2. นายโจ๊กถูกขู่…ฆ่า!!
เห็นชื่อเรื่องแล้ว“ต๊กใจ!!” คงสงสัยละซิ เอ! นายโจ๊กลูกแม่แจ๋วไปทำอะไรรึ ถึงมีเรื่องถูกขู่จะฆ่าแบบนี้ อันที่จริงเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากเรื่องที่แล้ว คือเรื่องลูกชายมีแฟนที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้ว เรื่องของนายแจ๊คราบรื่นเรียบร้อยดี แต่นายโจ๊กนี่ซิ ไม่รู้เป็นยังไง เวลาเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม ก็มีเรื่องกับเพื่อนที่โรงเรียนให้หวาดเสียวหลายครั้ง อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วในเรื่อง “มหกรรมก่อนบวชเณร”แต่หลังจากที่ลูกบวชเณรแล้ว ความใจร้อนใจเร็วก็ลดลงไปมาก มีความสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้นจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐฯได้ อ้าว! แล้วทำไมถึงถูกขู่ฆ่าล่ะ งั้นก็มาฟังเรื่องนายโจ๊กกันต่อ
จำได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ลูกโจ๊กเรียนอยู่“มหาลัย”ปีหนึ่งได้เกือบครบปีแล้ว ช่วงนั้นลูกต้องไปเรียนที่วิทยาเขตรังสิต และอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย เพื่อความสะดวกและไม่เสียเวลาเดินทาง ลูกยังคงคบหาหนูแอนเป็นแฟนกันอยู่ แต่นานๆครั้งจึงจะพามาบ้านซะทีหนึ่ง เพราะเรียนกันคนละที่ไกลกันมาก
เรื่องเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ที่ลูกกลับมาบ้าน ตามกฎของดิฉัน ลูกต้องกลับบ้านมารับเงินเป็นรายสัปดาห์ ทั้งๆที่เมื่อลูกเรียนชั้นมัธยม ดิฉันให้ลูกใช้เงินค่าอาหารเป็นรายเดือน แต่พอลูกเรียนมหาวิทยาลัย กลับให้เงินเป็นรายสัปดาห์ เพราะต้องการให้ลูกกลับบ้านทุกวันหยุด ด้วยกลัวว่าลูกจะไม่ยอมกลับบ้าน หรือเดือนหนึ่งกลับบ้านครั้งหนึ่ง เหมือนลูกของเพื่อนๆที่เคยได้ยินได้ฟังมา คืนวันเกิดเหตุนั้นประมาณเที่ยงคืนกว่า ดิฉันหลับแล้ว แต่ตื่นขึ้นเพราะได้ยินลูกโจ๊กพูดเสียงดังมาก เหมือนกำลังทะเลาะกับใครอยู่ ด้วยความสงสัยอย่างมาก ดิฉันจึงลงจากห้องนอนมาดูว่าลูกกำลังพูดกับใคร ก็ได้เห็นลูกพูดเสียงดังมากกับใครคนหนึ่งทางโทรศัพท์ คุณพ่อนั่งฟังอยู่นิ่งๆ ด้วยสีหน้าที่ออกอาการโกรธ สักพักลูกกระแทกหูโทรศัพท์ดังโครม แล้วหันมาพูดกับคุณพ่อว่า
“ป๊า เอายังไงดี”
“มีอะไรกันหรือลูก เสียงดังลั่นเลย หนูทะเลาะกับเพื่อนหรือ” ดิฉันถามลูกด้วยความสงสัย
“มันไม่ใช่เพื่อนโจ๊กหรอกแม่”
“อ้าว! แล้วหนูทะเลาะกับใครล่ะ”
“ไอ้นี่มันมาแย่งแฟนโจ๊ก มันบอกว่าถ้าโจ๊กไม่เลิกยุ่งกับแอน มันท้าโจ๊กให้ออกไปดวลกับมัน ให้โจ๊กเอามีดหรือปืนไปก็ได้ ดวลกันให้รู้ดำรู้แดงกันไป ใครชนะคนนั้นก็ได้แอนไป” ยังไม่ทันที่ดิฉันจะพูดว่าอย่างไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกคุณพ่อบอกว่าให้รับโทรศัพท์ดูซิว่าเขาจะพูดว่าอย่างไรอีกลูกโจ๊กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พูดไปว่า
“มึงจะเอายังไง” เสียงทางนั้นตอบมาว่าอย่างไร ดิฉันไม่ได้ยิน แต่เห็นกิริยาของลูกว่าโกรธมากขึ้นและโต้ตอบไปว่า
“มึงลองมาแตะต้องครอบครัวกูหรือแอน มึงไม่ได้ตายดีแน่ กูก็มีมือมีตีนเหมือนกัน” ว่าแล้วลูกก็กระแทกหูโทรศัพท์อีกครั้ง
“เขาว่ายังไงหรือลูก” ดิฉันถามขึ้นอีก
“มันบอกว่าถ้าโจ๊กไม่ยอมเลิกกับแอน มันจะมาจัดการกับแม่และน้อง เอาระเบิดมาปาบ้าน เพราะมันรู้จักบ้านเรา มันรู้ด้วยว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน ซอยอะไร และที่บ้านมีหมาด้วย หลังจากนั้น มันก็จะไปดักข่มขืนแอนที่หน้าปากซอยบ้านแอนมันรู้ว่าแอนไปเรียนกวดวิชาและกลับบ้านตอนประมาณสองทุ่มกว่า ป๊าเอายังไงดี” ลูกโจ๊กหันไปถามคุณพ่อด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เศร้าหมองและเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“งั้นไปแจ้งความที่โรงพักก่อนว่าเราถูกขู่ทำร้ายถ้ามีใครเป็นอะไรไป จะได้มีหลักฐานว่าเป็นใคร” คุณพ่อตอบมาด้วยเสียงที่โกรธมากทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก คุณพ่อบอกว่า
“ไม่ต้องพูดกับมันให้เสียอารมณ์ ยกหูโทรศัพท์ออก มันจะได้โทรฯไม่ได้” ดิฉันยกหูโทรศัพท์ออกวางไว้ที่ข้างๆเครื่องรับโทรศัพท์ ลูกโจ๊กหันไปมองคุณพ่อและพูดว่า
“เอายังไงป๊า จะไปแจ้งความที่โรงพักตอนไหน จะไปพรุ่งนี้เช้าหรือยังไง”
“ไปตอนนี้แหละ” คุณพ่อตอบมา
“ลองโทรฯไปที่โรงพักก่อนซิว่า ต้องแจ้งความที่ไหน หรือเล่าเรื่องให้ตำรวจฟังก่อนเผื่อเขาจะแนะนำอะไรได้” ดิฉันพูดขึ้น ลูกโจ๊กหันไปหยิบหูโทรศัพท์วางไว้ที่แป้นตามเดิม ทันทีทันใดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ลูกยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟัง สีหน้าเคร่งเครียดและนิ่งงันไปกับคำพูดของฝ่ายโน้น คุณพ่อหยิบกระบอกโทรศัพท์ออกจากมือลูกวางไว้ที่แป้นพร้อมกับถามขึ้นว่า
“มันพูดว่าอะไร”
“มันได้ยินเราพูดกันว่าจะไปแจ้งความที่โรงพัก มันท้าให้เราไปแจ้งความด้วย มันบอกว่ามันรู้จักตำรวจใหญ่ๆหลายคน แม่มันเป็นเพื่อนกับตำรวจ แถมมันยังบอกว่า ถึงมันจะเอาระเบิดมาปาบ้านเรา มันก็ไม่มีวันติดคุก” ลูกโจ๊กตอบคุณพ่อด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“อย่าไปเชื่อมัน มันแกล้งขู่ไปอย่างนั้นเอง เมื่อกี้หนูไม่ได้กดโทรศัพท์ทิ้งก่อนหรือ” คุณพ่อปลอบลูกและถามขึ้นด้วยความสงสัย ดิฉันจึงพูดขึ้นว่า
“ชั้นเป็นคนเอาโทรศัพท์ไปวางเอง ลืมคิดไปว่าควรจะกดทิ้งไปก่อน ไม่เป็นไรหรอกลูก มันคงกลัวว่าเราจะไปแจ้งความจริงๆนะ ก็เลยพูดขู่ไว้ก่อน ลูกลองโทรฯไปที่191 และถามว่าเรามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขาจะช่วยเราจัดการอย่างไรได้บ้าง”
ลูกโจ๊กโทรศัพท์ไปที่191 สอบถามได้ความว่าต้องไปแจ้งความที่โรงพัก สน.โคกคราม เมื่อโทรฯไปที่ สน. นายร้อยเวรผู้รับเรื่องบอกว่าต้องไปแจ้งความด้วยตนเองที่โรงพัก
เมื่อทราบเรื่องแล้วคุณพ่อกับลูกโจ๊กจึงพากันออกจากบ้านไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตามที่ได้รับคำแนะนำ ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว ดิฉันคงนั่งรอคนทั้งคู่อยู่ นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเกือบสี่นาฬิกา ทั้งพ่อลูกจึงกลับมา เมื่อเข้าบ้านแล้วคุณพ่อก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำนอนทันทีด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนลูกโจ๊กเดินมานั่งที่โซฟาเหมือนคนหมดแรงและมีสีหน้าที่เศร้าหมองยิ่งนัก ดิฉันถามลูกว่า
“ตำรวจว่าอย่างไรบ้างลูก”
“เขาก็รับแจ้งความไว้เฉยๆ และบอกว่ายังไม่มีเรื่องเกิดขึ้น เขาทำอะไรให้ไม่ได้ แม้ว่าจะขอให้เขาโทรศัพท์ไปเตือนทางฝ่ายโน้นก็ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ขึ้นนอนได้แล้ว”
“แม่! โจ๊กคงนอนไม่หลับ ไม่รู้มันจะทำอะไรอีก”
“ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ลูก เพราะเราเป็นฝ่ายตั้งรับ เขาอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่สว่าง ไม่มีอะไรดีไปกว่ารอดูว่าเขาจะทำอะไร”
“แล้วเราจะปล่อยให้มันมาทำกับเราก่อนหรือแม่”
“อ้าว! งั้นลูกจะทำยังไงล่ะ”
“โจ๊กก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถ้างั้นลูกก็ขึ้นไปนอนก่อน หนูเพลียมากแล้ว คิดอะไรไม่ออกหรอก นอนสักตื่น เมื่อร่างกายได้พักสมองก็จะปลอดโปร่ง เดี๋ยวก็คิดออกเองแหละว่าจะทำยังไงต่อไปดี”
ลูกโจ๊กพยักหน้ารับอย่างเพลียๆเดินขึ้นบันไดไป ดิฉันเห็นว่าใกล้สว่างแล้ว จะขึ้นนอนก็คงไม่หลับ จึงเดินเข้าครัว เปิดวิทยุชุมชนเพื่อฟังพระเทศน์ จัดแจงเอาผ้าใส่เครื่องซักและตระเตรียมอาหารเช้าต่อไป จิตใจก็ไม่ได้กังวลอะไรนัก คิดว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ คงฟังเสียงพระเทศน์ไปทำงานไปด้วยจิตใจที่ค่อนข้างสงบเงียบ
ประมาณหกนาฬิกา ลูกโจ๊กเดินเข้ามาในครัวและพูดขึ้นว่า
“แม่! โจ๊กนอนไม่หลับ โจ๊กว่าจะไปบ้านแอนเพื่อเตือนแอนและพ่อแม่ของเขาให้รู้ตัวไว้ก่อน ให้เขารู้ว่าไอ้ชัย(ชื่อสมมติของคู่กรณีของลูก) มันโทรฯมาขู่ว่าอย่างไรบ้าง เผื่อเขาจะหาทางป้องกัน”
“หนูจะไปตอนนี้นะหรือ ยังเช้าอยู่เลยนะ ถ้าหนูไปกดกริ่งเรียก พวกเขาจะตกอกตกใจกันเปล่าๆ รอให้สายหน่อยก็ได้ วันนี้เป็นวันเสาร์พ่อแม่ของแอนคงไม่ตื่นเช้ามากนักหรอก หนูขึ้นไปนอนซิลูก ซักแปดเก้าโมงค่อยไปก็ยังทัน”
“โจ๊กนอนไม่หลับหรอกแม่ ทำไมนะเรื่องร้ายๆแบบนี้ต้องเกิดกับโจ๊กด้วย โจ๊กทำเวรกรรมแบบไหนหรือแม่ ถึงต้องเจอคนเลวๆแบบนี้”
“มันคงเป็นวิบากกรรมนะ ไหนโจ๊กลองเล่ารายละเอียดให้แม่ฟังหน่อยซิ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ถึงได้เป็นเรื่องขนาดจะฆ่าจะแกงกัน” ดิฉันถามพร้อมกับนั่งมองลูกนิ่งอยู่ ลูกถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดตอบว่าอย่างไร ดิฉันจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนๆว่า
“ลูกลองเล่าเรื่องให้แม่ฟังซิ เผื่อแม่รู้รายละเอียดแล้ว อาจหาทางช่วยลูกได้นะ ก็แอนเป็นแฟนลูกอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงมาตู่ว่าลูกไปแย่งแฟนเขาละ หรือว่าแอนเขาเป็นแฟนกับนายชัยคนนั้นมาก่อน” ลูกโจ๊กรีบตอบทันที
“ไม่ใช่! แอนเป็นแฟนโจ๊กก่อน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง โจ๊กกับแอนทะเลาะกัน เขาโกรธโจ๊ก ก็เลยหันไปคบกับไอ้ชัย ตอนหลังแอนเขากลับมาคืนดีกับโจ๊ก เลิกคบไอ้ชัย มันเลยหาว่าโจ๊กไปแย่งแอนมาจากมัน”
“แล้วแอนเขารู้จักกับนายชัยนั้นก่อนที่จะรู้จักกับลูกหรือ”
“ไม่หรอกแม่ ไอ้ชัยมันเป็นเพื่อนกับเพื่อนของแอน ตอนนั้นเพื่อนแอนเขาเห็นว่าโจ๊กทะเลาะกับแอน และแอนกำลังเสียใจมาก เขาเลยแนะนำให้แอนรู้จักกับมัน มันเลยมาจีบแอนและเป็นแฟนกันอยู่พักหนึ่ง แต่ตอนหลังแอนกลับมาคืนดีกับโจ๊ก มันเลยโกรธที่มาง้อแล้วแอนก็ไม่ยอมเป็นแฟนมันอีก บอกว่าเลิกคบมันแล้ว เพราะหันมาดีกับโจ๊กแล้ว”
“แล้วนายชัยเขาเรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกับโจ๊กหรือ เขาถึงได้รู้จักโจ๊ก เบอร์โทรศัพท์และแถมยังรู้จักบ้านเราด้วย”
“ไม่หรอกแม่ โจ๊กยังไม่เคยเห็นมันด้วยซ้ำ มันอยู่โรงเรียนอื่น ไอ้นี่มันเด็กเกมันไม่เรียนหนังสือหรอก มันถือว่าบ้านมันรวย มันเลยไม่ตั้งใจเรียน แถมยังเป็นพวกอันธพาล เป็นพวกไม่มีอนาคต”
“อ้าว! ทำไมโจ๊กถึงได้รู้เรื่องของเขามากนักล่ะ”
“ก็แอนเป็นคนเล่าให้โจ๊กฟัง มันเคยมาหาแอนที่โรงเรียนโจ๊ก ตอนที่มันยังจีบแอนอยู่ โจ๊กเคยเห็นมันไกลๆ แต่ไม่ชัด ไม่รู้ด้วยว่าหน้าตามันเป็นยังไง ที่มันรู้เบอร์โทรฯบ้านเรา อาจเป็นเพราะมันถามจากเพื่อนของแอนก็ได้ เพราะเขาเป็นเพื่อนกัน แต่ที่มันรู้ว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน โจ๊กก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้ได้อย่างไร”
“ความจริงเขาน่าจะรู้จักเบอร์มือถือของโจ๊กมากกว่าที่จะรู้เบอร์ที่บ้านเรานะ”
“มันก็รู้เบอร์โจ๊กแหละแม่ มันเคยโทรฯหาโจ๊กแล้ว เคยทะเลาะกันมาแล้ว ตอนหลังโจ๊กไม่รับสายมัน มันคงไปสืบหาเบอร์โทรฯของบ้านเราจากเพื่อนของแอน”
ดิฉันได้ยินเรื่องจากลูกก็นึกในใจว่า เด็กวัยรุ่นสมัยนี้แปลกๆ พอทะเลาะกับคนหนึ่งก็ต้องหาคนใหม่มาคบทันที เรื่องมันถึงได้วุ่นๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นิ่งกันไปสักครู่ ลูกก็พูดขึ้นว่า
“ทำไมเรื่องร้ายๆอย่างนี้ถึงต้องเกิดกับโจ๊กด้วย”
“มันก็มีเรื่องเกิดขึ้นกับคนอื่นๆตลอดแหละลูก บางคนก็เจอเรื่องที่ร้ายแรงกว่าเรื่องของหนูอีก แต่เพราะมันเป็นเรื่องของคนอื่นไงล่ะ เราเลยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน แต่พอมีเรื่องมาเกิดกับเราบ้าง เราถึงได้รู้สึกทุกข์ไง”
“แต่โจ๊กไม่อยากให้มันเกิดกับโจ๊กนี่”
“ก็มันเกิดแล้ว หนูจะไปห้ามไม่ให้มันมาเกิดกับหนูได้หรือ ชาติก่อนโจ๊กคงไปทำไม่ดีกับเขาไว้ละมั่ง มันเลยต้องมาเกิดเรื่องกับโจ๊ก”
“แม่ว่าโจ๊กไปทำอะไรไม่ดีล่ะ ถึงได้เกิดเรื่องร้ายๆกับโจ๊ก”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน โจ๊กอาจเคยไปแย่งแฟนเขามาละมั่ง ชาตินี้เขาเลยตามมาแย่งแฟนโจ๊ก”
“ไม่จริงหรอกแม่ โจ๊กจะไม่มีวันไปแย่งของคนอื่นหรือแฟนคนอื่นมาเด็ดขาด”
“ดีแล้วที่ลูกคิดแบบนี้ ถือว่ามันเป็นวิบากกรรมก็แล้วกัน เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็หาทางแก้ไขกันไป”
“แม่! ถ้ามันโทรฯมาท้าโจ๊กดวลกับมันอีก แม่ว่าโจ๊กควรไปดวลกับมันมั้ย”
“ไปทำไมล่ะลูก หนูเองก็บอกว่าเขาเป็นอันธพาล ไม่เรียนหนังสือ ไม่มีอนาค หนูจะเอาอนาคตไปแลกกับเขาทำไมล่ะลูก”
“ถ้าโจ๊กไม่ไป มันก็จะว่าโจ๊กขี้ขลาด กลัวมัน”
ดิฉันนิ่งไปสักพัก เกิดคิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ จึงพูดกับลูกว่า
“เอาอย่างนี้ซิลูก ถ้าคราวหน้าเขามาท้าหนูอีก หนูก็เปลี่ยนเป็นท้าให้เขาไปนั่งทำสมาธิกับหนูที่วัด เอาซักสามวันสามคืนเลย ห้ามใครออกจากโบสถ์ ถ้าใครทนไม่ไหวก่อน คนนั้นก็แพ้ไป”
ลูกโจ๊กมองแม่อย่างงงๆและพูดขึ้นเสียงดังว่า
“แม่! แม่พูดอะไรออกมานะ มันท้าโจ๊กไปดวลกับมันนะ ใช้มีดหรือปืนถ้าไปท้ามันนั่งสมาธิอย่างแม่บอก มันคงหัวเราะเยาะโจ๊กตายเลย”
“โจ๊ก โจ๊กฟังแม่นะ ใจเย็นๆ แม่จะพูดให้ฟัง ลูกลองคิดดูซิ ถ้าเขาท้าหนูดวล เขาต้องท้าในสิ่งที่เขาถนัดและชำนาญ แต่ลูกไม่เป็นซักอย่างในเรื่องสู้รบด้วยอาวุธ เพราะหนูเป็นเด็กดีเด็กเรียน ไม่ใช่อันธพาล ก็ทำไมลูกไม่ท้าเขาดวลในสิ่งที่ลูกเป็นหรือถนัดล่ะลูกหนูก็เปลี่ยนจากดวลกันด้วยมีดหรือปืน มาเป็นการดวลด้วยการนั่งสมาธิซิลูก หนูบวชเณรมาแล้ว แถมเคยนั่งสมาธิได้เก่งด้วย แม่ว่ายังไงหนูก็ชนะแน่ เพราะคนอย่างนายชัยต้องไม่เคยนั่งสมาธิแน่ๆ แค่นั่งนิ่งๆสักวันกับคืน เขาก็คงยอมแพ้ลูกแล้วละมั่ง” ลูกโจ๊กนิ่งงันไป คงคิดว่าแม่ชักเพี้ยนไปแล้ว เมื่อเห็นว่าลูกไม่พูดอะไร ดิฉันจึงกล่าวต่อไปว่า
“ลูกคิดดูนะ ถ้าดวลกันด้วยมีดหรือปืน ต้องมีคนบาดเจ็บหรืออาจถึงตาย คนที่อยู่ก็ติดคุก ไม่เห็นมีใครชนะจริงซักคน แล้วหนูว่าแอนเขาจะรอแฟนที่ติดคุกหรือ แต่ถ้าทำอย่างแม่ว่า สมมตินายชัยเขาโทรฯมาท้าโจ๊กอีก หนูก็บอกเขาซิลูกว่าขอเปลี่ยนจากการดวลด้วยอาวุธมาเป็นการดวลด้วยปัญญา คือการนั่งสมาธิสามวันสามคืน ใครอดทนได้ก็ได้แอนไปเป็นแฟน ใครทนไม่ได้คนนั้นก็แพ้ไป ทำอย่างนี้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ไม่เหมือนการดวลด้วยอาวุธ หากฉวยพลาดพลั้งลูกๆเป็นอะไรไป คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องมานั่งเศร้าเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกด้วย ”
ลูกโจ๊กถามว่า
“ถ้ามันเอาอย่างที่แม่ว่าล่ะ แม่จะให้ไปนั่งสมาธิที่ไหน”
“ก็ในโบสถ์ที่วัดสุวรรณฯที่แม่ไปทำบุญทุกวันพระไง ถ้าเขาเอาจริงแม่จะไปขออนุญาตเจ้าอาวาสท่านเอง ปิดประตูหน้าต่างให้หมดเลยนะ ปิดไฟให้มืด ห้ามใครเข้าๆออกๆ แม่จะเป็นคนส่งข้าวส่งน้ำเอง หนูเชื่อเถิด แม่ว่าเขาทำไม่ได้หรอก คนไม่เคยนั่งสมาธิ ถ้าให้มานั่งนิ่งๆ รับรองไม่เกินวันกับคืน เขาต้องยอมแพ้ลูกแน่”
“ก็ถ้าเกิดเขานั่งได้ครบสามวันล่ะ”
“แล้วลูกนั่งได้ครบสามวันหรือเปล่าล่ะ ถ้าทั้งสองคนนั่งได้สามวันสามคืนในโบสถ์เดียวกัน แม่ว่าหนูคงไม่โกรธกันแล้ว คงกลายเป็นเพื่อนกัน ตกลงกันได้แล้วละมั่ง”
“ไม่มีทางที่โจ๊กจะเป็นเพื่อนมันได้หรอกแม่”
“ยังไม่ต้องพูดตอนนี้หรอกลูก เอาไว้เหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆก่อนค่อยพูด”
“โจ๊กคงไม่กล้าท้ามันดวลแบบที่แม่บอกหรอกนะ เพราะถ้ามันได้ยิน มันคงหัวเราะเยาะโจ๊กแน่ๆ”
“ก็โจ๊กยังไม่ทันเอ่ยปากพูดเลย หนูจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะหัวเราะเยาะลูก ทำไมถึงไปคิดแทนเขาก่อนล่ะ”
“เอาไว้โจ๊กคิดดูก่อนว่าจะใช้วิธีของแม่หรือเปล่า นี่ก็เกือบเจ็ดโมงแล้ว โจ๊กจะไปบ้านแอนละ กว่าจะถึงบ้านเขาก็เกือบแปดโมง พ่อแม่เขาคงตื่นแล้ว โจ๊กว่าจะรีบไปก่อนที่แม่เขาจะออกจากบ้าน”
“ก็ตามใจหนู แต่ต้องระวังค่อยๆพูดนะ เดี๋ยวเขาจะตกใจกันทั้งบ้าน ระวังรถราด้วยล่ะลูก”
ลูกพยักหน้ารับ สีหน้าคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง ดิฉันตามไปปิดประตูบ้าน หลังจากนั้นก็เข้าไปดูความเรียบร้อยในครัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จึงเดินขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว และขับรถไปที่สวนใกล้บ้านเพื่อออกกำลังกายกับเพื่อนๆตามปกติต่อไป
ดิฉันกลับเข้าบ้านอีกครั้งเวลาประมาณสิบนาฬิกา เห็นลูกโจ๊กนั่งดูทีวีอยู่ จึงถามลูกเรื่องที่เขาไปบ้านแอนเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้พ่อแม่เขาฟัง ลูกบอกว่าพ่อแม่ของหนูแอนเขาไม่เห็นเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวและไม่ค่อยใส่ใจ แต่กลับกล่าวโทษลูกสาวตนเองว่า เป็นต้นเรื่องก่อเหตุ แถมยังคาดโทษว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะลงโทษหนูแอน แม้ว่านายโจ๊กจะพยายามพูดอย่างไร เธอทั้งสองก็ไม่ฟัง บอกว่าจะรีบออกไปทำธุระข้างนอก ให้นายโจ๊กกลับบ้านไปก่อน ลูกเลยต้องกลับมานั่งเซ็งอยู่กับบ้าน ดิฉันจึงถามลูกว่า
“แล้วหนูแอนเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะเมื่อโจ๊กเล่าเรื่องให้เขาฟังนะ”
“เขาก็เฉยๆ โจ๊กก็ได้แต่บอกให้เขาระวังตัว พยายามอย่ากลับบ้านดึกนัก เขาก็พยักหน้ารับคำ โจ๊กบอกคุณพ่อของแอนว่า ให้มารอรับแอนที่ปากซอย ในวันที่แอนเขาต้องเรียนกวดวิชาและกลับดึก พ่อเขาบอกว่าเขาจะจัดการเอง ให้โจ๊กกลับบ้านไปก่อน แถมยังด่าแอนอีกด้วย โจ๊กว่าพ่อแม่เขาไม่ค่อยมีเหตุผลเอะอะอะไรก็ชอบด่า ชอบด่า จะพูดเหตุผลอะไรก็ไม่ฟัง แถมยังชอบออกคำสั่งอีกด้วย”
“โจ๊ก โจ๊ก พ่อแม่แต่ละคนมีวิธีเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน เขาเป็นพ่อแม่ลูกกัน เขาต้องรู้จักลูกของเขาดีกว่าหนูแน่ๆ หนูไม่ต้องกังวลไปหรอก ก็ขนาดหนูแอนได้ยิน เขาก็ยังไม่กังวลเท่าหนูเลย เขาเคยคบนายชัยมาก่อน เขาคงรู้นิสัยกันดี และอาจรู้ว่านายชัยจะไม่ทำอย่างที่ขู่ไว้จริงๆก็ได้ หนูได้บอกเขาแล้ว ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป หนูจะกลับหอพักวันไหน”
“โจ๊กว่าจะไปพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ”
“ก็ดีลูก”
ปรากฏว่าคืนวันเสาร์ไม่มีเสียงโทรศัพท์มารบกวนอีก ลูกโจ๊กดูคลายใจขึ้น พอบ่ายวันอาทิตย์หลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ลูกโจ๊กก็กลับไปหอพักที่รังสิต เหตุการณ์เป็นปกติ จนกระทั่งคืนวันจันทร์เวลาประมาณตีสอง ดิฉันก็ต้องตื่นขึ้นกลางดึกอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงคุณพ่อกำลังพูดโต้ตอบกับใครสักคนด้วยเสียงดังลั่น นอนฟังอยู่ชั่วครู่เสียงก็ยังไม่เงียบ จึงลุกออกจากห้องนอนลงมาดู เห็นคุณพ่อกำลังพูดใส่กระบอกโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำที่โกรธเกรี้ยว ยืนฟังสักครู่จึงรู้ว่าเป็นนายชัยโทรฯมา สักครู่คุณพ่อก็กระแทกหูโทรศัพท์ลงบนแป้นโครมใหญ่ ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง ดิฉันจึงถามขึ้นว่า
“นายชัยโทรฯมาหรือ”
คุณพ่อพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ยังโกรธจัดอยู่ ดิฉันจึงถามต่อไปว่า
“เขาพูดว่าอย่างไรบ้าง”
“มันถามหาโจ๊ก โจ๊ก บอกว่าไม่อยู่ มันก็ไม่เชื่อ มันหาว่าชั้นโกหกมัน”
“อ้าว! แล้วทำไมต้องทะเลาะกันเสียงดังลั่นด้วยล่ะ เขาพูดอะไรหรือ”
“มันพูดกวน บอกมันว่าไม่อยู่ พอวางหูโทรศัพท์มันก็โทรฯมาอีกสองสามครั้งฉันเลยด่า มันถ้ามันโทรฯมาอีกเธออย่ารับโทรศัพท์นะ ปล่อยมันดังไป” ว่าแล้วคุณพ่อก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างฉุนจัด ดิฉันนิ่งไม่ตอบอย่างไร เดินขึ้นห้องนอนเช่นกัน ประมาณตีสี่ดิฉันตื่นนอนตามปกติ หลังจากทำกิจวัตรส่วนตัวแล้ว ก็เดินเข้าครัวเปิดวิทยุฟังพระเทศน์และเตรียมอาหารเช้า ประมาณเกือบตีห้าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงวางมือจากในครัวไปรับโทรศัพท์ที่ห้องนั่งเล่น หยิบกระบอกโทรศัพท์ขึ้นและกล่าวทักทายไปว่า
“สวัสดีค่ะ”
มีเสียงผู้ชายทางปลายสายพูดขึ้นว่า
“ขอพูดกับโจ๊กหน่อย”
“โจ๊กไม่อยู่ค่ะ ใครต้องการพูดด้วยค่ะ” ดิฉันตอบไปเสียงเรียบๆ คิดในใจว่าคงเป็นนายชัยแน่ๆ ใจเต้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เสียงตอบมาห้วนๆว่า
“พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย ถามใคร ใครก็บอกไม่อยู่”
“จริงค่ะลูก โจ๊กกลับไปหอพักแล้ว” ดิฉันตอบไปด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อน และลากเสียงคำว่าลูกยาวกว่าปกติหน่อยหนึ่ง
“ผมไม่ใช่ลูกคุณไม่ต้องมาเรียกผมว่าลูก”
“อ้อ! แม่ก็เรียกเพื่อนๆของลูกว่า ลูก ทุกคนแหละครับ” ดิฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงเดิม
“คุณไม่ใช่แม่ผม” เสียงนั้นห้วนหนักขึ้น
“เอ้อ! แม่ก็เรียกตัวเองว่า แม่ กับเพื่อนๆลูกทุกคนละครับ”
“ผมไม่ใช่เพื่อนกับลูกคุณ” เสียงตอบมาอย่างกวนๆ
“อ้าว! หนูไม่ใช่เพื่อนโจ๊ก โจ๊ก แล้วโทรฯหาเขาทำไมหรือลูก”
“ผมมีเรื่องจะพูดทำความตกลงกับเขาหน่อย คุณเรียกมาให้หน่อยซิ หรือว่าเขากลัว”
“เขาไม่อยู่จริงๆครับลูก เอ! ใช่หนูหรือเปล่านะที่โทรฯคุยกับโจ๊ก โจ๊กเมื่อคืนก่อนนี้นะ”
“ใช่ ผมเองล่ะ ทำไมมันไปฟ้องคุณหรือ”
“เปล่าครับลูก แม่เผอิญตื่นขึ้นมาได้ยินคุยกันนะ ความจริงเมื่อคืนนี้ที่หนูคุยกับคุณพ่อ แม่ก็ฟังอยู่นะ คุณพ่อบอกหนูแล้วไม่ใช่หรือว่าโจ๊กเขากลับไปหอพักมหาวิทยาลัยแล้ว”
“อ๋อ! คุณ……นะหรือ.(เอ่ยชื่อสามีดิฉัน) นี่ก็เหมือนกัน บอกเขาด้วยนะ พูดจากับผมดีๆหน่อย แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือนล่ะ” เสียงนั้นเริ่มแสดงความโกรธ
“ถ้าคุณพ่อพูดจาอะไรไม่ดี แม่ต้องขอโทษแทนด้วยนะลูก”
“ไม่ต้องขอโทษแทนหรอก เรียกเขามาคุยกับผมดีกว่า อยากจะถามว่าพูดจากับผมอย่างนี้ทำไม เห็นผมเป็นตัวอะไร”
“แม่คงเรียกให้ไม่ได้หรอก แม่ไม่อยากรบกวนคุณพ่อ”
“เรียกคุณ…….มาสิ ผมมีเรื่องจะคุยกับเขาจริงๆ”
“ต้องขอโทษอย่างมากเลยลูก แม่เรียกให้ไม่ได้จริงๆ เพราะคุณพ่อทำงานหนักมากในตอนกลางวัน แถมเมื่อคืนก็นอนดึก คุณพ่ออายุมากแล้ว ถ้าพักผ่อนไม่พอ คุณพ่ออาจล้มป่วยได้ อย่าให้แม่เรียกเลยนะ หนูมีอะไรคุยกับแม่ก็แล้วกัน สงสารคุณพ่อนะลูก ให้คุณพ่อเขาได้พักผ่อน ถ้าคุณพ่อได้พูดอะไรที่ทำให้หนูไม่พอใจ แม่ต้องขอโทษอย่างมากๆเลย นะลูกนะ อย่าถือสาคุณพ่อเลย”
“ไม่เหมือนกันจริงๆ” เสียงทางนั้นอ่อนลง
“อะไรครับลูก อะไรไม่เหมือนกัน” ดิฉันถามไปอย่างงงๆ
“ก็คุณกับลูกคุณนะซิ ไม่เหมือนกัน ถ้าเขาพูดกับผมอย่างที่คุณพูด คงจะรู้เรื่องกันมากกว่านี้”
“ลูกโจ๊กเขาพูดอะไรที่ทำให้หนูไม่พอใจหรือลูก ไหนลองบอกแม่ซิ แม่จะได้ตักเตือนเขา”ดิฉันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“คุณอย่ารู้เลย เอาเป็นว่าเขาไม่เหมือนคุณ คำพูดเขาทำให้ผมโกรธมาก และไม่มีวันที่จะให้อภัยได้”
“ถ้าหนูโกรธมากขนาดนี้ แสดงว่าลูกโจ๊กต้องพูดอะไรที่ไม่ดีไว้มากๆจนหนูอภัยให้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ต้องขอโทษอย่างมาก ถ้าจะหาคนผิดสักคน ก็ต้องเป็นแม่นี่แหละ แม่ผิดเอง แม่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี ถึงทำให้ลูกมีกิริยามารยาทไม่เรียบร้อย พูดจาไม่ระมัดระวัง ถ้าหนูจะโกรธก็ต้องโกรธแม่นี่แหละลูก”
“ผมจะโกรธคุณทำไม คุณไม่เกี่ยว เอาอย่างนี้คุณเรียกโจ๊กมาพูดกับผมดีกว่า เรื่องจะได้จบๆกันไป” เสียงนั้นเริ่มมีความเป็นกันเองมากขึ้น
“โจ๊กไม่อยู่จริงๆครับลูก เขากลับไปหอพักเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ เพราะเขามีเรียนวันจันทร์ เอ! หนูก็ต้องเรียนหนังสือไม่ใช่หรือลูก นี่! หนูก็ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยซินะ เพราะเมื่อคืนก็คุยกับคุณพ่อ แถมตอนนี้ก็ยังมาคุยกับแม่อีก แม่ว่าหนูน่าจะไปนอนได้แล้วนะ”
“นี่! คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย โกหกผมใช่มั้ยว่าโจ๊กกลับไปหอพัก” เสียงชักห้วนอีกแล้ว
“ลูกครับ แม่พูดโกหกไม่ได้ครับ เพราะแม่ปฏิบัติธรรม แม่ถือศีลห้ามั่นคง แม่ต้องพูดแต่ความจริงเท่านั้น เพราะไม่งั้นจะผิดศีล แม่ทำไม่ได้ครับลูก” ดิฉันตอบไปด้วยเสียงที่หนักแน่น
“ถ้างั้นคุณบอกผมมาซิว่า เขาพักอยู่ที่ไหน หอพักอะไร ผมจะไปหาเขา จะคุยให้รู้เรื่องกันไป”
“แม่บอกไม่ได้ครับ เพราะแม่ไม่อยากให้หนูไปพบเขา”
“ทำไม คุณกลัวเหรอ”
“ใช่ครับ แม่กลัว กลัวว่าจะเกิดเรื่อง”
“กลัวทำไม ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”
“เป็นธรรมดาครับลูก แม่ทุกคนรักลูกทั้งนั้นแหละ ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นอะไรไป แม่ว่าแม่หนูเองก็คงต้องรักหนูเหมือนกันนะแหละ หนูมีพี่น้องกี่คนครับ คุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรหรือ”
“นี่! คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ ผมกำลังคุยกับคุณเรื่องลูกของคุณอยู่ คุณไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร”
“ก็หนูเป็นใครล่ะ ไหนหนูลองบอกแม่หน่อยซิ หนูเรียนอยู่ที่ไหน เรียนชั้นอะไรแล้ว ทำไมถึงได้รู้จักกับโจ๊ก โจ๊ก แล้วมามีเรื่องกัน”
“ก็มันมาแย่งแฟนผม”
“แฟนหนูเป็นใครล่ะ แล้วทำไมหนูถึงบอกว่าลูกโจ๊กเขาแย่งแฟนหนู”
“บอกไปคุณก็ไม่รู้จักหรอก เอาเป็นว่าผมเกลียดมันที่มันมาแย่งแฟนผม”
“ใช่คนที่ชื่อหนูแอนหรือเปล่า”
“ใช่ เอ๊ะ! คุณรู้จักรึ”
“รู้ซิครับลูก ก็หนูแอนกับโจ๊กเขาเป็นแฟนกันมาตั้งหลายปีแล้ว แอนเขายังมาที่บ้านแม่บ่อยไป แล้วเขาไปเป็นแฟนหนูได้ยังไงกันล่ะ”
“ก็เขาเลิกกับโจ๊กแล้ว และเขาก็มารักกับผม ตอนหลังลูกแม่ก็มาแย่งแฟนผม” นายชัยทำเสียงเหมือนฟ้อง แถมเอ่ยปากเรียกดิฉันว่าแม่อย่างลืมตัว
“เอ! แม่ว่าเขากลับมาคืนดีกันแล้วไม่ใช่หรือ”
“คืนดีได้ยังไง เมื่อเลิกกันแล้ว ก็ต้องเลิกไปเลยซิ”
“อ้าว! ถ้ายังงั้นหนูก็ต้องไปถามหนูแอนเขาซิลูกว่าเขากลับมาคืนดีกับโจ๊กได้ยังไง อันที่จริงแม่ว่าเรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังนะ ถ้าหนูแอนเขาไม่อยากคืนดีกับโจ๊ก เขาก็คบหนูต่อไปก็ได้นี่ แต่นี่เมื่อเขาคืนดีกันแล้ว ก็แสดงว่าเขาเต็มใจที่จะกลับมาคบกันใหม่”
“คุณเข้าข้างลูกคุณเหรอะ คุณเป็นแม่ลูกกันก็ต้องเข้าข้างกันอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่เข้าข้าง หนูเข้าใจผิดแล้วแม่พูดความจริงนะ เอาอย่างนี้นะ เมื่อเรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้วคือแอนเขาคืนดีกับโจ๊กแล้ว ทีนี้หนูจะทำยังไงต่อ”
“ผมจะถามลูกคุณว่า เขาจะเลิกกับแอนมั้ย ถ้าไม่เลิกผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด”
“หนูจะจัดการยังไงหรือลูก”
“ผมจะฆ่ามัน” น้ำเสียงนายชัยแข็งเครียดบอกความโกรธแค้นอย่างยิ่ง
“ทำไมต้องฆ่ากันด้วยล่ะ” ดิฉันถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดให้อ่อนเรียบ ทั้งๆที่ใจเต้นตึกตักด้วยความกลัวในน้ำเสียงของฝ่ายนั้น
“ก็ผมเกลียดมัน มันมาแย่งแฟนผม”
“ชัยลูก แม่ขอถามอะไรหน่อย นอกจากโจ๊กแล้ว ลูกเคยเกลียดหรือโกรธคนอื่นบ้างมั้ย”
“เคย”
“แล้วลูกทำยังไงกับคนที่ลูกเกลียด”
“ผมก็จะฆ่ามัน” นายชายเค้นเสียงตอบ
“งั้นแสดงว่าทุกคนที่หนูเกลียดหนูต้องฆ่าทุกคนเลยใช่มั้ย”
“ใช่ เมื่อผมเกลียดใคร ผมไม่ปล่อยมันไว้หรอก ผมต้องลงโทษมัน”
“ถ้าหนูเกลียดใครแล้วต้องฆ่าคนนั้น ถ้าอย่างนั้นหนูคงฆ่าไปหลายคนแล้ว หนูอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง โดยที่ตำรวจไม่จับเลยหรือ”
“ถ้าผมบอกแล้วคุณจะไม่เชื่อ ผมรู้จักตำรวจเกือบทุกโรงพัก นายตำรวจใหญ่ๆทั้งนั้น ผมบอกคำเดียวเขาต้องจัดการให้ผม”
“ทำไมล่ะ ทำไมหนูถึงได้รู้จักตำรวจ พ่อแม่หนูทำงานอะไรหรือ คุณพ่อเป็นนายตำรวจใหญ่หรือ”
“ผมไม่มีพ่อ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“พ่อผมตายแล้ว”
“งั้นหนูก็เหลือแต่แม่ซินะ หนูมีพี่น้องกี่คน”
“มีน้องอีกคน”
“หนูกับน้องเรียนหนังสือทั้งคู่ซินะ แม่หนูก็ต้องทำงานหาเลี้ยงพวกหนูคนเดียวใช่มั้ยแม่ของหนูต้องเก่งมากนะ และเข้มแข็งมากด้วย น่าเห็นใจแม่หนูนะที่ต้องทำงานคนเดียว แม่ชักอยากจะพบแม่หนูซะแล้วซิ”
“คุณจะอยากพบแม่ผมทำไม นี่คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย จะบอกมั้ยว่าหอพักของโจ๊กอยู่ที่ไหน”
“บอกไม่ได้ครับลูก อันที่จริงแม่ก็จำไม่ได้ด้วยล่ะ เพราะเคยไปส่งเขาครั้งเดียวตอนเขาเข้าหอพักวันแรก ลูกเขาต้องเอาของใช้ส่วนตัวไปเยอะแยะ แม่เลยอาสาขับรถไปส่ง”
“ถึงคุณจะไม่บอก ผมก็จะหาเองได้ ขนาดบ้านนี้ผมยังรู้เบอร์โทรฯและรู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วย”
“อ้อ! แล้วหนูรู้ได้อย่างไรล่ะว่าบ้านแม่อยู่ที่ไหน”
“ผมมีพรรคพวกเยอะแยะ สืบแป๊ปเดียวก็รู้แล้ว คุณมีลูกเล็กๆอีกคนใช่มั้ย เป็นบ้านหลังแรกในซอย และซอยนั้นก็เป็นซอยตัน มีบ้านแค่สองหลัง ที่บ้านคุณมีหมาไทยตัวหนึ่ง และมีรถจอดอยู่ในบ้านสองคัน มีสวนอยู่หน้าบ้านใช่มั้ยล่ะ”
ดิฉันนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ ชักหวั่นๆใจเพราะสิ่งที่นายชัยบอกก็ตรงกับสภาพของที่บ้านจริงๆ แต่พยายามข่มใจไว้ ยังไม่ทันได้ตอบอย่างไร นายชัยก็พูดต่อไปว่า
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน คุณไม่ได้ยินเสียงหรือ”
“เสียงอะไรล่ะลูก” ดิฉันถามไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดให้เรียบ
“ก็พรรคพวกผมแก๊งมอเตอร์ไซค์ตั้งสิบกว่าคัน ไปจอดที่ปากซอยบ้านคุณ เสียงมอเตอร์ไซค์ดังขนาดนั้น คุณไม่เอะใจบ้างหรือ”
“แม่คงหลับเพลินล่ะมั่ง เลยไม่ได้ยินเสียงอะไร แล้วพวกหนูพากันมาบ้านแม่ทำไมล่ะครับ”
“ก็ไปดูให้รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหนนะซิ ถ้าตกลงกับลูกคุณไม่ได้ พวกผมมีอาวุธพร้อม ระเบิดก็มี ตูมเดียวเรียบร้อยทั้งบ้าน กลัวตายมั้ย!” ฝ่ายโน้นขู่เสียงดัง
“ไม่กลัวหรอกลูก แม่ปฏิบัติธรรมนะ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนเราถ้าไม่ถึงที่ตาย ต่อให้มีระเบิดมาลงรอบๆบ้าน ก็ต้องแคล้วคลาดจนได้ แต่ถ้าถึงที่ตาย แม้จะนอนอยู่บนเตียงเฉยๆก็ตายได้ แต่เอ! แม่ชักสงสัย หนูกับเพื่อนๆเป็นนักเรียนไม่ใช่หรือลูก ทำไมถึงมีอาวุธ แถมมีระเบิดด้วยล่ะ หนูไปเอามาจากไหนหรือ”
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมรู้จักตำรวจ พูดคำเดียวว่าอยากได้อะไร เดี๋ยวเขาก็หามาให้”
“เอ๊ะ! หนูสั่งตำรวจได้เลยเหรอ หนูเป็นนักเรียนไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตำรวจต้องร่วมมือกับหนูด้วยล่ะ”
“คุณอย่ารู้เลยว่าผมทำอะไร คุณรู้แล้วจะตกใจ”
“ก็หนูทำอะไรล่ะ ไหนลองบอกแม่หน่อยซิ แม่ไม่ตกใจง่ายๆหรอก”
“คุณรู้จักยาบ้ามั้ย”
“รู้จัก ทำไมหรือ หนูเกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“ผมขายยา เป็นไงตกใจมากมั้ย”
“ก็ตกใจเหมือนกันแหละ แต่แปลกใจมากกว่า ทำไมล่ะลูก ทำไมหนูต้องขายด้วย แล้วคุณแม่หนูรู้มั้ย”
“แม่ผมไม่รู้หรอก ผมอยากทำเองแหละ มันรวยดี รู้มั้ยผมหาเงินได้ตั้งสองแสนแล้ว ง่ายมากใช้เวลาเดี๋ยวเดียว ผมอายุแค่นี้เองมีเงินตั้งสองแสนแล้วนะ เคยเห็นมั้ยจะมีใครหาเงินได้ง่ายอย่างผมมั่ง”
“หนูอายุเท่าไรแล้วล่ะ 15หรือ16”
“ก็ประมาณนั้นแหละ คุณจะรู้ไปทำไม”
“หนูภูมิใจมากหรือกับเงินที่หามาได้นะ หนูรู้ใช่มั้ย โทษของยาบ้านะ มันอันตรายขนาดไหน คนที่เสพติดก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก มันเป็นบาปนะลูก ถ้าเราก่อทุกข์ให้คนอื่น เราต้องผิดบาปอย่างมาก”
“ก็พวกมันอยากมาซื้อกันเองนี่ ผมไม่ได้บังคับซักหน่อย”
“ก็ถ้าหนูไม่ขาย เขาก็คงไม่ซื้อ”
“ถึงผมไม่ขาย เขาก็ไปซื้อคนอื่นอยู่ดี แล้วทำไมผมต้องปล่อยให้พวกมันไปซื้อคนอื่น ผมขายเองก็ได้เงินเอง”
“แม่ถามจริงๆเถิด คุณแม่หนูหาเงินให้หนูกับน้องไม่พอใช้หรือ หนูถึงต้องขวนขวายหาเงินมากขนาดนี้”
“ไม่เกี่ยว แม่ผมหาเงินได้มาก แต่ผมอยากเก็บเงินไว้ซื้อรถช๊อปเปอร์ คุณรู้จักมั้ย รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆนะ แก๊งผมเขามีกันทุกคน”
“อ้อ! หนูเลยต้องมีกับเขาบ้าง ก็ทำไมต้องมีเหมือนคนอื่นด้วยล่ะ แม่ถามจริงๆเถอะพวกเพื่อนๆหนูเขาเรียนหนังสือกันหรือเปล่า หรือวันๆเอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์ เขาเอาเงินที่ไหนไปซื้อ พ่อแม่เขารวย หรือเขาขายยาอย่างที่หนูทำอยู่”
“คุณจะถามถึงพวกเขาไปทำไม”
“ก็ไม่ทำอะไรหรอก แม่แค่อยากรู้ว่าแล้วต่อไปอนาคตของพวกหนูจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่เรียนหนังสือ วันๆเอาแต่ขายยา ขับรถช๊อปเปอร์ หนูเคยคิดบ้างมั้ยว่าโตขึ้นหนูจะเป็นอะไร หรือมีอาชีพอะไรที่ทำให้แม่กับน้องภูมิใจ”
นายชัยนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วพูดด้วยเสียงห้วนๆว่า
“คุณไม่ต้องมาสนใจกับอนาคตของผม ผมไม่ใช่ลูกคุณ”
“ถึงหนูจะไม่คิดว่าเป็นลูกแม่ แต่แม่คิดนะลูกว่าหนูก็เป็นลูกแม่คนหนึ่ง แม่ก็ห่วงหนูเหมือนกับที่แม่ห่วงโจ๊ก โจ๊กนะแหละ เท่าที่คุยกันมา แม่ว่าหนูเป็นเด็กดีนะ คุยรู้เรื่องดี มีสัมมาคารวะ ชักอยากพบกับคุณแม่หนูแล้วละซิ”
“คุณจะอยากพบแม่ผมทำไม” ซุ่มเสียงชักระแวง
“ไม่มีอะไรหรอกลูก คนเป็นแม่เหมือนกันก็อยากพูดคุยปรับทุกข์กัน แสดงความเห็นอกเห็นใจกันนะ แม่ว่าคุณแม่หนูต้องเป็นคนเข้มแข็งและเก่งมากเลย เพราะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ต้องหาเลี้ยงลูกตั้งสองคน แถมลูกยังได้เรียนโรงเรียนดีอีกด้วย”
“แม่ผมไม่ชอบพบคนไม่รู้จัก เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณบอกให้ลูกคุณออกมาพบผม ที่ไหนก็ได้ให้นัดมา ผมไปได้ทั้งนั้น”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อหนูอยากจะพบลูกแม่มากนัก แม่จะบอกเขาให้ก็ได้ แต่แม่ขอไปด้วยได้มั้ย”
“คุณจะไปทำไม ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ เป็นเรื่องของผมสองคนจะตกลงกันเอง”
“เอ้า! หนูลืมไปแล้วหรือ พวกหนูเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ตราบใดที่ลูกๆยังแบมือขอสตางค์แม่ใช้อยู่ แม่ถือว่าทุกเรื่องของลูก แม่มีสิทธิ์เข้าไปรับรู้ได้ทั้งสิ้น และอีกอย่างแม่อยากพบชัยด้วยแหละ”
“คุณจะอยากพบผมทำไมผมเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครอยากคบผมหรอก”
“ก็ใครล่ะที่ว่าหนูไม่ดีนะ หนูไปทำอะไรไว้หรือ แต่เท่าที่แม่คุยกับหนูมาตั้งนานเนี่ย แม่ว่าหนูพูดจาดี รู้เรื่องและเข้าใจเรื่องต่างๆได้ดีกว่าเด็กหลายๆคนที่แม่รู้จักซะอีก”
“คุณไม่ต้องมาแกล้งชมผมหรอก ผมไม่หลงคำชมง่ายๆหรอกนะ” ซุ่มเสียงชักอ่อนลง ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“ลูกครับ แม่ก็บอกกับลูกไปตั้งหลายครั้งแล้วนี่ครับว่าแม่ปฏิบัติธรรม พูดเท็จไม่ได้เพราะผิดศีลข้อสี่ ทุกเรื่องที่แม่พูดต้องออกมาจากใจจริงทั้งนั้น ถึงแม่จะไม่เคยเห็นหนูหรือรู้จักมาก่อน แต่การพูดจากันวันนี้ก็บอกได้ว่า หนูมีพื้นฐานทางครอบครัวดี แม่หนูต้องเลี้ยงดูหนูมาอย่างดีแน่นอน แม่ถึงได้อยากพบหนูรวมทั้งคุณแม่ของหนูด้วย ว่าไงครับ ให้แม่ไปด้วยได้มั้ย”
“บ้านผมอยู่ฝั่งธนฯ คุณรู้จักมั้ย ถ้าผมนัดคุณ คุณจะมาถูกหรือ”
“ก็หนูจะนัดที่ไหนล่ะ หนูลองบอกแม่ซิ เผื่อแม่จะรู้จัก ยังไงแม่ก็ต้องพยายามหาให้เจอจนได้นะแหละ”
เสียงทางนั้นเงียบไป สักครู่หนึ่งเหมือนนายชัยจะคิดอะไรได้จึงพูดขึ้นว่า
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมไปพบคุณกับลูกคุณดีกว่า คุณบอกมาก็แล้วกันว่าจะให้ผมไปพบที่ไหน”
“ก็ได้ครับ เอ! เอาที่ไหนดี แม่ก็ไม่ค่อยรู้จักที่ทางซะด้วย นอกจากที่วัดเท่านั้น เออ! เอาอย่างนี้ดีมั้ยลูก แม่ว่าแม่จะนัดหนูที่วัดที่แม่ไปเป็นประจำดีกว่า”
“คุณจะบ้าเหรอ ทำไมไปนัดที่วัด คุณคิดว่าจะให้พระช่วยสอนผมเหรอ ไม่มีทาง ไม่มีใครมาสอนผมได้หรอก แม้แต่ครูที่โรงเรียนยังสอนผมไม่ได้เลย”
“หนูเข้าใจผิดแล้วลูก แม่ไม่เคยคิดจะให้พระมาสอนลูกหรอกครับ แต่เพราะแม่ไม่รู้จักที่อื่นๆจริงๆ นอกจากวัดเท่านั้น เอาเป็นวัดอะไรก็ได้ จะเป็นวัดที่ใกล้บ้านแม่หรือจะเป็นวัดที่แถวบ้านหนูที่ฝั่งธนฯก็ได้ เผื่อแม่จะได้ไปพบพูดคุยกับคุณแม่หนูด้วย”
“คุณคิดจะฟ้องแม่ผมเหรอ ผมไม่กลัวหรอกนะไม่มีใครมาห้ามผมได้ ถ้าผมจะทำซะอย่าง”
“ว้า! ทำไมหนูขี้ระแวงจัง แม่ไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกครับ เพราะแม่รู้ว่าหนูโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว และรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรสมควรทำ อะไรไม่สมควรทำ แม่จะไปฟ้องแม่หนูทำไม ก็แค่ไปทำความรู้จักคุยกันก็เท่านั้น”
“ก็ทำไมคุณไม่นัดที่อื่น เป็นตามห้างก็ได้ ห้างก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องนัดที่วัดด้วย”
“ลูกครับ แม่ไม่เคยเดินห้างมาหลายปีแล้ว แม่ไม่รู้จักห้างอะไรทั้งนั้น นอกจากวัดเท่านั้น”
“ผมไม่พูดกับคุณแล้ว ผมว่าผมไปนอนก่อนดีกว่า นี่ก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว”
“นั่นซิลูก ทำไมหนูถึงไม่นอนละลูก”
“ผมนอนไม่หลับ”
“หนูมีเรื่องทุกข์อะไรหรือลูก ถึงได้นอนไม่หลับ ปกติต้องผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีทุกข์เรื่องงานบ้าง เรื่องครอบครัวบ้าง หรือบางทีก็เรื่องลูกบ้าง ถึงจะนอนไม่หลับ หนูยังเป็นเด็ก แม่ว่าหนูต้องมีทุกข์มากจริงๆนะ ถึงได้นอนไม่หลับ ไหนหนูลองบอกแม่ซิว่าหนูทุกข์เรื่องอะไร ปรึกษาแม่ได้นะ แม่ยินดีรับฟัง”
“ไม่มีอะไรหรอก แม่อย่ารู้เลย รู้ไปก็ช่วยอะไรผมไม่ได้” คราวนี้หลุดปากเรียกแม่แบบลืมไปว่ากำลังพูดกับใครอยู่ ดิฉันจึงตอบไปอย่างอ่อนโยนว่า
“แม่ยินดีช่วยจริงๆนะลูก ถ้าลูกอยากคุย แม่ก็ยินดีรับฟัง และถ้าช่วยได้ แม่ก็ยินดีช่วย แม่ว่าเรื่องของหนูคงไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองใช่มั้ย เพราะหนูหาเองได้ตั้งเยอะแยะแล้วนี่ ถ้ายังงั้นจะเป็นเรื่องอะไรหรือ หนูเคยคุยกับคุณแม่บ้างมั้ย”
“อย่าไปพูดถึงเค้าเลย เค้าไม่มีเวลาหรอก”เสียงเริ่มห้วน
“ชัยลูก แม่ถามจริงๆเถอะ ลูกเสพยาเองบ้างมั้ย”
“เคย แต่ตอนนี้พยายามเลิกแล้ว”
“ดีแล้วลูก หนูเองก็รู้ว่ามันไม่ดี ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะนะลูก แม่เป็นห่วงลูกจริงๆนะ ไม่อยากให้ลูกเอาอนาคตมาเสี่ยงกับสิ่งเลวร้ายแบบนี้ มันเป็นบาปนะลูก” ไม่มีเสียงตอบจากทางนั้น ได้ยินเสียงไอโขลกๆรอดออกมา ดิฉันจึงพูดขึ้นว่า
“เอ๊ะ! หนูไม่สบายหรือลูก แม่ได้ยินเสียงไอ”
“ผมเป็นหวัดนิดหน่อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”
“ชัยลูก! แม่ต้องขอโทษ แม่คุยต่อไม่ได้แล้ว เกือบหกโมงครึ่งแล้ว แม่ต้องไปปลุกน้องจ๊อบและเตรียมอาหารเช้าด้วย ถ้ามีอะไรหนูโทรฯมาคุยกับแม่ได้นะ หนูเองก็ควรไปนอนได้แล้ว นอนให้หลับนะลูก อ้อ! อย่าลืมกินยาแก้หวัด แก้ไอด้วยล่ะ ห่มผ้าหนาๆนะลูกเวลานอน”
“ครับแม่ สวัสดีครับ”เสียงนั้นสั่นเครือเหมือนคนกลั้นสะอื้น
“สวัสดีครับลูก”
ดิฉันวางหูโทรศัพท์ ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง รู้สึกสงสารนายชัยจับใจ แต่ก็ต้องตัดใจ เพราะเวลาไม่คอยท่า ถ้าปลุกลูกจ๊อบสายกว่านี้สักห้านาที จะต้องไปผจญกับรถติดบนท้องถนนแน่ๆ ขณะกำลังเดินขึ้นบันได คุณพ่อเดินสวนลงมาพอดี เมื่อสอบถามได้ความว่านายชัยโทรฯมา และทราบว่าดิฉันคุยกับเขา คุณพ่อก็ต่อว่า ดิฉันไม่ต่อความยาวแต่อย่างใด บอกว่าจะขึ้นไปปลุกลูก ไม่งั้นจะสายมาก คุณพ่อหงุดหงิด สั่งซ้ำว่า ต่อไปไม่ให้รับโทรศัพท์นายชัยอีก
เมื่อเสร็จธุระเรื่องลูกแล้ว คุณพ่อมาถามรายละเอียดจากดิฉันว่าได้พูดคุยอะไรไปบ้าง ดิฉันก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ และแถมท้ายว่า
“ชั้นว่าเขาก็คุยรู้เรื่องนะ พูดจาดี ไม่หยาบคาย น่าจะพอคุยกันได้อยู่”
“อย่าไปเชื่อมัน มันหลอกเธอนะซิ”
“เขาจะหลอกชั้นทำไม ชั้นไม่เห็นเกี่ยวอะไรเลยนี่”
คุณพ่อไม่ตอบ แต่กำชับว่าไม่ให้รับโทรศัพท์นายชัยอีก ดิฉันไม่รับคำ คงนิ่งเฉยอยู่ แต่ในใจรู้ดีว่าตัวเองกำลังคิดอะไรที่แตกต่างกับสามี ประมาณเที่ยงๆ ดิฉันโทรศัพท์ไปหาลูกโจ๊กเพื่อเล่าเรื่องที่คุยกับนายชัยให้ฟัง ลูกโจ๊กซักอย่างละเอียด ดิฉันก็เล่าให้ฟังชนิดคำต่อคำ ลงท้ายดิฉันบอกลูกว่า
“โจ๊ก โจ๊ก แม่ว่าเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร น่าจะพอคุยกันรู้เรื่อง ถ้าเขาโทรฯถึงหนูอีก หนูพยายามอย่าใช้อารมณ์โกรธคุยกับเขา ลองคุยแบบเพื่อนต่อเพื่อนคุยกัน แม่ว่าน่าจะหาทางออกได้นะ พยายามใช้คำพูดดีๆ อย่าพูดจาหยาบคายใส่กัน”
“แม่ มันมาพูดหยาบกับโจ๊กก่อนนะ”
“ไม่สำคัญหรอกลูกว่าถ้าใครพูดหยาบกับเราแล้ว เราต้องหยาบตอบ หนูก็พูดดีๆได้นี่ ถ้าขืนหยาบต่อหยาบใส่กัน รังแต่จะเกิดอารมณ์โกรธ เลยคุยกันไม่รู้เรื่องซักที”
“โจ๊กไม่รู้จะทนได้แค่ไหน แต่ก็จะพยายามก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะแม่ โจ๊กมีเรียนตอนบ่าย” น้ำเสียงลูกห้วนๆ ดิฉันกล่าวสวัสดีกับลูก และกดโทรศัพท์ปิดไป
หลังจากนั้นประมาณสองสามวัน ลูกโจ๊กโทรศัพท์มาบอกดิฉันว่า
“แม่ ไอ้ชัยมันโทรฯมาหาโจ๊ก บอกว่าอยากตกลงกับโจ๊กใหม่แบบสันติวิธี มันบอกว่ามันคุยกับแม่ตั้งนาน มันบอกว่ามันชอบแม่ แม่คุยดี คุยกับมันรู้เรื่อง มันว่าโจ๊กคุยไม่รู้เรื่อง”
“อ้าว! หนูก็คุยให้รู้เรื่องซิ”
“ขี้เกียจพูดกับมัน มันพูดเอาแต่ข้างมันได้ฝ่ายเดียว โจ๊กเลยทะเลาะกับมันอีก”
เฮ้อ! ลูกเอ๋ย ทำไมช่างอารมณ์มุทะลุกันนักก็ไม่รู้ ดิฉันก็ได้แต่นิ่งไป ไม่รู้จะพูดจะบอกอะไรอีก ได้แต่คิดว่า เราได้ทำดีที่สุดแล้ว คงต้องปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเองตามแต่จะคิดกันได้ว่าอะไรดีที่สุด
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ดิฉันเข้านอนแล้ว มีเสียงเปิดประตูห้องนอนและไฟฟ้าที่เพดานห้องก็สว่างขึ้น ปรากฏว่าเป็นลูกโจ๊ก บอกว่าพาเพื่อนๆมาจากหอพักมหาวิทยาลัยหลายคน ให้แม่ลงไปคุยกับเพื่อนๆหน่อย เมื่อดิฉันลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็ได้พบเพื่อนลูกกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่สามคน พอซักถามก็ได้ความว่า นายชัยโทรศัพท์ไปกวนและท้าดวลอีก เมื่อเพื่อนๆลูกรู้เรื่องที่ลูกโจ๊กเล่าให้ฟัง ต่างก็โกรธแค้นแทน และบอกให้นายโจ๊กรับคำท้า พวกเพื่อนๆจะไปช่วย บางคนมีมีด มีกระบอง บางคนมีสนับมือ อีกคนกำลังขับรถกลับบ้านไปเอาปืนของพ่อ และนัดกันจะไปสู้กับกลุ่มนายชัยที่สนามธูปเตมีย์ เมื่อลูกโจ๊กเห็นดังนั้น จึงบอกเพื่อนๆว่าให้กลับมาคุยกับแม่ที่บ้านก่อน เพราะแม่รู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้น เผื่อแม่จะมีวิธีอะไร เพราะนายชัยเคยคุยกับแม่แล้ว แม่น่าจะรู้จักเขาดีกว่าทุกคน ซึ่งเพื่อนๆเองก็ยินยอมตามข้อเสนอของลูกโจ๊ก จึงพากันนั่งรถแท็กซี่มาหาแม่อย่างที่เห็น
นับว่าลูกโจ๊กยังรู้จักคิดอยู่บ้าง ที่ไม่บุ่มบ่ามไปตามคำท้าทายนั้น ดิฉันคิดว่าการที่ลูกชวนเพื่อนให้กลับมาคุยกับแม่ก่อนนั้น เป็นเพราะตัวเขาเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่ไม่รู้จะปฏิเสธเพื่อนอย่างไร เพราะท่าทางของเพื่อนๆดูเหมือนพร้อมที่จะออกไปสู้รบแบบไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี ตามแบบของวัยรุ่นทั่วไป ที่มักจะมีอารมณ์ร้อนแรงได้เสมอ เมื่อดิฉันทราบเรื่องดังนั้น จึงพูดกับเพื่อนๆของลูกว่า
“พวกหนูเรียนคณะเดียวกันทั้งหมดเลยหรือ” เด็กๆพยักหน้ารับคำ
“หนูรู้เรื่องของโจ๊ก โจ๊กทั้งหมดแล้วใช่มั้ย” เพื่อนๆลูกต่างพยักหน้ารับคำอีก ดิฉันจึงถามต่อไปว่า
“แล้วพวกหนูมีใครเคยเห็นหรือรู้จักนายชัยกันบ้างมั้ย” ทุกคนมองตากันแล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่เคยเห็น แต่มีบางคนเคยคุยกับนายชัยทางโทรศัพท์ และทะเลาะกันมาแล้ว ตอนที่นายชัยโทรฯมาหาลูกโจ๊ก และเมื่อถูกฝ่ายนั้นท้าดวล โดยให้ต่างฝ่ายต่างเอาเพื่อนของตนมาสู้กัน ฝ่ายไหนชนะก็ได้เป็นแฟนหนูแอนต่อไป และฝ่ายแพ้ต้องยอมที่จะเลิกเป็นแฟนกับหนูแอน ทำให้เพื่อนๆของลูกต่างลงความเห็นที่จะร่วมกันช่วยนายโจ๊ก และรับคำท้าทายนั้น เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดจากปากของลูกและเพื่อนลูก ดิฉันรู้ดีว่า “ศึกชิงนางเพื่อศักดิ์ศรี” กำลังจะเกิดขึ้น หากดิฉันไม่ห้ามไว้ เรื่องต้องลุกลามใหญ่โตแน่ จึงพูดขึ้นว่า
“เอ! พวกหนูไม่มีใครรู้จักกับนายชัยซักคน แถมเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องของพวกหนูซักหน่อย เป็นเรื่องของโจ๊ก โจ๊กคนเดียวแท้ๆ แล้วหนูจะไปสู้รบกับฝ่ายนั้นเพื่ออะไรกัน” มีเพื่อนลูกบางคนขยับปากจะพูด แต่ก็เงียบไป ดิฉันรอฟังสักครู่ เมื่อไม่เห็นมีใครพูด จึงกล่าวต่อว่า
“แม่รู้นะว่าพวกหนูกำลังจะพูดว่า ถ้าโดนท้าดวลแล้วไม่รับคำท้า จะเสียศักดิ์ศรีและถูกเยาะเย้ยได้ว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย ลูกๆลองคิดดูนะ สมมติว่าเอาละ พวกหนูมีอาวุธครบมือ ทั้งปืนผาหน้าไม้ หนูคิดว่าฝ่ายนั้นจะมีอาวุธอะไรบ้าง อย่าลืมนะว่านายชัยกับเพื่อนๆขายยาบ้า ขนาดของผิดกฎหมายเขายังกล้าทำ แล้วแค่เรื่องปืน หนูว่าเขาจะกล้าซื้อมั้ย และพวกเขาควรจะมีอาวุธกันมากเท่าไร ดีเยี่ยมขนาดไหน พอได้ไปต่อสู้กันจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แน่นอนต้องมีคนบาดเจ็บล้มตาย เอาละสมมติว่าฝ่ายนั้นแพ้ หลายคนบาดเจ็บ หลายคนตายไป พวกหนูเป็นฝ่ายชนะ แม้ไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายเลยซักคน แต่ก็ต้องติดคุกใช่มั้ย ตำรวจคงไม่ปล่อยพวกหนูแน่ๆ แล้วอนาคตของลูกๆจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
ทีนี้เอาใหม่ สมมติว่าพวกหนูเป็นฝ่ายแพ้ คือมีคนบาดเจ็บหรือตายไป หนูว่าคุ้มมั้ยที่จะไปตายเพราะเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับพวกหนูซักหน่อย พ่อแม่หนูจะเสียใจมากขนาดไหน ที่ลูกจะต้องมาบาดเจ็บล้มตายด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ หนูรู้มั้ยนายชัยเคยบอกแม่ว่า เขามีเส้นสายเป็นพวกตำรวจ แม้ว่าเขาจะฆ่าคนตาย เขาก็จะไม่ต้องติดคุก เพราะอย่างนี้แหละเขาถึงกล้าท้าพวกหนูให้ออกไปสู้กับพวกเขา แถมเขายังบอกด้วยใช่มั้ยว่าพวกหนูจะยกกันไปมากเท่าไรก็ได้ ให้ขนอาวุธไปให้เต็มที่ แล้วอาวุธของพวกหนูมีอะไรกันบ้าง” ดิฉันหยุดพูด มองไปรอบๆ ทุกคนก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น จึงพูดต่อไปว่า
“ส่วนทางฝ่ายนั้น คงไม่ต้องบอกว่าเขามีอาวุธอะไรบ้าง มีปืนกี่กระบอก ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าท้าดวลแบบนี้หรอกนะ หนูคิดดูให้ดีนะลูก คนพวกนั้นกล้าทำทุกเรื่อง ขนาดของผิดกฎหมายเขายังกล้าทำ อนาคตพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แม่ว่าพวกหนูเองก็คงจะรู้ อายุเขาก็เท่าๆกับพวกหนูนี่แหละ แต่ไม่เรียนหนังสือ มัวแต่ไปทำเรื่องอะไรก็ไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังเรียนชั้นมัธยมอยู่เลย หนูจะเอาอนาคตตัวเองไปแลกกับคนแบบนั้น พวกหนูว่ามันคุ้มที่จะแลกมั้ย”
ดิฉันหยุดพูดอีกครั้ง มองไปรอบๆเพื่อดูปฏิกิริยาของเด็กๆ ทุกคนนิ่งฟังเงียบ ไม่มีใครพูดจาโต้ตอบ แต่มีสีหน้าที่คลายความเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงพูดต่อไปว่า
“ลูกๆว่าศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมันอยู่ที่ตรงไหน มันไม่ได้อยู่ตรงที่เราไปตามคำท้าดวลนะ หนูต้องดูว่าคำท้านั้นมันมีคุณค่าสาระอะไรหรือเปล่า ถ้ามันไม่มีคุณค่าอะไร แล้วเราไปรับคำท้าทายนั้น มันก็ไม่ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีอะไรขึ้นมาได้หรอกนะ เอาล่ะ! แม่ว่าพวกหนูคงเข้าใจกันดีแล้ว อย่าทำให้พ่อแม่ของพวกหนูต้องเสียใจเลยลูก กลับไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือดีกว่า แล้วถ้านายชัยเขาโทรฯมาอีก ลูกๆก็อย่ารับโทรศัพท์เขาเลย ไม่ต้องไปฟังเขาพูดมันจะได้ไม่เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก” เมื่อดิฉันพูดจบ เด็กๆก็ขยับเนื้อขยับตัวเตรียมลากลับ ดิฉันจึงถามลูกโจ๊กขึ้นว่า
“โจ๊ก โจ๊กหนูจะนอนบ้านมั้ย”
“ไม่ครับแม่ โจ๊กจะไปกับเพื่อน กลับไปที่หอพัก”
“แล้วอย่าแอบไปสู้กับพวกนายชัยเขาล่ะ”
“ไม่ไปหรอกแม่ โจ๊กว่าโจ๊กกับเพื่อนๆเข้าใจดีแล้ว”
“ดีลูก แม่จะได้หมดห่วง”
เพื่อนๆลูกต่างพากันลุกขึ้นไหว้ลา ดิฉันรับไหว้และกล่าวให้พรทุกคน หลังจากคืนนั้นเรื่องก็เงียบไป หลายเดือนต่อมา ลูกโจ๊กไม่ได้เอ่ยถึงนายชัยให้ได้ยินอีก เมื่อไม่มีเรื่องราวร้ายแรงเกิดขึ้น ดิฉันเองก็ไม่ไปซักถามให้มากความ คงทราบแต่ว่านายชัยเคยโทรศัพท์มาหาลูกโจ๊กและบอกยกเลิกเรื่องทั้งหมด ไม่ท้าดวลอีก ส่วนเรื่องแฟนของลูกก็เงียบไป เมื่อลูกไม่เอ่ยถึง ดิฉันก็ไม่เอ่ยปากถาม เรื่องแบบนี้ต้องรอให้ลูกเล่าให้ฟังเอง ไม่ต้องซักถามให้มากความ
จากนั้นมาดิฉันทราบแต่ว่า ลูกโจ๊กทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมากมายและเรียนหนัก ดังนั้นเรื่องที่คุยกับลูก มักเป็นเรื่องเรียนและกิจกรรมที่ลูกทำ เมื่อลูกมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ความคิดความอ่านและการพูดจาก็สุขุมรอบคอบมากขึ้น รู้สึกได้ว่าลูกมีความสุขกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างมาก ดิฉันก็ค่อยคลายใจ
ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกัน ดิฉันไตร่ตรองอยู่นานและได้เคยถามตัวเจ้าของเรื่องก่อนแล้วว่า เขาจะอนุญาตให้ดิฉันเปิดเผยเรื่องของเขาหรือไม่ เรามีการถกเถียงกันก่อน และดิฉันรับปากลูกว่า ก่อนที่จะเผยแพร่เรื่องของเขา ดิฉันจะให้เขาได้อ่านก่อน ถ้าเขายินยอมดิฉันจึงจะดำเนินการต่อ แต่ถ้าเขาไม่ยินยอม ดิฉันต้องเคารพในสิทธิของลูกผู้เป็นเจ้าของเรื่อง ลูกพูดกับดิฉันว่าเรื่องก็จบไปนานแล้ว แม่จะรื้อฟื้นไปทำไม เดี๋ยวใครมาอ่านเรื่องนี้และเขารู้จักลูก เขาก็จะเอาลูกมาว่าได้ แต่ดิฉันบอกลูกว่า จุดประสงค์ของแม่ที่เขียนเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการที่จะพาดพิงถึงใครหรือด่าว่าอะไรใคร และชื่อคนในเรื่องที่เป็นคนอื่นก็เป็นนามสมมุติทั้งนั้น ยกเว้นลูกของแม่ที่ต้องเป็นชื่อจริง และการเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะแม่คิดว่าหากใครที่ได้พบเจอเหตุการณ์อย่างที่ครอบครัวเราได้พบ และถ้าทุกคนรวมทั้งแม่ด้วย มีอารมณ์โกรธแบบโจ๊ก แบบป๊าของหนู หรือแบบที่เพื่อนๆโจ๊กเป็นกัน หนูว่าเหตุการณ์ในสองสามคืนนั้นจะออกมาเป็นรูปแบบไหน เรื่องจะจบลงแบบนี้หรือจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น
โดยเฉพาะคืนที่นายชัยโทรศัพท์มา และแม่เป็นผู้รับโทรศัพท์เองนั้น หากแม่พูดคุยกับเขาด้วยความโกรธโดยไม่ใช้สติ หนูว่าเรื่องที่ตามมาจะเป็นยังไง ลูกพอนึกภาพออกมั้ย แต่เพราะแม่ไม่ใช้อารมณ์ในการพูดคุย เรื่องทั้งหมดจึงออกมาอย่างที่เราทุกคนยังอยู่กันมาได้อย่างสุขสบายจนถึงทุกวันนี้
เรื่องของลูกโจ๊กคงต้องจบลงสักที ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านสักเล็กน้อยว่า การที่ดิฉันเล่าให้ฟังอย่างละเอียดถึงคำพูดโต้ตอบกับนายชัย รวมทั้งการพูดจากับลูกโจ๊กและเพื่อนลูกในคืนที่จะมีการยกพวกไปปะทะกันนั้น จุดประสงค์เพียงอยากให้เป็นอุทาหรณ์แก่ทุกคนว่า เมื่อเกิดเรื่องอะไรก็ตาม จะดีหรือร้ายแรงขนาดไหน จงใช้“สติ” อย่าใช้ “อารมณ์” ในการพูดคุย และขอให้คิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีธาตุดีอยู่ในตัวของเขาทั้งสิ้น เพียงแต่เขายังไม่รู้ตัวเท่านั้น เมื่อเราพยายามทำใจให้เป็นกลางในการพูดคุย เราจะมองเห็นความเป็น “เขา” ได้ชัดเจนขึ้น และสามารถหยิบยกสิ่งดีๆนั้นมาพลิกสถานการณ์จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ในที่สุด
Leave a Reply