4. เรื่อง…โทรศัพท์ลึกลับ

พอเห็นชื่อเรื่อง ภาพของโทรศัพท์รุ่นต่างๆ คงปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของแต่ละท่าน น่าจะเป็นคนละแบบคนละรุ่นแตกต่างกันไป แล้วแต่สัญญา(ความจำ)ของแต่ละคน แม่แจ๋วไม่ได้มาโฆษณาขายโทรศัพท์ให้ใครหรอกค่ะ แต่มีเรื่องที่เกิดขึ้นจากเสียงทางโทรศัพท์ของบุรุษลึกลับ อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านที่เคยเจอะเจอเหตุการณ์ หรือได้ยินการบอกกล่าวเล่าขานจากคนที่รู้จัก ก็น่าจะพอเดาได้ว่า แม่แจ๋วกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ใช่แล้วค่ะ โทรศัพท์หยาบคายจากบุรุษนิรนาม ที่เมื่อใครได้รับก็จะรู้สึกตกใจ บางคนขยาดที่จะรับโทรศัพท์ บางคนโกรธมาก แล้วแต่อารมณ์ของผู้นั้นในขณะที่ได้ยินเสียงอันไม่พึงประสงค์นั้น แม่แจ๋วก็เป็นหนึ่งใน”ผู้โชคดี”ที่ได้รับโทรศัพท์แบบนั้น แล้วแม่แจ๋วทำอย่างไร ก่อนจะรู้ว่าดิฉันพูดจาโต้ตอบหรือไม่อย่างไร ขอให้คุณๆลองปิดหนังสือ แล้วนึกภาพว่า หากคุณเป็นผู้โชคดีหรือโชคร้ายก็แล้วแต่จะคิด ได้รับโทรศัพท์หยาบคายสุดๆจากเสียงของใครคนหนึ่งที่คุณไม่ทราบว่าเป็นใคร คุณจะทำอย่างไร หรือพูดอะไร นึกไว้แล้วใช่มั้ย เห็นภาพในใจคุณเองหรือยัง งั้นมาลองฟังดูว่าแม่แจ๋วพูดหรือโต้ตอบอย่างไรไปบ้าง

เย็นวันนั้นเมื่อไปรับลูกจ๊อบจากโรงเรียน กลับถึงบ้านประมาณห้าโมงเย็น พอเข้าบ้านก็จะเป็นห้องนั่งเล่นพักผ่อนดูทีวี ลูกจ๊อบเปิดทีวีทันทีและกระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟายาว ดิฉันเองรู้สึกเหนื่อยเพราะวันนี้รถติดมากจริงๆ จึงคิดจะนั่งพักดูทีวีกับลูกก่อนพอหายเหนื่อยแล้วถึงจะเข้าครัว ไปเตรียมอาหารให้ลูก ขณะที่กำลังหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆทีวีดังขึ้น ดิฉันจึงลุกไปรับโทรศัพท์พูดไปว่า

“สวัสดีค่ะ”

เงียบไปชั่วครู่ มีเสียงผู้ชายพูดมาจากปลายสายว่า

“นั่นที่ไหน” ดิฉันได้ยินเสียงไม่คุ้นหู ก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่รู้จัก อาจโทรผิด จึงตอบไปว่า

“คุณจะโทรไปที่ไหนล่ะค่ะ”

“นั่นใครพูด” เสียงทางโน้นถามมาอีก

“ก็คุณจะพูดกับใครล่ะค่ะ” ดิฉันถามลากเสียงท้ายยาวๆ เงียบกันไปชั่วครู่ก็มีเสียงฝ่ายนั้นพูดมาว่า

“ได้ข่าวว่า…..ใหญ่ใช่มั้ย ขอ…..หน่อย”

(คำพูดที่จุดไว้ เล่าให้ฟังไม่ได้) ดิฉันได้ยินดังนั้น ทั้งงงและตกใจ ยังไม่ทันได้ตั้งสติก็ได้ยินเสียงตัวเองตอบไปอย่างดังและสั่นเครือด้วยความรู้สึกโกรธว่า

“พูดอย่างนี้พูดกับพระดีกว่ามั่ง” พอได้ยินคำว่าพระจากปากตัวเอง เหมือนสติจะเกิดกับดิฉันเต็มที่ จึงพูดออกไปอีกครั้งด้วยเสียงที่เป็นปกติว่า

“พูดอย่างนี้พูดกับพระดีมั้ย”

เงียบ! ไม่มีเสียงตอบจากทางนั้น ดิฉันคิดว่าเขาน่าจะวางสายโทรศัพท์ลงแล้ว รออยู่สักครู่เห็นฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าว่าจะวางโทรศัพท์ลง และเหมือนมีเสียงจากข้างในอกของดิฉันบอกมาว่า “เรียกเขาว่าลูกซิ เรียกเขาว่าลูกซิ” จึงพูดออกไปว่า

“หนูพูดอย่างนี้ทำไมครับลูก”

เสียงฝ่ายนั้นตอบมาว่า

“ผมก็ไม่ทราบครับว่า เวลาได้ยินเสียงผู้หญิงแล้วทำไมถึงต้องพูดแบบนี้”

ได้ยินดังนั้น แม่แจ๋วก็งงไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะยอมพูดจาโต้ตอบด้วย นิ่งกันไปพักหนึ่ง ไม่เห็นว่าทางโน้นมีทีท่าว่าจะวางโทรศัพท์ลง แม่แจ๋วจึงชวนคุยต่อ

“หนูทำอย่างนี้บ่อยมั้ย”

ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าฝ่ายนั้นอายุเท่าไร แต่เมื่อเรียกลูก สรรพนามก็ต้องเป็น หนู เหมือนที่ใช้กับลูกๆของตัวเอง เสียงทางนั้นตอบมาว่า

“ก็ไม่บ่อยหรอกครับ”

“หนูยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่มั้ยลูก” ทางนั้นเงียบไปไม่ยอมตอบ แต่ก็ไม่วางสาย แม่แจ๋วจึงชวนคุยต่อไปอีกว่า

“หนูมีเพื่อนๆหลายคนมั้ย”

“มีครับ”

“แล้วเพื่อนๆหนูเขาทำอย่างที่หนูทำนี่หรือเปล่า”

“ก็มีทำครับ”

“ถ้างั้นก็แสดงว่าหนูยังเป็นนักเรียนอยู่ล่ะซิ หนูเรียนโรงเรียนไหนเหรอไ

เงียบ! รอสักครู่เมื่อทางนั้นไม่วางสาย แม่แจ๋วถามต่อ

“หนูมีพี่น้องมั้ย”

“มีครับ”

“หนูมีพี่น้องกี่คน”

“ห้าคนครับ”

“เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”

“ผู้หญิงสองคน ผู้ชายสองคน”

“พี่ๆหนูยังเรียนอยู่ใช่มั้ย”

“เขาทำงานกันหมดแล้วครับ”

“งั้นหนูก็เป็นคนสุดท้องซินะ” เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ดิฉันจึงชวนคุยต่อไปว่า

“หนูยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่มั้ย”

“มีครับ”

“คุณพ่อคุณแม่หนูทำงานอะไรเหรอ”

“เขาค้าขายครับ”

“แล้วหนูได้พูดคุยกับพี่ๆและคุณพ่อคุณแม่บ้างมั้ย”

ทางนั้นเงียบไปไม่ตอบว่าอะไร ดิฉันคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจคำถาม จึงพูดขึ้นอีกว่า

“คือแม่หมายถึงเวลาที่หนูอยู่บ้าน หลังเลิกเรียนตอนเย็น ตอนทานข้าวด้วยกัน หรือดูทีวีด้วยกันกับพ่อแม่และพี่ๆหนูน่ะ”

“ไม่มีใครมีเวลาคุยกับผมเลยครับ” เสียงตอบนั้นปนสะอื้นเหมือนคนร้องไห้ ดิฉันได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งงันไป รู้สึกสงสารจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร นิ่งกันไปชั่วครู่ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า

“หนูคงเรียนอยู่ชั้นมัธยมใช่มั้ย ไหนหนูลองบอกแม่ซิ หนูเรียนโรงเรียนอะไรเหรอ” ทางนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก็วางสายโทรศัพท์ลงอย่างเงียบเชียบ ดิฉันจึงต้องวางสายลงแบบเสียดายอย่างยิ่ง รู้สึกว่าไม่น่าใช้คำถามแบบนี้กับเด็กคนนั้น เขาคงระแวงดิฉันว่าจะอยากรู้จักโรงเรียนเขาไปทำไม

เรื่องโทรศัพท์ลึกลับมีเพียงเท่านี้ ดิฉันได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนๆหลายคนฟัง ก่อนจะเล่าดิฉันก็ถามก่อนทุกคนไป คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่บอกว่าจะวางสายโทรศัพท์ไปเลย บางคนก็บอกว่าขอด่าให้สะใจก่อนแล้วค่อยวางโทรศัพท์ เมื่อเล่าให้ลูกฟัง ดิฉันไม่ถามก่อน แต่เล่าไปว่าได้รับโทรศัพท์ที่มีคำพูดอย่างไรในตอนแรก ลูกโจ๊กไม่ทันฟังให้จบก็บอกว่า

“แม่ไปพูดกับมันทำไม พวกนี้มันเป็นโรคจิต วันหลังถ้ามีแบบนี้อีกแม่วางโทรศัพท์ไปเลย อย่าไปพูดกับมัน”

“แม่ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมเรา ก็เป็นโรคจิตกันเกือบทั้งนั้น หนูลองฟังแม่ให้จบก่อนแล้วค่อยออกความเห็นดีมั้ย” ลูกๆนิ่งไป ดิฉันเล่าทุกคำพูดให้ลูกฟังจนจบ จากนั้นก็พูดว่า

“แม่ว่าเราจะไปว่าเด็กคนนั้นก็ไม่ถูกหรอกนะ หนูลองคิดดูคนในบ้านของเขาไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือพี่ๆ ไม่มีใครมีเวลาพูดคุยกับเขาเลย เขาก็ต้องหาคนคุยด้วยซึ่งก็คือเพื่อนๆที่โรงเรียน แล้วเผอิญเขาโชคไม่ดี ไปเจอเพื่อนที่แนะนำในทางที่ผิด เรื่องก็เลยเป็นแบบนี้ ยิ่งถ้าเราไปด่าเขา แม่ว่าแทนที่เขาจะโกรธ เขาอาจเอาไปหัวเราะกับเพื่อนๆเป็นเรื่องสนุกก็ได้”

“เขาถูกด่าแล้วเขาจะไปหัวเราะกันทำไมล่ะแม่” ลูกโจ๊กถามขึ้น

“แม่คิดว่า พวกที่ทำแบบนี้เขาเองก็รู้ดีว่า ไม่ใช่การกระทำของคนดี และใครๆก็ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นพวกไม่ดี แต่ถ้าเราด่าเขากลับไป ยิ่งหยาบคายมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งชอบใจว่า มีคนที่ไม่ดีพอๆกับพวกเขา หรือแย่กว่าพวกเขาอีกเยอะแยะในสังคมนี้ พวกเขาอาจคิดกันด้วยซ้ำไปว่า เขาก็แค่พูดเล่นสนุกเท่านั้น เผลอๆอาจจะเอาไปนับแต้มกับเพื่อนๆก็ได้ว่า วันนี้เจอคนด่าหยาบคายกี่คน และที่หยาบคายสุดๆนั้นเป็นคำพูดอย่างไรบ้าง ลูกก็รู้ว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้เป็นผู้ชายทั้งนั้น และก็ต้องพูดกับผู้หญิงเท่านั้น แล้วถ้าเหล่าคุณผู้หญิงทั้งหลายซึ่งเป็นเพศแม่ โต้ตอบไปด้วยคำหยาบคาย ลูกว่ายังจะเหลืออะไรที่ดีๆในสังคมให้พวกเขาได้นับถือบ้างมั้ย” ลูกๆนิ่งคิด ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ถ้าวันนั้นแม่โต้ตอบเขาไปด้วยคำหยาบคาย และนำมาเล่าให้ลูกฟัง ลูกจะคิดว่าแม่เป็นคนอย่างไร ภาพของแม่ในใจลูกจะออกมาเป็นแบบไหน แม่คิดว่ามนุษย์ทุกคนมีทั้งธาตุดีและเลวอยู่ในตัวของเขา ถ้าเราสามารถดึงเอาธาตุดีในใจของเขาออกมาได้ เขาจะมองเห็นตัวเขาเองได้ชัดเจนขึ้น ไม่แน่นะหลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว เขาอาจได้คิดอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้ แม่คิดว่าสติเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราทำทุกอย่าง พูดทุกเรื่องอย่างมีสติ ไม่ใช้แต่อารมณ์ อะไรๆมันคงดีขึ้นกว่านี้เยอะแยะ ลูกๆก็เหมือนกัน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใครง่ายๆแค่ฟังเขาพูดเท่านั้น”

ลูกๆนิ่งไป ไม่ออกความเห็นแต่อย่างใด ทุกคนมีสีหน้าครุ่นคิด ดิฉันไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก ได้แต่คิดว่าการเล่าเรื่องต่างๆให้ลูกฟังนั้น ก็เพื่อให้ลูกๆได้คิดและเก็บไว้ในความทรงจำ เผื่อวันข้างหน้าอาจเป็นประโยชน์แก่พวกเขาบ้าง