๆค่ะ แล้วก็กลับเป็นปกติ รับรู้และถามกลับไปด้วยเสียงเรียบๆว่า
“ระยะไหนคะ?”
“ระยะ 1-2” หมอตอบ
“อ้อ..ค่ะ แล้วยังไงคะ”
คราวนี้หมอถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจว่า
“อ้าว..แล้วไม่กลัวรึ”
ดิฉันตอบกลับไปว่า
“ไม่กลัวค่ะ” นิ่งไปนิดหนึ่ง ก็พูดต่อว่า
“กลัวเป็นหวัดมากกว่า เพราะตอนเป็นหวัด กลางคืนนอนไม่ได้ หายใจไม่ออก แต่นี่ยังหายใจได้ดีอยู่ กินก็ได้ หลับก็สบายดี”
“แล้วนี่จะไม่รักษารึ?” คราวนี้เสียงคุณหมอโกรธเต็มที่
“รักษาค่ะ แต่จะมารักษาที่กรุงเทพฯ ที่พิษณุโลกดิฉันไม่สะดวกที่จะรักษา ที่นั้นไม่ใช่บ้านดิฉัน ที่ไปพิษณุโลกก็เพื่อเยี่ยมเยียนคุณแม่ ถ้าดิฉันต้องไปรักษาที่นั่น จะไม่มีคนคอยดูแล คุณแม่ก็อายุมากแล้ว ไม่สมควรที่จะให้ท่านต้องมาดูแลดิฉัน แต่ถ้ารักษาที่กรุงเทพฯ จะสะดวกมากค่ะ เพราะครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯทั้งหมด คุณหมอจะกรุณาส่งผลการตรวจให้ดิฉันที่กรุงเทพฯได้มั้ยคะ”
หมอคงชักมึน ถามมาด้วยเสียงตกใจว่า “แล้วถ้าผลหายกลางทางจะทำยังไง”
ดิฉันขำนะคะ ตอบไปว่า
“แหม! คุณหมอคะ คุณหมอก็ทำก็อบปี้ซิคะ แล้วจะส่งตัวจริงหรือตัวก็อบปี้ให้ดิฉันก็ได้” น้ำเสียงคงจะกลั้วหัวเราะไปด้วย คุณหมอโกรธจัด วางหูโทรศัพท์อย่างแรงไม่ร่ำไม่ลา สักครู่พยาบาลโทรศัพท์กลับมา สอบถามที่อยู่เพื่อจะส่งผลการตรวจมาให้ ดิฉันถามเรื่องค่าส่งพัสดุ ทางนั้นบอกว่าบริการฟรี ก็ขอบคุณไป
หลายวันหลังจากนั้น เมื่อได้รับผลการตรวจชิ้นเนื้อ พร้อมผลการตรวจร่างกายอื่นๆ ดิฉันก็นำผลการตรวจทั้งหมด รวมทั้งแผ่นซีดีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ไปตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่ได้นัดหมอพิเศษ เพราะไม่รู้จักใคร ได้พบแพทย์หญิงท่านหนึ่ง เป็นผู้ชำนาญเรื่องระบบทางเดินอาหาร เมื่อคุณหมอเปิดดูวีซีดีและเอกสารแจ้งผลการตรวจชิ้นเนื้อแล้ว ก็บอกกับดิฉันว่า ผลน่าจะใช่มะเร็งนะแหละ เพราะหมอที่ตรวจผลชิ้นเนื้อ เป็นคุณหมอที่เก่งที่สุดด้านการตรวจชิ้นเนื้อของโรงพยาบาลรามาฯ และผลที่ออกมาก็เพิ่งไม่ถึง 1 เดือน คงไม่ต้องส่องกล้องใหม่…… หมอยังบอกต่ออีกว่า ยังเป็นระยะ 1-2 อยู่ รีบรักษาแต่เนิ่นๆก็ดี จะนัดหมอผ่าตัดฝีมือดีที่สุดให้ ชื่อคุณหมอ…… แต่ต้องไปทำซีทีสแกนก่อน ตามที่ดูในวีซีดี มีชิ้นเนื้ออยู่ใกล้รูทวารมาก อาจต้องตัดทิ้ง ปิดรูทวารและทำถุงหน้าท้อง แต่ทั้งนี้ต้องแล้วแต่คุณหมอ…..จะวินิจฉัยว่าต้องรักษาอย่างไร ว่าแล้วแพทย์หญิงท่านนั้นก็โทรศัพท์ไปทั้งสองแผนก คือแผนกที่ทำซีทีสแกน โดยขอเวลาที่เร็วที่สุด และสั่งพยาบาลให้จองหมอผ่าตัด ในเวลาที่เร็วที่สุดหลังจากการทำซีทีสแกนแล้ว ดิฉันก็ไปติดต่อทั้งสองแผนกนั้น ได้วันเวลาการทำซีทีสแกนที่เร็วที่สุดคือ ห้าวันหลังจากวันที่ตรวจอยู่นั้น เนื่องจากเครื่องทำซีทีสแกนเสีย ส่งไปซ่อมอยู่ ต้องใช้เวลา 2 วัน จึงจะเรียบร้อย แต่มีเคสคนไข้อื่นที่ร้ายแรงกว่าต้องตรวจก่อน ดิฉันก็นึกในใจว่า อะไรจะต้องด่วนซะขนาดนี้ จากนั้นก็ไปจองคิวหมอผ่าตัดซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่ทำซีทีสแกน ไปจองคิวหมอเพื่อวินิจฉัยผลจากการทำซีทีสแกน และจะเป็นผู้แนะนำการรักษาว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็ขับรถกลับบ้าน
แต่เรื่องไม่จบเท่านั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ในใจก็ครุ่นคิดตลอดว่า ถ้าต้องปิดรูทวาร และเปิดทำถุงหน้าท้อง มีอุจจราระใส่ที่ถุงตรงหน้าท้อง มันเป็นเรื่องผิดปกติของมนุษย์ทั่วไป รู้สึกว่าไม่อยากเป็นคนผิดปกติ และคิดว่าการรักษาด้วยการผ่าตัด และทำถุงหน้าท้อง เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าต้องการแก้ไขที่ต้นเหตุ ควรทำยังไงดี ดิฉันก็ไปเปิดกูเกิล เพื่อจะดูว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากสาเหตุใด เป็นได้อย่างไร คนเป็นมะเร็งควรกินอาหารอย่างไร มีชีวิตอยู่อย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งหมอที่โรงพยาบาล คิดในใจว่า ถ้าเรารักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ใช้อาหารเป็นยา อะไรที่มะเร็งชอบ เราก็อย่าไปกิน และก็เลือกกินแต่อาหารที่มะเร็งไม่ชอบ ก้อนเนื้อที่เป็นเนื้อร้ายก็น่าจะค่อยๆยุบลง หรืออย่างน้อยไม่โตขึ้นก็น่าจะพอใจแล้ว ซึ่งการทำแบบนี้น่าจะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ดิฉันหาอ่านศึกษาอยู่ 3 วัน พอเข้าใจได้ว่า จะรักษามะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดอย่างไร จึงคิดจะโทรศัพท์ไปยกเลิกนัดกับทางโรงพยาบาล ทั้งเรื่องการทำซีทีสแกน และการนัดคุณหมอที่จะวินิจฉัยโรคและผ่าตัด เตรียมหาเหตุผลดีๆไว้หลายข้อ เผื่อพยาบาลถามจะได้ตอบถูก
เมื่อตัดสินใจแล้ว สองวันก่อนการทำซีทีสแกน ดิฉันโทรศัพท์ไปยกเลิกนัดทั้งหมด ปรากฏว่าง่ายมาก พยาบาลที่รับการยกเลิกนัด ไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว เรียกข้อมูลทั้งหมดของเราจากจอคอมพิวเตอร์ยกเลิกนัดทันทีนั้น เลยได้สำเหนียกว่า โรงพยาบาลใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเซ้าซี้ถามเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เพราะคนป่วยเยอะมาก ไม่มีเวลามาจดจำว่าใครเป็นใคร เป็นอะไรร้ายแรงแค่ไหน ..ฯลฯ คราวนี้เลยได้หัวเราะในใจที่สำคัญตนเองผิดไปซะใหญ่โต
ดิฉันไม่บอกใครในครอบครัวเลย หลังจากรู้ผลว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อแม่เล็กโทรศัพท์มาถามเรื่องผล บอกตรงๆเลยว่า ดิฉันมุสาค่ะ บอกท่านไปว่า ผลออกมาแล้ว ไม่มีอะไร แค่เป็นเนื้องอกเฉยๆ ตอนนี้ก็ไม่มีอาการอะไร ยังแข็งแรงดี กินได้ หลับสบาย ถ่ายสะดวก ที่ต้องพูดแบบนั้น เพราะไม่อยากให้แม่เล็กเป็นห่วงค่ะ และรู้ว่าถ้าท่านรู้ความจริง จะกังวลมากกว่าเราซึ่งเป็นผู้ป่วย และอาจทุกข์ใจมากจนต้องป่วยไปอีกคน นึกย้อนทวนเหตุการณ์ที่น้องชายสองคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนั้นแม่เล็กก็เครียดและกังวลใจอย่างมาก นี่แค่รู้ว่าดิฉันเป็นเนื้องอกในลำไส้ ที่เผลอบอกไปตอนส่องกล้อง ยังโทรศัพท์ถามวันเว้นวัน แค่ฟังน้ำเสียงก็รู้แล้วว่ากังวลขนาดไหน ถ้าขืนบอกความจริงไป แม่เล็กต้องไปป่าวประกาศให้คนทั้งครอบครัวให้รู้กันถ้วนทั่ว คราวนี้ชีวิตเราคงไม่เป็นอิสระแน่ๆ คงต้องมานั่งตอบคำถาม หรือต้องมารับคำปลอบใจด้วยความห่วงใยของทุกคนในครอบครัว
แม้แต่กับเพื่อนฝูงใกล้ชิด หรือลูกศิษย์ทั้งหลายที่ดิฉันสอนไท้เก็กอยู่นั้น ก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน เหตุผลที่ไม่บอกก็เพราะ ไม่อยากให้ใครๆต้องมาคอยกังวลห่วงใยกับสุขภาพของเรา ประเดี๋ยวการรำมวยเพื่อออกกำลังกาย ก็จะไม่เป็นสุขอิสระ คิดอย่างนี้แล้วก็ปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครระแคะระคายสักคน เราก็ไปออกกำลังกายเป็นปกติแทบทุกวันเหมือนเดิม
อันที่จริงจะว่าดิฉันไม่เปิดเผยความจริงให้ใครรู้ก็ไม่ถูกนัก ดิฉันเลือกคนที่จะบอกความจริงค่ะ ในทั้งหมดนั้นไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด แต่เป็นเพื่อนค่ะ ทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ที่ดิฉันพิจารณาแล้วว่า สมควรต้องให้รู้ไว้ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป หลายคนตกใจ บางคนร้องไห้ มีน้อยคนที่มีอาการปกติเมื่อได้ฟัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังจิตใจที่ต่างกันไป อย่างไรก็ดีเมื่อได้พูดคุยกัน และรู้ว่าดิฉันไม่ได้หวั่นไหวกับโรคที่ตนเองเป็นอยู่ ต่างก็คลายใจหายห่วงกังวล และรับปากที่จะไม่บอกให้ใครรู้ตามที่ดิฉันขอร้องไว้
แม้การไปโรงพยาบาลรามาฯ เพื่อตรวจซ้ำตามที่เล่าให้ฟังแล้ว ก็ไปแบบเงียบๆ เมื่อแจ้งยกเลิกก็ทำเองเงียบๆ ทุกเรื่องที่ทำ ดิฉันไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว สำรวจจิตใจของตนเองแล้ว ถามตัวเองว่ากลัวมั้ย?….เป็นโรคมะเร็งที่ใครๆก็กลัวกันนักหนา คิดไปถึงเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคนเป็นโรคมะเร็งที่เคยได้ยินได้ฟังมา บางคนตอนไปโรงพยาบาลยังดีๆอยู่ พอรู้ผลว่าเป็นมะเร็งเท่านั้น เป็นลมล้มฟุบไปเลยก็มี ขากลับญาติพี่น้องต้องช่วยกันหิ้วปีกกลับบ้าน บางคนก็ร้องห่มร้องไห้ราวกับจะต้องตายภายในวันนั้น ทั้งๆที่อาการของโรคก็ยังไม่ปรากฎแต่อย่างใด หรือบางคนช็อคตายไปเลยก็มี เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งระยะท้ายๆที่ยากต่อการรักษา หรือที่หมอกำหนดเวลาสำหรับชีวิตที่เหลือ ยังมีอาการแปลกๆอื่นๆอีกมากมาย ตามที่เคยทราบมา แต่เรากลับไม่มีอาการอย่างใดทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง นอกจากใจที่หวิบไหวเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เป็นปกติ
แล้วกลัวตายมั้ย?….ถึงคำถามนี้ บอกตัวเองว่าคนที่เป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่มักไม่รอด น้องชายสองคนก็ตายไปแล้วด้วยโรคมะเร็งตับและต่อมลูกหมาก คุณแม่ก็ตายด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่ดิฉันยังเด็กอยู่ เมื่อดูเข้าไปที่ใจของตัวเองก็รู้สึกเฉยๆนะคะ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร ถ้าเราต้องตายจริงแล้วจะเป็นยังไง ก็ไม่มีอะไร สำรวจการกระทำที่ผ่านมา เท่าที่จำได้ บอกตัวเองว่า ทำดีมาตลอด ถ้าจะต้องตายจริง เรามั่นใจว่าชีวิตหลังความตาย ต้องได้ไป..ที่ดี..หรือภาษาทางพระท่านเรียกว่า….สุคติ ใจก็โอเค….รู้สึกเฉยๆนะคะ คิดว่าอยู่ก็ได้ ตายก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะลูกๆดีทุกคน ขยันขันแข็งทั้งเรื่องเรียนและการงาน
การที่ดิฉันสงบ นิ่งเฉยได้กับการเป็นโรคมะเร็งในครั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับ “ใจ” ตัวเดียว และต้องเป็นจิตใจที่ยอมรับในความเป็นธรรมดาของชีวิต คือ…. เกิด แก่ เจ็บและตาย… โดยเฉพาะการไม่กลัวความตาย จะช่วยให้จิตใจของเราสงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ไม่วิตกกังวล ยอมรับ…ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา และเมื่อมีจิตที่ “ยอมรับ” ได้ สิ่งที่ตามมาคือ เราจะ…ปล่อยวาง ต่อทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้เช่นกัน
ดิฉันยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่มีข้อสงสัยแม้สักนิดว่า เหตุใดจึงต้องเป็นเรา จิตใจยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกก้าวของชีวิต คือ “วิบากกรรม” หรือผลของการกระทำที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติใด เมื่อเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ก็หาทางแก้ไข ทำให้ดีที่สุด โดยไม่คาดหวังผล ถ้าผลออกมาดี ก็ดีแล้ว ถ้าไม่ดีก็แค่…..ยอมรับ….เมื่อยอมรับได้เช่นนี้ จิตใจก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่มีความวิตกกังวลแต่อย่างใด ซึ่งนั้นก็คือ…. การปล่อยวาง….อย่างแท้จริง
Leave a Reply