เกริ่นกันก่อน
พอได้ขึ้นหัวเรื่อง“เกริ่นกันก่อน”ใน“แม่ช่างคุย”เล่มที่ ๓ แม่แจ๋วก็นึกถึงลูกชายคนโตที่เคยอุทานว่า“แม่! ทำไมเขียนเยอะจัง” เมื่อตอนที่แม่แจ๋วให้ลูกช่วยเซทอัพข้อมูลลงเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ เฮ้อ! ลูกเอ๋ย แม่เองก็ยังงงๆอยู่เหมือนกันว่า มีอะไรให้ละเลงกันนักหนา แต่พอมาคิดดูว่า แม่เลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิดมาตั้งเกือบยี่สิบปี แถมยังมีตั้งสามคน แต่ละคนก็แต่ละแบบ จริตและอุปนิสัยต่างกัน ไอ้ที่เคยคิดว่ามีเรื่องอะไรให้เขียนตั้งมากมาย ก็ชักไม่มากจริงอย่างที่คิดซะแล้ว
มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งกับท่านผู้อ่าน หลายท่านอ่านเรื่องลูกๆของแม่แจ๋วแล้ว เกิดความรู้สึกว่าลูกของแม่แจ๋วน่าจะเป็น“เด็กดีเหนือเด็กอื่นทั่วไป” หลายท่านที่รู้จักดิฉันโดยส่วนตัวเคยมาพูดชื่นชมให้ฟัง บางท่านที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เคยอ่านหนังสือ “แม่ช่างคุย” ก็เขียนมาชมเชยจนแม่แจ๋วต้องเขินอาย เพราะในความเป็นจริงแล้ว ลูกๆทุกคนของดิฉันยังเป็น“มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีกิเลสหนา เหมือนๆกับคนทั่วๆไปเพียงแต่ลูกๆจะไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ต้องกลุ้มใจ ก็เท่านั้น” หลายท่านที่ดิฉันรู้จัก มีลูกที่น่ารักและน่ายกย่องชมเชยมากกว่าลูกๆของแม่แจ๋วด้วยซ้ำ เพียงแต่ท่านไม่ได้เขียนเล่าเรื่องของท่านอย่างที่ดิฉันทำอยู่ อันที่จริงดิฉันเป็นคนชอบฟังคุณแม่ทั้งหลายเล่าเรื่องลูกๆของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ค่อยจะดี ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องดี ดิฉันจะซักถามให้ละเอียดว่าท่านผู้นั้นมีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไร เพื่อจะได้เอาวิธีที่ดีๆนั้นมาปรับใช้กับลูกๆของตนได้บ้าง และถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี ดิฉันจะถามถึงวิธีแก้ไขของท่านผู้นั้นว่าท่านได้ทำอย่างไรบ้าง เพื่อว่าหากมีเหตุการณ์บางอย่างที่คล้ายกันเกิดกับลูกๆ เราจะได้มีวิธีแก้ไขได้ทันท่วงที
การเล่าเรื่องลูกในหนังสือของดิฉัน ก็เป็นการเขียนไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีการพูดคุยต่อรองกันจริงๆ อย่างที่เขียนบอกไว้ในคุยท้ายเล่มของ“แม่ช่างคุย” เล่มสอง ดิฉันต้องเขียนทุกอย่างตามจริงเท่านั้น จะให้เขียนแบบจินตนาการขอยอมรับว่าทำไม่เป็นจริงๆ หลายท่านที่เคยอ่าน“แม่ช่างคุย” บอกว่าเอาเรื่องที่รับรู้นั้นไปปรับใช้กับลูกหลานของตน บางท่านบอกว่า รู้วิธีที่จะใช้สื่อสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวของตนได้ดีขึ้น อีกบางท่านก็ได้แนวทางในการดูแลจัดแจงกับลูกหลานของตน มีบางท่านบอกว่าต้องแอบอ่านหนังสือไม่ให้ลูกเห็น เพื่อจะได้เอาวิธีที่มีในหนังสือมาใช้ในยามจำเป็น ดิฉันฟังแล้วก็ได้แต่อนุโมทนาและยินดีที่หนังสือของแม่แจ๋วพอได้เป็นประโยชน์แก่ท่านบ้าง
ในเล่มนี้น่าจะมีเรื่องของลูกๆแม่แจ๋วน้อยลงไปบ้าง เพราะเมื่อลูกเริ่มโตมากขึ้น ได้ทำงานทำการแล้วปฏิสัมพันธ์กับลูกก็เริ่มเปลี่ยนไป การพูดคุยกับลูกๆก็เป็นเรื่องการสอบถามทุกข์สุขเสียส่วนใหญ่ คำหนึ่งที่ติดปากแม่แจ๋วคือ “ลูกทำงานมีความสุขดีมั้ย” คำตอบที่ได้รับจากลูกส่วนใหญ่คือ “ก็ดี แม่ ไม่มีอะไร” และแม่แจ๋วก็จะพูดเหมือนกันทุกครั้งคือ “ดี ดีลูก มีความสุขก็ดีแล้ว ขอให้ลูกเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน” ลูกแม่แจ๋วเป็นชายล้วน จึงไม่มีเรื่องจุกจิกเหมือนผู้ที่มีลูกสาว ซึ่งต้องเป็นห่วงเป็นใยกันมากหน่อย มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันมักบอกกับเพื่อนๆหลายคนว่า สอนลูกให้มั่นคงในศีลห้า ลูกคุณจะมีความสุขและปลอดภัยในการดำรงชีวิตในโลกยุคที่ศีลธรรมเริ่มเสื่อมทรามเช่นนี้
ดิฉันคงจะแทรกเรื่องต่างๆที่เจอะเจอด้วยตนเอง และคิดว่าถ้าพูดคุยเล่าสู่กันฟัง ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง หรือใครจะคิดว่าแม่แจ๋วกำลังบ่นอะไรให้ฟัง ก็ไม่ว่ากัน เอาเป็นว่าเล่มนี้จะพูดเรื่องสัพเพเหระเป็นส่วนใหญ่ ตามประสา “สว.” ที่มักชอบบ่นและพูดเรื่องอดีต
หมายเหตุ สว. แปลว่าสูงวัย เผื่อใครยังไม่รู้
Leave a Reply