1. ตรวจร่างกายประจำปี
ปกติดิฉันจะตรวจร่างกายประจำปี ตามโปรแกรมของโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านในกรุงเทพฯ แต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2559 ประมาณเดือนกรกฎาคม จะเดินทางไปเยี่ยมแม่เล็กที่จังหวัดพิษณุโลก (แม่น้าของดิฉันเองอายุเกือบ 80 ปี) ก็เลยถือโอกาสไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนั้น ด้วยเหตุว่ามีหลานเขยและหลานสาวทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนั้น จึงคิดว่าการตรวจก็จะละเอียด ชัดเจน ได้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่หลอกให้รักษาทั้งที่ไม่ป่วย
หลังการตรวจอย่างละเอียด หลานเขยที่เป็นเจ้าของไข้บอกว่า มีเซลส์เม็ดเลือดแดงออกมากับอุจจาระ เธอถามดิฉันว่า เวลาถ่ายหนัก เห็นมีเลือดออกมาบ้างมั้ย ดิฉันก็บอกเธอไปว่า ไม่เคยเห็นมี หมอบอกว่า เซลส์เม็ดเลือดแดงยังไม่มาก จึงมองไม่เห็น แต่การออกมาทีละนิดทุกครั้ง ทุกวัน มันจะค่อยมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ให้เอายาธาตุเหล็กไปกิน และไม่ควรประมาท หมอแนะนำให้ดิฉันตรวจเพิ่มด้วยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ดิฉันสอบถามรายละเอียดได้ความว่า
การส่องกล้องทางเดินอาหารเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นมากสำหรับทุกคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เผื่อเกิดอะไรขึ้น จะได้รักษาได้ทันการณ์ เผอิญดิฉันเป็นโรคท้องผูกเรื้อรัง ต้องพึ่งยาระบายมากว่าครึ่งค่อนชีวิต และมีริดสีดวงอยู่ด้วย แม้จะไม่เจ็บปวด แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เป็นเพราะริดสีดวงนี่แหละที่ทำให้เราท้องผูกเป็นประจำ จึงเห็นดีด้วยกับหมอ และยังถามหมอว่า ถ้าเจอริดสีดวงจะผ่าออกเลยได้มั้ย หมอบอกว่า ต้องแล้วแต่คุณหมอที่จะมาส่องกล้องให้ ก็รับรู้ว่าหมอแต่ละคนจะเชี่ยวชาญไปคนละอย่าง ดิฉันตอบตกลงที่จะส่องกล้องลำไส้ใหญ่
ก่อนส่องกล้องต้องถ่ายท้องวันกับคืน เพื่อให้เศษอาหารที่ยังตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ออกจนหมด ทั้งนี้เพื่อความชัดเจนของการส่องกล้อง ถึงวันส่องกล้อง คุณหมอขอให้กลืนกล้องขนาดจิ๋ว เพื่อตรวจกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนบนที่ต่อกับกระเพาะอาหาร ช่วงตอนนี้ไม่ต้องหลับ หลังการตรวจ พบว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติ ต่อไปก็เป็นขั้นตอนของการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ก่อนจะทำการ หมอถามว่า ถ้าเจอก้อนริดสีดวงจะให้ตัดออกเลยมั้ย ดิฉันก็ตอบรับไปด้วยความยินดี
ถึงตอนส่องกล้องลำไส้ใหญ่ก็หลับไม่รู้เรื่อง พอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างเรียบร้อยสำหรับหมอ แต่สำหรับดิฉันไม่ค่อยเรียบร้อย เพราะหมอบอกว่ามีก้อนเนื้ออยู่หลายก้อน ตรงด้านขวาของลำไส้ขนาด 3 ซม. ทางส่วนที่ใกล้รูทวาร มีก้อนเนื้อขนาด 1 ซม. และยังมีก้อนเล็กๆอื่นๆ ที่กำลังก่อตัวอีก หมอเลยตัดก้อนเนื้อเล็กๆนั้น ส่งไปพิสูจน์ชิ้นเนื้อที่กรุงเทพฯ ส่วนริดสีดวงไม่ได้ตัดให้ ดิฉันก็รับคำไปและถามหมอว่าจะทราบผลชิ้นเนื้อเมื่อไหร่ หมอตอบว่า ประมาณสิบห้าวัน จิตใจตอนนั้นก็เฉยๆนะคะ ไม่รู้สึกกังวลอะไร พอส่องกล้องเสร็จ จ่ายเงินแล้ว ก็กลับบ้านได้ ไม่ต้องนอนพักค้างที่โรงพยาบาล
กลับถึงบ้าน แม่เล็กรีบสอบถามด้วยความเป็นห่วง ดิฉันก็บอกไปตามตรงว่า มีเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ แม่เล็กมีสีหน้ากังวลถามว่า หมอบอกว่าเป็นอะไร ดิฉันตอบไปว่า ยังไม่รู้หรอก หมอตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ที่กรุงเทพฯ คราวนี้สีหน้าแม่เล็กกังวลหนักขึ้น ถามว่าแล้วจะรู้ผลเมื่อไหร่ ดิฉันเลยเอะใจ นึกได้ว่ามีน้องชายสองคนเป็นมะเร็งตับและต่อมลูกหมาก ตายเมื่ออายุ 50 กว่าปีทั้งคู่ มันหลายปีแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ถึงตอนนี้เลยเข้าใจสีหน้ากังวลของแม่เล็ก นึกฉุนตนเองว่า ทำไมไม่นึกถึงเรื่องน้องชาย จะได้ไม่ต้องบอกว่าเป็นเนื้องอก ทำให้แม่เล็กต้องมาคอยกังวลใจ และทุกข์ใจ ดิฉันบอกแม่เล็กไปว่า อีกสิบกว่าวันจะรู้ผล ไม่ต้องเป็นห่วงไม่เป็นอะไรหรอก ยังแข็งแรงดี หมอตรวจสุขภาพบอกว่า ทุกอย่างดีหมด ร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหา อย่าห่วง
การไปพิษณุโลกของดิฉัน มีจุดประสงค์หลายประการ นอกจากการเยี่ยมเยียนแม่เล็กแล้ว ยังไปสอนรำไท้เก็กให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ บรรดา..สว..ทั้งหลายในเมืองนั้นด้วย งวดนี้ได้แถมการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด ผ่านไป 1 สัปดาห์ ดิฉันก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ ในใจไม่มีกังวลอะไรทั้งสิ้นกับก้อนเนื้องอกเหล่านั้น มันรู้สึกเฉยๆนะคะ แต่กลับไปกังวลกับปฏิกิริยาของแม่เล็ก เลยสัญญากับตนเองว่า ถ้าเป็นมะเร็งจริงๆจะไม่บอกใครให้ต้องกังวลใจกับเราทั้งสิ้น จะปิดปากให้สนิทเลย
Leave a Reply