1. เมื่อลูกชายมีแฟน
เป็นธรรมดาอย่างยิ่งของทุกครอบครัว พอลูกเริ่มโตเป็นหนุ่มน้อยหรือสาวน้อย เรื่องที่หนีไม่พ้นในทางโลกียวิสัยคือ “ลูกมีแฟน” เวลาที่แม่ๆทั้งหลายที่ค่อนข้างสนิทสนมพบหน้ากัน เรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียนของลูก และตบท้ายด้วยการถามว่า “ลูกมีแฟนหรือยัง” ความกังวลใจเรื่องเช่นนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดกับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกสาวสวย ส่วนคนที่มีลูกชายก็ไม่ค่อยเท่าไร อันที่จริงดิฉันว่า ไม่ว่าลูกคุณจะเป็นชายหรือหญิง ความเป็น “ห่วงผูกคอ” ของลูก ย่อมก่อเกิดทุกข์แก่ผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้ทั้งสิ้น หากลูกสร้างปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ทุกข์อันใหญ่หลวงก็จะเกิดแก่พ่อแม่ หากลูกเป็นเด็กดี แม้พ่อแม่จะมีความสุขบ้าง แต่ความกังวลใจอื่นๆเช่นความรัก ความห่วงใย ก็ยังสามารถที่จะก่อทุกข์แก่พ่อแม่ได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า “บุตรเป็นบ่วงรัดคอ ทรัพย์เป็นบ่วงรัดขา สามีภรรยาเป็นบ่วงรัดแขน”
แล้วลูกแม่แจ๋วมีแฟนหรือเปล่าล่ะ แน่นอน! ลูกๆก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหล่แต่อย่างใด แถมยังเป็นชายแท้ๆไม่ใช่ประเภทผู้ชายนะยะ ถ้าไม่มีแฟนนะซิ จะถือเป็นเรื่องแปลก แล้วแม่แจ๋วทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าลูกมีแฟน ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรนี่ คอยดูๆอย่าให้ลูกล้ำเส้นก็แล้วกัน หลายท่านอาจสงสัย แล้วแบบไหนถึงจะถือว่าล้ำเส้นหรือไม่ล้ำเส้น ดิฉันว่าเรื่องแบบนี้อยู่ที่จุดยืนของแต่ละคน ส่วนล้ำเส้นหรือไม่ล้ำเส้นของแม่แจ๋วเป็นอย่างไร ก็ต้องติดตามต่อไป
ดิฉันมาเริ่มรู้ว่าลูกชายคนโตมีแฟน ก็ตอนที่ลูกสอบเอ็นทรานส์เรียบร้อยแล้ว เพราะพ่อเจ้าประคุณเริ่มคุยโทรศัพท์ครั้งละนานๆ แถมยังแอบพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยมีจ๊ะมีจ๋า ก็เลยรู้ว่าลูกชายกำลังคุยกับสาวน้อยคนใดคนหนึ่งอยู่ เฝ้าสังเกตอยู่หลายวัน ชักอดรนทนไม่ได้ก็ต้องมีการถามไถ่กัน จำได้ว่าตอนนายแจ๊คถูกถามครั้งแรก หน้าแดงเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับแบบเขินๆ เมื่อซักรายละเอียดเลยได้รู้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนชั้นมัธยมมาด้วยกัน เพื่อนหญิงของลูก (ต่อไปจะเรียกว่า แฟนของลูก) สอบติดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวๆท่าพระจันทร์ เธอเรียนหนังสือได้ค่อนข้างดีมาก ดิฉันไม่ว่ากล่าวลูกแต่อย่างไรในเรื่องแบบนี้ เนื่องจากลูกและแฟนของเขาได้กระทำภาระหนักของตนเสร็จไปเรื่องหนึ่งแล้ว คือสอบเอ็นทรานส์ติดมหาวิทยาลัยที่ตนชอบทั้งสองคน ต่อจากนี้ก็แค่ดูที่การเรียนของลูกๆเท่านั้น แต่ดิฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเด็กทั้งสองสามารถอดใจเรื่องการคบหากันจนผ่านระดับมัธยมแล้ว จึงมาเปิดเผยเรื่องของตนหลังเสร็จสิ้นการสอบหนัก ก็น่าจะคลายความห่วงใยไปได้ระดับหนึ่ง และน่าจะแสดงว่าลูกทั้งสองต้องรู้จักผิดชอบชั่วดีมากพอ
สำหรับเรื่องลูกมีแฟนของนายตัวโตคือลูกแจ๊ค ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทั้งสองคนเรียนได้ค่อนข้างดี ลูกๆจัดวันว่างให้ตรงกันเนื่องจากเรียนคนละสถาบัน เมื่อลูกแจ๊คมายืมรถคุณพ่อเพื่อจะขับไปพบแฟน ปรากฏว่าคุณพ่อไม่ยอมให้ ทั้งๆที่มีรถว่างอยู่ บอกให้ลูกขึ้นรถประจำทางไป ลูกชักหงุดหงิดเพราะระยะทางไกลมาก เคยขึ้นรถเมล์ไปแล้วใช้เวลาทั้งไปและกลับเกือบหกชั่วโมง เพราะต้องขึ้นรถหลายต่อ จึงมาปรึกษาแม่ ดิฉันฟังแล้วก็คิดขำขันอยู่ในใจ จึงช่วยคุยกับคุณพ่อให้ว่า
“ป๊า ทำไมคุณไม่ให้นายแจ๊คเขายืมรถขับไปหาแฟนเขาล่ะ”
“ก็ให้มันนั่งรถเมล์ไปไม่ได้หรือไง” เสียงคุณพ่อชักหงุดหงิด นับว่าเป็นผู้มีอารมณ์ “บูดอมตะ” คือหงุดหงิดได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน มิพักต้องกล่าวถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ พูดไปพูดมาเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องนินทาคุณพ่อไป ไม่ใช่เรื่อง“เอาลูกมาแฉ” อย่างที่ตั้งใจไว้
ดิฉันจึงตอบคุณพ่อไปว่า
“มันก็ได้อยู่หรอก แต่คุณคิดดูนะลูกอยู่ถึงสามย่าน แฟนเขาอยู่รังสิต คุณว่าเขาต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะนั่งรถเมล์ไปถึง แถมต้องต่อรถอีกตั้งหลายต่อ แค่นั่งรถไปกลับก็หมดวันแล้ว แทบไม่ได้พูดจากัน แล้วอาทิตย์หนึ่งเขาได้เจอกันแค่วันเดียวเท่านั้น”
“ก็ทำไมต้องไปวันธรรมดา วันหยุดรถว่างๆไปไม่ได้หรือไง”
“วันหยุดแฟนเขาต้องกลับบ้านเขา เพราะเขาพักอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย ลูกบอกว่าพ่อแม่แฟนเขาไม่ให้ออกนอกบ้านในวันหยุด ถ้าจะไปไหนก็ต้องไปกับพ่อแม่เขาเท่านั้น นี่ป๊า! ขอถามหน่อยเถิดคุณไม่เคยเป็นหนุ่มหรือไง ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจเด็กๆ อาทิตย์หนึ่งเขาได้เจอกันแค่วันเดียวคือวันอังคารเท่านั้น ถ้าให้เขานั่งรถเมล์ไป แค่คุยกันได้ชั่วโมงสองชั่วโมงก็หมดวันแล้ว และวันรุ่งขึ้นเขามีเรียนทั้งสองคน ต่างคนก็ต่างต้องเตรียมตัว คุณจะหวงรถทำไม ทั้งๆที่รถก็ว่างอยู่ตั้งสองคัน”
คุณพ่อนิ่งไป ไม่พูดว่ากระไร ดิฉันดูปฏิกิริยาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่ายังมีสีหน้ามุ่ยๆอยู่ จึงพูดด้วยเสียงอ่อนลงว่า
“ป๊า คุณคิดดูนะลูกเรียนดีเป็นเด็กดีมาตลอด ไม่เกเรเกตุง ไม่คบเพื่อนไม่ดี ไม่ติดยา ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เมื่อเขามีแฟนชั้นแน่ใจว่าลูกก็คงเลือกคนดีเหมือนการเลือกคบเพื่อน คุณก็ถือว่าการให้ลูกยืมรถ เป็นการให้รางวัลแก่ลูกที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอดก็แล้วกัน และลูกก็ไม่ได้ขออะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย เป็นเรื่องเล็กน้อยแท้ๆ ถ้าคุณกลัวว่าลูกมีแฟนแล้วจะเรียนแย่ลง คุณก็คอยดูที่ผลการเรียนของลูก ถ้าเขาเรียนได้ไม่ดี คุณค่อยไม่ให้เขาใช้รถ ดีมั้ย?”
เมื่อคุณพ่อไม่กล่าวตอบว่าอย่างไร ดิฉันก็หยิบกุญแจรถส่งให้ลูกและกำชับให้ลูกระมัดระวังในการขับรถ เรื่องก็ราบรื่นตั้งแต่นั้นมา ทั้งลูกแจ๊คและแฟนของเขาเป็นเด็กเรียนดีทั้งคู่ ได้งานทำตั้งแต่ก่อนจบทั้งสองคน และยังคบหากันมาจนบัดนี้ ลูกๆยังไม่คิดแต่งงาน เพราะอยากทำงานกันสักพัก ไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อความก้าวหน้าในการทำงานก่อน เมื่อมีความพร้อมระดับหนึ่งแล้ว จึงจะคิดแต่งงาน แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเตือนลูกอยู่บ่อยๆคือเรื่อง “ความไม่แน่นอน” หลายครั้งที่คุยกับลูกๆเรื่องการมีแฟน ดิฉันมักกล่าวเสมอว่า
“อะไร อะไรในโลกนี้ล้วนอนิจจัง คือเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น แม่จำได้สมัยที่แม่เป็นเด็กเหมือนพวกหนู แม่ก็มีแฟนเยอะแยะหลายคน แม่มีคนที่เคยชอบมากกว่าป๊าหนูอีก แต่สุดท้ายแม่ก็ไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้น และมีเหตุอันเป็นที่แม่จะต้องมาแต่งงานกับป๊าหนู ลูกเองก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าเรารักชอบคนนี้แล้วก็จะต้องได้แต่งงานกับเขาคนเดียวเท่านั้น ไม่แน่ว่าเมื่อหนูเรียนจบ ออกมาทำงานแล้ว เกิดไปชอบพอกับคนที่ที่ทำงานเดียวกันมากกว่า หรือแฟนหนูไปทำงานแล้ว เกิดเปลี่ยนใจไปชอบหนุ่มอื่นมากกว่าลูก เรื่องแบบนี้หนูต้องเผื่อใจไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเกิดอะไรที่เป็นเรื่องพลิกผัน ไม่เป็นไปตามแบบที่เราคิดไว้ ลูกจะได้ไม่รู้สึกผิดหวังมากนัก
แม่เคยมีเพื่อนคนหนึ่ง เรียนเก่งมาก เขาสอบติดคณะวิศวฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาไปชอบพอกับสาวคณะอื่น และเอาแต่ไปยืนเฝ้าสาวทุกเช้าค่ำ ไม่เป็นอันเรียน พอเรียนได้เกรดไม่ดี สาวเลยไม่สนใจ หนูก็รู้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงชอบคนเก่งกว่า เพราะเขาจะรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย และเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องคิดว่า คนที่เรียนเก่ง เรียนดี ก็น่าจะมีอนาคตที่ดีไปด้วย พอเพื่อนแม่ถูกสาวทิ้งไปมีแฟนใหม่ เขาผิดหวังมาก การเรียนก็เลยยิ่งแย่ เกรดไม่ถึงหนึ่งจุดห้า เลยโดนรีไทร์ไปตั้งแต่ปีสอง ไหนจะผิดหวังเรื่องแฟน ไหนจะผิดหวังเรื่องเรียน ผลสุดท้ายเขาเป็นยังไงรู้มั้ย”
“เขาเป็นยังไงเหรอแม่” ลูกแจ๊คถามด้วยความสนใจ
“เขาฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตัวเองทั้งสองข้าง กว่าจะมีคนมาพบก็สายไปเสียแล้ว เขาตายอย่างน่าอนาถที่ห้องนอนในบ้านของเขาเอง หนูลองคิดดูซิว่า พ่อแม่เขาอุ้มชูดูแลเขามาตั้งยี่สิบปี ลำบากเหนื่อยยากส่งเสียให้เรียนมาจนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เพียงแค่เรื่องผู้หญิง เขากลับตัดสินใจทำในสิ่งที่พ่อแม่เขาต้องเศร้าเสียใจไปตลอดชีวิต นี่เพราะอะไร” ลูกๆนิ่งเงียบ ดิฉันปล่อยให้ลูกนิ่งคิดกันชั่วครู่ เมื่อไม่เห็นลูกกล่าวว่าอย่างไร จึงพูดต่อไปว่า
“เพราะเขาไม่เคยเผื่อใจว่าเขาจะต้องผิดหวัง แม่คิดว่าเขาคงได้รับสิ่งที่เขาร้องขอเสมอมา ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็คงสมหวังตลอด จึงไม่เคยคิดว่าต้องมีสักวันที่จะต้องผิดหวังบ้าง เมื่อมาผิดหวังเรื่องผู้หญิง จึงรับความจริงที่น่าเจ็บปวดนั้นไม่ได้ อันที่จริงแค่เขาปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปสักพัก ความเป็นอนิจจังจะทำให้ความทุกข์นั้นคลายลง และเขาก็จะสำนึกได้ว่าผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก ยังมีอีกเยอะแยะมากมายที่สวยและดีกว่าคนก่อนเสียอีก ถ้าเขาเรียนดี มีอนาคตดี อย่างไรก็ต้องมีสาวมาให้เลือกมากมาย อย่างนี้ต้องเรียกว่า คิดสั้นไม่คิดยาว และเป็นคนเห็นแก่ตัวด้วย เพราะเขากล้าทำโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของพ่อแม่”
ดิฉันหยุดพูด เมื่อเห็นลูกนิ่งคิดไม่ซักถามอะไรอีก ก็เปลี่ยนเรื่องคุย เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเซ้าซี้มาก ปล่อยให้เขาคิดเองต่อไป และอย่าพูดย้ำซ้ำบ่อยๆเพราะลูกจะคิดว่าคุณ“บ่น” แถมยังทำให้เรื่องที่คุณพูดไปแล้วนั้นคลายความสำคัญลงไป
ดิฉันไม่เคยพบหน้าแฟนของลูกชายคนโต ลูกไม่เคยพามาที่บ้าน ดิฉันก็ไม่ทวงถาม คิดว่าลูกจะรู้ตัวเองดีว่า เมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่สมควร มีแต่นายโจ๊กมาเล่าให้ฟังว่า แฟนของพี่แจ๊คสวยมาก ขนาดแสดงภาพยนตร์ได้เลยล่ะ ที่นายโจ๊กบอกได้ก็เพราะลูกเป็นนักศึกษารุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับแฟนพี่แจ๊ค
มีครั้งหนึ่งที่แฟนของลูกแจ๊คฝากของกินมาให้แม่แจ๋ว และดิฉันฝากขอบคุณเธอผ่านลูกชาย นายแจ๊คจึงพูดขึ้นว่า
“เออ! แม่ยังไม่เคยเห็นแฟนแจ๊คเลยซินะ เอาไว้แจ๊คจะพามาให้แม่ได้รู้จัก แม่จะได้รู้ว่าแฟนแจ๊คเป็นคนยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่จะได้เห็นหรือไม่ได้เห็นก็ไม่สำคัญหรอก อันที่จริงอยู่ที่ตัวหนู ลูกรักใครแม่ก็รักด้วยแหละ แม่เชื่อใจลูก เพราะลูกเป็นเด็กดีมาตลอด แม่เชื่อว่าลูกก็ต้องเลือกคนดีๆมาเป็นแฟน ยังไงสักวันแม่ก็ต้องได้เห็นเองแหละ” ลูกพยักหน้ายิ้มรับอย่างเป็นปลื้ม
ภายหลังเมื่อลูกเรียนจบและทำงานแล้ว ดิฉันก็ได้พบแฟนนายแจ๊คในวันที่ลูกได้รับพระราชทานปริญญา เธอเป็นคนสวยอย่างที่นายโจ๊กพูดไว้จริงๆ ดิฉันคงแสดงกิริยาวาจาที่รักใคร่เอ็นดูเธอมากไปหน่อย เลยโดนนายโจ๊กแซวว่า
“แม่จะเวอร์ไปหน่อยมั้ย รู้สึกว่าแม่จะเห่อว่าที่ลูกสะใภ้จนออกนอกหน้า” ดิฉันเลยต้องยิ้มเขินไป เรื่องลูกชายคนโตมีแฟนก็คงจบเพียงเท่านี้ ถึงตอนนี้(ที่กำลังเล่าเรื่องอยู่นี้) ลูกยังไม่แต่งงาน กำลังอยู่ในช่วงเก็บเงิน และทำงานกันทั้งสองคน ต่อไปก็คงเป็นเรื่องนินทานายโจ๊ก
คุณๆคงสงสัยว่า แล้วลูกโจ๊กซึ่งอายุน้อยกว่านายแจ๊คเพียงสองปี ไม่มีแฟนกับเขาบ้างหรือ อ้อ! แน่นอนนายโจ๊กย่อมไม่ยอมน้อยหน้าพี่ชาย ท่าทางเขาจะจับสังเกตอยู่ว่า เมื่อพี่ชายมีแฟนแล้ว แม่พูดอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่แทบทุกเรื่องที่เราแม่ๆลูกๆคุยกัน มักได้รับรู้กันทั้งครอบครัว ไม่เว้นแม้เจ้าตัวเล็กคือลูกจ๊อบ ก็นั่งฟังแม่สอนพวกพี่ๆไปด้วยในทุกๆเรื่อง เมื่อนายโจ๊กเห็นว่าแม่ไม่ได้ห้ามปรามเรื่องการมีแฟนของพี่แจ๊คแถมยังทำท่าเหมือนสนับสนุนอีกด้วย คือช่วยยืมรถคุณพ่อให้พี่ชายขับไปพบแฟน ก็เริ่มออกลวดลายให้เห็น
เย็นวันหนึ่ง เมื่อกลับจากรับลูกจ๊อบที่โรงเรียนแล้ว พอดิฉันขับรถเข้าบ้าน ก็เห็นนายโจ๊กกำลังนั่งดูทีวีกับสาวน้อยคนหนึ่ง ยังแต่งชุดนักเรียนทั้งคู่ ตอนนั้นลูกโจ๊กเรียนชั้นมอ.หก เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่ถึงสองเดือน ส่วนสาวน้อยนั้นเธออยู่ในชุดนักเรียนชั้นมัธยม เมื่อเข้าบ้านลูกแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนหญิงเธอว่า
“แม่ นี่ แอนนะ เขาเป็นนักเรียนเตรียม…..เรียนชั้นมอสี่” ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าชื่อของสาวน้อยนั้นเป็นนามสมมติ เพราะภายหลังจะมีเรื่องของเธออีกมาก จึงต้องสมมติชื่อไว้เพื่อความสะดวกในการพูดถึงภายหลัง ส่วนชื่อโรงเรียนก็เป็นชั้นเตรียมอุดมที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง
“อ้าว! อยู่โรงเรียนตั้งไกลกันรู้จักกันได้ยังไง” ดิฉันรับไหว้สาวน้อยนั้นแล้วถามต่อด้วยความสงสัย
“แอนเขาเคยเรียนชั้นมอหนึ่งถึงสามที่โรงเรียนเดียวกับโจ๊ก พอดีเขาสอบได้ที่เตรียม… โจ๊กรู้จักตั้งแต่น้องเขาอยู่ชั้นมอสองมอสามแล้ว” ลูกโจ๊กบอกมาอย่างภูมิใจ
“เก่งจัง ถ้าสอบได้เรียนที่เตรียม…ก็ต้องเรียนดีมากนะซิ แล้วเรียนหนักมั้ย เวลาเข้าไปเรียนจริงๆนะ” ดิฉันหันไปถามสาวน้อยน่ารักด้วยสีหน้ายิ้มๆ เธอมีหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู รูปร่างเล็กๆบางๆ หนูแอนยิ้มเขินๆ ตอบเบาๆว่า
“เรียนหนักค่ะ ต้องกวดวิชาทุกวัน”
“อ้าว! เรียนหนักแล้วทำไมต้องกวดวิชาอีก” ดิฉันถามหนูแอนด้วยความสงสัย
“ก็เพื่อนๆเรียนกันทุกคนค่ะ ถ้าไม่เรียนก็ไม่ทันเพื่อน บางคนเรียนทุกเย็นแล้ว เสาร์อาทิตย์ก็ยังเรียนเต็มวันอีกค่ะ”
ดิฉันฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับทราบ ไม่ได้ถามต่อแต่อย่างไร เพียงคิดในใจว่า เด็กสมัยนี้แข่งขันกันจัง น่าเหนื่อยแทนจริงๆ จากนั้นก็เข้าครัวไปทำกับข้าวให้ลูกๆ สักพักลูกโจ๊กก็พาแฟนมาลา และบอกว่า
“แม่ โจ๊กจะไปส่งแอนที่บ้าน แต่จะกลับมากินข้าวที่บ้านเรา แม่กับน้องกินข้าวก่อนเลย ไม่ต้องรอก็ได้” ดิฉันพยักหน้ารับทราบ รับไหว้หนูแอนยิ้มๆแล้วหันกลับไปทำกับข้าวต่อ
หลังจากนั้น ลูกโจ๊กก็พาแฟนมาที่บ้านอีกหลายครั้ง ดิฉันไม่ห้ามปราม เพราะบอกแล้วว่า ดูที่ผลการเรียนของลูก และไม่ให้ลูกทำอะไรล้ำเส้นเท่านั้น คราวนี้คุณจะได้รู้แล้วหละว่า ล้ำเส้นที่ดิฉันพูดบ่อยๆนั้นเป็นอย่างไร
เย็นวันหนึ่ง เมื่อเสร็จจากรับนายจ๊อบที่โรงเรียน กลับเข้าบ้านแล้ว ลูกจ๊อบปลีกตัวไปอาบน้ำ ดิฉันเห็นกระเป๋านักเรียนวางอยู่หน้าทีวีสองใบ เป็นกระเป๋าของลูกโจ๊กใบหนึ่ง และของหนูแอนใบหนึ่ง กำลังจะร้องเรียกลูก ก็ได้ยินเสียงลงบันไดมาทั้งสองคน จึงถามลูกด้วยเสียงที่ค่อนข้างเข้มว่า
“ขึ้นไปทำอะไรกันที่ข้างบน”
ลูกโจ๊กตอบเสียงเบาๆว่า
“โจ๊กพาแอนขึ้นไปฟังโจ๊กเล่นกีตาร์”
“ก็ทำไมไม่เอากีตาร์ลงมาเล่นข้างล่างล่ะ” ดิฉันถามเสียงเรียบๆ หนูแอนก้มหน้างุด ลูกโจ๊กตอบว่า
“ก็โจ๊กเล่นกีตาร์ไฟฟ้า กลัวว่าเสียงจะดังรบกวนข้างบ้าน”
“งั้นคราวหน้าลูกก็เล่นเบาๆ และเล่นที่ข้างล่างนี้ จะได้ไม่รบกวนคนอื่น”
“ครับ” ลูกรับคำและพูดต่อไปว่า
“แม่ โจ๊กจะไปส่งแอนที่หน้าปากซอย เดี๋ยวโจ๊กจะกลับมากินข้าว”
“ฮื่อ!” ดิฉันรับคำและรับไหว้หนูแอน
ประมาณยี่สิบนาทีลูกโจ๊กก็กลับเข้าบ้าน เราแม่ลูกกินข้าวแล้ว ดิฉันก็บอกให้ลูกโจ๊กไปอาบน้ำทำการบ้าน ลูกบอกว่าวันนี้ไม่มีการบ้าน ดิฉันจึงบอกลูกว่า
“งั้นหนูอาบน้ำแล้ว เข้ามาคุยกับแม่ในห้องหน่อย” ลูกรับคำ ปกติดิฉันจะไม่ดูทีวี หลังจากรับประทานอาหารเย็น อาบน้ำแล้ว ก็จะเข้าห้องนอน อ่านหนังสือธรรมะ ส่วนลูกจ๊อบก็จะเอาการบ้านมานั่งทำในห้องด้วย และทบทวนหนังสือเรียนหรืออ่านหนังสือการ์ตูน ลูกทุกคนจะรู้ว่า เวลาค่ำๆอย่างนี้คือเวลาของเราแม่ๆลูกๆคุยกัน จนกว่าจะถึงเวลาเข้านอน ประมาณสองทุ่มครึ่ง ไม่มีทีวี ไม่มีเกม ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น(ตามที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว) เมื่อลูกโจ๊กเข้ามาในห้อง นั่งลงที่หน้าเตียงแล้ว ดิฉันก็พูดขึ้นว่า
“โจ๊ก โจ๊ก แม่จะเตือนลูกหน่อย เรื่องที่หนูพาแฟนขึ้นไปที่ห้องนอนนะ”
“แม่! ไม่มีอะไรหรอก แม่ไม่ต้องห่วง”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แม่รู้ว่าลูกย่อมไม่ทำอะไรที่เป็นเรื่องผิดศีลธรรมแน่นอน แต่ที่แม่จะพูดก็คือ น้องเป็นผู้หญิง ถ้าใครมาเห็นเข้าว่าหนูพาน้องขึ้นไปที่ห้องนอน คนเขาไม่ว่าลูกหรอกนะ เพราะลูกเป็นผู้ชาย แต่คนเขาจะว่าน้องว่า เป็นผู้หญิงแท้ๆ ไม่รู้จักคิดว่าอะไรควรหรือไม่ควร ถ้าลูกรักเขา ลูกก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย ถ้าพ่อแม่เขารู้ว่าลูกสาวเขามาเที่ยวบ้านแฟน แล้วขึ้นไปอยู่บนห้องนอนกับแฟนสองต่อสอง เขาจะรู้สึกเสียใจขนาดไหน หนูลองคิดดูนะ ถ้ากลับกัน ลูกเป็นผู้หญิง แล้วลูกไปเที่ยวบ้านแฟน และขึ้นไปอยู่บนห้องนอนกับเขา แล้วเผอิญพ่อแม่เขาเข้าบ้านมาพบเข้า เขาจะคิดอย่างไร เขาก็คงคิดแหละว่า ลูกสาวใครนะ พ่อแม่ช่างไม่อบรมสั่งสอนซะบ้างเลย คราวนี้คนที่จะเสียใจมากก็คงเป็นแม่แล้วล่ะ ถ้าลูกรักเขา ลูกก็ต้องให้เกียรติเขาด้วย ช่วยถนอมอย่าให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้นกับแฟนหนู ลูกเองก็จะภูมิใจด้วยที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและไม่ผิดศีลธรรม” เมื่อเห็นลูกนิ่งฟังดีอยู่ มีสีหน้าครุ่นคิด ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“แม่ไม่ห้ามลูกเรื่องมีแฟน แต่ก็ไม่ได้แปลว่า แม่จะสนับสนุนให้ลูกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ถ้าลูกจะมีแฟน การเรียนต้องมาก่อนอันดับหนึ่ง มีแฟนแล้วต้องชวนกันเรียน ไม่ชวนกันทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
“แม่! โจ๊กยังไม่ทันทำอะไรเลย” ลูกชายร้องบอกมา
“ก็ดีแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องทำอะไรแล้วเลย วันหลังถ้าหนูแอนมาบ้าน ให้ลูกๆนั่งดูทีวีหรืออ่านหนังสือ ทำการบ้าน หรือเล่นดนตรีที่ห้องนั่งเล่นข้างล่างนี้ ไม่ให้ขึ้นไปบนห้องนอนหนูอีก และแม่จะดูผลการเรียนของลูกด้วยนะ ถ้ามีแฟนแล้ว ผลการเรียนย่ำแย่ แม่จะไม่อนุญาตให้ลูกคบกัน จนกว่าจะสอบเอ็นทรานส์ได้แล้ว จึงจะมีแฟนได้เหมือนเฮียแจ๊ค”
“แต่แม่! แอนเขาเรียนเก่งมากนะ”
“เรียนเก่งก็ดีแล้ว ลูกเป็นผู้ชาย อย่าทำให้ขายหน้าล่ะ หนูรู้มั้ย ผู้หญิงชอบคนเก่งนะ ถ้าแอนเรียนเก่ง แล้วหนูเรียนสู้เขาไม่ได้ สอบทีไรได้เกรดต่ำกว่าทุกที รับรองได้ว่าเป็นแฟนกันได้ไม่นาน เขาจะหาคนใหม่ที่เก่งกว่าลูก เพราะหนูไม่มีอะไรให้เขาภูมิใจได้เลย แม่จะเล่าให้ฟังนะ เมื่อตอนที่แม่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย แม่ก็มีหนุ่มมาติดพันหลายคน รวมทั้งป๊าหนูด้วย แล้วหนูรู้มั้ย ทำไมแม่เลือกแต่งงานกับป๊าหนู ทั้งๆที่ป๊าจนแสนจน แถมหุ่นก็ยังไม่ใช่ ทอลล์ ดาร์คแอนด์แฮนด์ซั่มอีกด้วย”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ ดิฉันก็หัวเราะเบาๆ อันที่จริงรูปร่างหน้าตาคุณพ่อไม่ได้ขี้เหล่แต่อย่างใด แต่ที่หัวเราะก็เพราะตอนนี้คุณพ่อเริ่มอ้วนมากขึ้น แถมลูกชายก็ตัวสูงกว่ามากด้วย เมื่อนึกภาพ จึงทำให้ต้องหัวเราะออกมา
“อันที่จริงการที่แม่เลือกป๊าหนูนั้น อากุง(คุณตาของลูก)มีส่วนอย่างมาก ต่อการตัดสินใจเลือกคู่ครองของแม่ อากุงบอกว่า ในครอบครัวเรามีคติธรรมอยู่ว่า การเลือกคู่ครองนั้น ไม่สำคัญว่าคนนั้นจะเป็นคนรวยหรือจน แต่คนๆนั้นต้องมีดีสามอย่างคือ
หนึ่ง. ต้องเป็นคนกตัญญูรู้คุณ และรู้จักทดแทนบุญคุณพ่อแม่และผู้มีพระคุณ
สอง. ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ และ
สาม. ต้องเป็นคนขยัน
อากุงยังบอกอีกว่า ถ้าคนไหนมีดีสามอย่างนี้ ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นคนจนอย่างไร ก็จะต้องรวยขึ้นได้แน่นอน แต่ถ้าไม่มีความดีสามอย่างนี้ ต่อให้ตอนนี้เขารวยมากแค่ไหน เขาก็จะต้องยากจนในไม่ช้า และจากคำพูดของอากุงนั่นเอง ที่ทำให้แม่ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า แม่จะเลือกป๊าหนูเป็นคู่ครองแน่นอน เพราะป๊าหนูมีความดีครบทั้งสามอย่างเลยหละ แถมยังเรียนเก่งอีกด้วย”
ดิฉันหยุดพูด เพื่อสังเกตอาการของลูก เห็นว่านิ่งฟังอย่างสนใจอยู่ จึงพูดต่อไปว่า
“ป๊าหนูเรียนเก่งขนาดได้เกียรตินิยมเชียวนะ และยังเป็นคนกตัญญูด้วย เพราะตอนนั้นอาม่า(คุณย่า)ยากจนมาก แถมมีลูกตั้งแปดคน ป๊าหนูเรียนเก่งเลยขอทุนเรียนดีแต่ยากจนที่มหาวิทยาลัย เพื่อจะได้ไม่ต้องให้ทางบ้านส่งเงินมาให้เป็นค่าเล่าเรียน เท่านั้นยังไม่พอ ป๊าหนูยังรับจ้างสอนพิเศษเด็กนักเรียนตามบ้านหลังเลิกเรียน พอสอนเสร็จก็ไปรับจ้างทำงานต่อที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทุกคืน วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปรับจ้างทำงานในฟาร์มโคนมที่อำเภอปากช่อง จังหวัดสระบุรี และเงินที่ได้จากการทำงานพิเศษเหล่านี้ ป๊าหนูก็ส่งไปให้อาม่า เพื่อช่วยจุนเจือพวกน้องๆทางบ้าน พอเรียนจบหางานทำได้แล้ว ก็ส่งเงินให้ทางบ้านถึงสามในสี่ส่วนของเงินเดือน เพื่ออาม่าจะได้ทำงานน้อยลง ลูกเห็นมั้ย ป๊าหนูมีดีครบทั้งสามข้ออย่างที่อากุงพูดไว้เลย”
ลูกโจ๊กนิ่งคิด พยักหน้าช้าๆ และพูดว่า
“แม่คอยดูนะ โจ๊กจะต้องเรียนให้เก่งๆ และหาเงินให้ได้เยอะๆ โจ๊กจะต้องเป็นเศรษฐีให้ได้”
“เอาเถอะ แม่จะคอยดูความตั้งใจของลูก แล้วแอนเขาบอกลูกหรือเปล่าว่าโตขึ้นเขาอยากเป็นอะไร”
“เขาบอกว่า พ่อแม่เขาอยากให้เขาเป็นหมอ”
“แอนเขาเรียนเก่งอย่างที่โจ๊กบอก เขาก็น่าจะได้เรียนหมอสมความตั้งใจของพ่อแม่เขา ก็ดีแล้วลูก ชวนๆกันเรียนให้จบ อนาคตยังอีกยาวไกลนัก หนูก็ไปอ่านหนังสือได้แล้ว สองทุ่มครึ่งแล้ว แม่กับน้องจะนอนแล้วล่ะ ก่อนออกจากห้องปิดไฟให้แม่ด้วยนะ ขอบใจมากลูก”
หลังจากนั้นมา ลูกก็ทำตามอย่างที่ได้คุยกับดิฉันไว้ คือไม่พาแฟนขึ้นไปคุยบนห้องนอนอีก คราวนี้คุณๆคงรู้แล้วว่าล้ำเส้นของดิฉันคืออย่างไร ขอบเขตแห่งศีลธรรมเป็นสิ่งที่พวกเราผู้เป็นพ่อแม่ต้องนำมาใช้ในการชี้แนะและอบรมสั่งสอนลูกๆอยู่เสมอ
Leave a Reply