5. คุณ!…..ไม่ต้องพูด….
แปลกใจล่ะสิกับชื่อเรื่องแบบนี้ บางคนอาจคิดว่าแม่แจ๋วกำลังตวาดใครให้ฟังหรืออย่างไร โถ..โถ..โถ..อย่าคิดอย่างนั้นเด็ดขาด ถึงแม่แจ๋วจะเป็นแม่ช่างคุย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะชอบแหวใครๆไปด้วย แม่แจ๋วไม่ชอบด่าว่าใครซึ่งหน้าหรอกค่ะ แต่ถ้าเอาไปนินทาลับหลังละก้อ ไม่แน่! แฮะ..แฮะ..ก็อย่างที่เอาลูกๆมานินทานี่ไง ถ้างั้นเรื่องเป็นยังไง สงสัยใช่มั้ย? ถ้าดิฉันจะบอกคุณๆว่า แม่แจ๋วเป็นฝ่ายโดนตวาดมาเนี่ยะ คุณจะเชื่อกันมั้ย ไม่เชื่อไม่เป็นไร เล่าให้ฟังเลยก็แล้วกัน
วันเกิดเหตุเป็นช่วงปิดเทอมของลูกจ๊อบ เลยมีเวลาว่างพอที่จะไปพักผ่อนกายและใจกับเพื่อน (ไปปฏิบัติธรรมนะ) เนื่องจากเป็นจังหวัดทางภาคอีสาน ขับรถไปเองไม่ไหว จึงต้องขึ้นรถโดยสารไปกัน นัดกันไว้ว่าดิฉันจะเรียกรถแท็กซี่จากบ้าน แล้วไปรับเพื่อนเพื่อขึ้นรถโดยสารที่หมอชิตด้วยกัน ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาเช้ามืดประมาณเกือบห้านาฬิกา ดิฉันเรียกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่ง บอกทางกับคนขับรถแล้วก็ขึ้นนั่งที่ด้านหน้ารถข้างๆโชเฟอร์ เพราะต้องเผื่อที่ข้างหลังไว้ให้เพื่อนและสัมภาระ รถวิ่งออกจากปากซอยกำลังจะเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ ความเคยชินเนื่องจากขับรถได้เอง ดิฉันจึงชะโงกมองทางให้ และบอกกับโชเฟอร์ว่า
“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งมีรถมา เอาละไปได้”
“คุณ! ไม่ต้องพูด ผมดูเองได้” โชเฟอร์พูดเสียงดัง บอกอารมณ์ที่ค่อนข้างหงุดหงิดไม่พอใจ
“อ้าว! งั้นขอโทษ ขอโทษ” ดิฉันตอบไปด้วยเสียงที่กลั้วหัวเราะ นึกขำตัวเองว่า เรานี่มันช่างจุ้นซะจริงๆ
เมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนใหญ่และวิ่งเรียบทางตรงแล้ว คนขับรถก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติขึ้นเหมือนกับจะออกตัวว่า
“เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนขับรถบ้าน เจ้านายก็อย่างนี้แหละ ชอบบอกทางดีนัก ผมรำคาญไม่ชอบให้ใครมาบอกทางเวลาขับรถ”
“คุณเลยลาออกมาขับรถแท็กซี่เพราะเหตุนี้หรือ” ดิฉันถามไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆเป็นเชิงชวนคุย คนขับรถหันมามองดิฉันแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า
“ความจริงก็มีเรื่องอื่นด้วย แม่งมันงี่เง่า (เขาพูดแบบนี้จริงๆ แม่แจ๋วขอบอก) พอขึ้นรถได้ก็พูดมาก เดี๋ยวก็ว่าคนนั้น เดี๋ยวก็บ่นคนนี้ พูดแต่เรื่องที่ทำงานกับเรื่องที่บ้าน บางเรื่องไม่สมควรพูดก็เอามาพูด วันๆขึ้นรถมามีแต่เรื่องร้อนหูร้อนใจมาพูดให้ฟัง ผมเบื่อมัน ก็เลยลาออกมา”
“คุณมาขับแท็กซี่ได้นานหรือยังล่ะ” ดิฉันชวนคุยต่อ
“ก็ประมาณปีหนึ่งได้แล้วมั่ง”
“แล้วคุณชอบมากกว่าการขับรถบ้านหรือเปล่าล่ะ”
“ผมว่ามันก็งั้นๆ แต่ดีตรงที่ไม่มีใครมาพูดมาก..กวนใจ”
“อันที่จริงชั้นว่าคุณต้องเป็นคนที่เจ้านายคุณไว้ใจมาก เขาถึงพูดอะไรๆให้คุณฟัง คุณลองคิดดูนะ เขาเป็นเจ้านาย มีเรื่องตั้งเยอะแยะมากมายที่บางทีเขาคงพูดให้ใครฟังไม่ได้ เพราะเขาไม่แน่ใจว่า ถ้าพูดไปแล้วเขาจะเดือดร้อนทีหลังหรือเปล่า แต่เขากลับเอาเรื่องที่คุณบอกว่าไม่สมควรพูดมาพูดให้คุณฟัง แสดงว่าเขาต้องไว้ใจคุณมากแหละ และก็เชื่อว่าคุณจะไม่เอาเรื่องที่เขาพูดให้คุณฟังไปบอกคนอื่น จะถือว่าเขาปรึกษาคุณก็ยังได้เลย ชั้นว่าคุณต้องเป็นคนน่าเชื่อถือแหละ เจ้านายคุณถึงกล้าพูดอะไรๆให้คุณฟัง”
โชเฟอร์แท็กซี่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า
“พี่นี่มองแง่ดีจริงโน้ะ”
ดิฉันก็ตอบไปด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะว่า
“ก็มองแง่ดีมันก็สบายใจกว่าใช่มั้ยล่ะ ชั้นว่าชีวิตคนเรานี้มันมีแต่เรื่องสับสนวุ่นวาย พยายามมองเรื่องอะไรๆให้เป็นเรื่องดีๆไว้ มันก็มีความสุข จะมองให้เป็นเรื่องทุกข์ร้อนทำไมให้มันเครียดไปเปล่าๆ”
คนขับรถไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ดิฉันก็หยุดพูดเพียงแค่นั้น พอดีรถถึงที่หมายที่จะรับเพื่อน พอเพื่อนขึ้นรถเราก็ชวนกันคุยเรื่องต่างๆ เมื่อรถถึงสถานีหมอชิต ดิฉันชำระค่าโดยสาร คนขับรถยกมือไหว้และกล่าวว่า
“ขอบคุณครับพี่”
ดิฉันก็กล่าวขอบคุณตอบไปและอวยพรให้เขาโชคดี พอเล่าเรื่องนี้แล้วก็เลยนึกขึ้นได้ถึงอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายๆกัน แต่คนที่ดิฉันคุยด้วยเป็น ฝาละมี ของตัวเอง บอกแล้วว่าแม่แจ๋วชอบนินทา ถ้าเป็นเรื่องลูกกับสามีละก็ถนัดนัก เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นรถของดิฉันที่ขับอยู่เป็นประจำเกิดอาการขัดข้องอย่างมาก จนต้องส่งอู่ซ่อมรถ ซึ่งกว่าจะได้ใช้ก็อีกหลายวัน ภาระของดิฉันคือต้องรับส่งลูก จำเป็นต้องมีรถไว้ใช้ ดิฉันจึงขออาศัยรถของสามีไปเอารถสำรองที่บริษัทมาใช้ก่อน ในขณะที่นั่งไปในรถด้วยกัน ดิฉันก็ชวนคุยเรื่องงานบริษัท ซึ่งคุณสามีก็ถามคำตอบคำ แต่พอถึงคำถามที่ว่า
“เฮีย เธอทำงานมีความสุขดีมั้ย”
“ทำไม ถามทำไม” สามีถามกลับมาด้วยเสียงกระโชกดังมาก จนดิฉันตกใจ หันไปมองเห็นสีหน้าเคร่งเครียด ก็พอเดาออกว่า พ่อเจ้าประคุณคงคิดว่าดิฉันกำลังจะ “หาเรื่อง” อะไรกับเขาอีกกระมัง จึงพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความขำขันว่า
“ทำไมล่ะ ชั้นก็ถามอย่างนี้กับหลายๆคน แม้แต่กับลูกแจ๊ค เวลาเจอกันชั้นก็มักจะถามเสมอว่า ลูกทำงานมีความสุขดีมั้ย ก็ถ้าทำงานแล้วมีความสุขมันก็ดีใช่มั้ยเล่า แต่ถ้าทำงานแล้วมีแต่ความทุกข์ มันก็ไม่ดีใช่มั้ย ไม่เห็นมีอะไรนี่”
คุณสามีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คงนึกไม่ถึง เพราะคงไม่เคยได้ยินใครถามแบบนี้มาก่อน แต่เธอก็ตอบมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมากว่า
“ชั้นก็ไม่เห็นมีอะไร ก็สบายดี”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ชั้นได้ยินแล้วก็สบายใจ คนเราทำอะไรก็ตามขอให้ทำแล้วมีความสุข ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งแล้ว คุณทำงานแล้วไม่มีปัญหาอะไร ชั้นฟังแล้วก็สบายใจ หรืออย่างที่ถามลูกแจ๊ค พอลูกตอบว่าทำงานมีความสุขดี ชั้นก็สบายใจว่าลูกทำงานแล้วมีความสุข หรืออย่างที่ชั้นไปออกกำลังกายทุกวัน ได้สอนคนอื่นๆบ้าง เห็นพวกเขามีความสุข ชั้นก็มีความสุขไปด้วย เห็นมั้ยมีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น”
คุณสามีรับฟังนิ่งๆ สีหน้าคลายลง จากนั้นคุณเธอยังมีแก่ใจถามไถ่เรื่องของลูกๆทุกคน ดิฉันก็ตอบไปอย่างที่รู้มา เคยบอกแล้วว่าดิฉันเป็นศูนย์กลางของคนในครอบครัว เรื่องของทุกคนต้องมาใส่รวมลงที่ “ใจ” ของแม่แจ๋วเสมอ ซึ่งก็คงเหมือนๆกับคุณแม่ทุกๆท่านนั่นแหละ
เรื่องจบแล้วค่ะ สั้นๆไม่มีสาระอะไรมาก แต่ที่ดิฉันอยากเล่าให้ฟังก็เพราะคิดว่า ยังมีคนอีกเยอะแยะที่คิดอะไรๆคล้ายๆกับโชเฟอร์แท็กซี่คันนั้น หรือคล้ายกับคุณสามีของแม่แจ๋ว(ในบางครั้ง) ที่มักมองอะไรๆเป็นเรื่องร้ายไปหมด จึงหงุดหงิดขุ่นมัวง่าย จริงจังและเคร่งเครียดกับสิ่งต่างๆรอบตัวเกินไป เลยไม่มีความสุขไม่ว่าจะทำอะไร พูดกับใคร หรืออยู่ที่ไหน มันทุกข์ไปท้างน้าน น่าสงสารซะจริงๆ แต่ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกค่ะ นอกจากคุณจะช่วยตัวเองด้วยการ “มองแต่แง่ดี”
Leave a Reply