7. เราอยากรีดเสื้อได้เหมือนเฮียแจ๊ค
พอเห็นชื่อเรื่องหลายคนคงแปลกใจว่า ลูกคนไหนของแม่แจ๋วนะ และอายุเท่าไรที่รู้จักขอรีดเสื้อเอง ก็”นายตัวเล็ก”ไงล่ะ แต่ไม่ใช่อยู่ๆลูกก็ลุกขึ้นมาร้องขอรีดเสื้อผ้าของตนเองนะ อย่างนั้นก็วิเศษมากเกินไปหน่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นเล่าเรื่องประหลาด ไม่ใช่เรื่องการสอนลูกให้ช่วยตัวเองตามที่ตั้งใจไว้
เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเทคนิคและเวลา ก่อนที่ลูกจ๊อบจะพูดคำนี้ ดิฉันใช้วิธีปลูกฝังความคิดให้ลูกก่อน อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วว่า ดิฉันสอนให้ลูกแจ๊คและลูกโจ๊กรีดเสื้อผ้าใส่เองเมื่อลูกย่างเข้าวัยรุ่น ซึ่งกว่าเขาจะยอมทำให้ตนเอง ก็ต้องเข็นกันพักใหญ่ ดิฉันมองเห็นความลำบากในการต้องเคี่ยวเข็ญลูกเมื่อเขาโตขึ้น ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวเล็กเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสาม ดิฉันจึงคอยบอกลูกอยู่บ่อยๆว่า ถ้าลูกขึ้นเรียนชั้นประถมหนึ่งแล้ว ลูกต้องหัดรีดเสื้อกางเกงของตัวเอง เพราะถือว่าโตแล้ว ต้องช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ เมื่อลูกรีดเสื้อผ้าเองได้แล้ว แม่จะได้มีเวลาไปทำงานอื่นๆได้มากขึ้น ดูอย่างเฮียแจ๊คกับเฮียโจ๊กซิ พี่เขารีดเสื้อผ้าใส่เอง น่าภูมิใจดีออก ลูกจ๊อบจะได้ยินได้ฟังคำพูดเหล่านี้เป็นระยะๆ ดิฉันเองก็สังเกตเห็นลูกมักเข้าไปเมียงๆมองๆพี่แจ๊คและพี่โจ๊กรีดเสื้อบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรพวกพี่ๆ จนกระทั่งใกล้โรงเรียนเปิดเทอมที่ลูกจะได้ขึ้นเรียนชั้นประถมหนึ่ง ประมาณสามวันก่อนถึงวันที่จะต้องไปโรงเรียน ลูกก็มาทวงถามแม่ว่า
“ไหนแม่ว่าจะให้เราหัดรีดเสื้อเองไง แม่ลองสอนเรารีดหน่อย เราอยากรีดเสื้อได้เหมือนเฮียแจ๊ค” ตอนที่ลูกมาพูดนั้น ดิฉันกำลังนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ในห้องนอน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มชื่นบอกลูกไปด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะว่า
“อ้อ! งั้นเธอลองไปยืนที่โต๊ะรีดผ้าซิ ดูว่าเธอสูงแค่ไหนแล้ว ยืนรีดได้สะดวกหรือยัง”
ลูกจ๊อบรีบวิ่งออกไป สักครู่ก็วิ่งเข้ามาบอกว่า
“สูงเท่านี้แล้วแม่” พร้อมกับทำมือไว้ที่ระดับต่ำกว่าหน้าอก สูงกว่าเอวเล็กน้อย
“งั้นเธอลองจับเตารีดถูไปถูมาบนโต๊ะรีดผ้าดูซิ อย่าเพิ่งเสียบปลั๊กนา ดูว่ารีดได้ถนัดหรือเปล่า โต๊ะสูงไปหรือต่ำไปหรือเปล่า” ลูกจ๊อบวิ่งออกไปอีกครั้ง แล้วกลับเข้ามาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแป้นว่า
“ถนัดแม่ เรารีดได้ถนัด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดิฉันก็ลุกขึ้น เดินตามลูกไปที่โต๊ะรีดผ้าที่อยู่ข้างห้องนอนของพี่แจ๊คกับพี่โจ๊ก สอนลูกให้หัดเสียบปลั๊กเข้าที่เต้าเสียบ หมุนเปิดความร้อนที่เตารีด ตามที่ต้องใช้กับการรีดชุดนักเรียน แล้วสอนให้ลูกหัดรีดทั้งเสื้อและกางเกง ปรากกฎว่าสอนเพียงครั้งเดียว เจ้าตัวเล็กก็จำได้ สามารถรีดเสื้อกางเกงนักเรียนของตนเองได้ แม้จะไม่ค่อยเรียบนัก แต่ลูกก็ดูภูมิใจอย่างยิ่ง ลูกจ๊อบกำลังเห่อเลยขอรีดชุดนักเรียนของตนเองทุกชุดที่เหลือ ดิฉันปล่อยให้ลูกรีดเสื้อผ้าของตนเองต่อไป โดยไม่ได้ยืนดูอีก พอลูกรีดเสร็จหมดแล้วก็เอาเข้ามาอวดแม่ในห้องนอน ดิฉันชมลูกว่าเก่งมาก และออกไปสอนให้ลูกหัดถอนปลั๊กไฟ เก็บเตารีด และเลื่อนโต๊ะรีดผ้าเข้าที่เพื่อไม่ให้เกะกะคนอื่น
เช้าวันที่ต้องไปโรงเรียนวันแรก เจ้าตัวเล็กตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ก็รีบใส่เสื้อผ้าที่ตนเองรีดอย่างภาคภูมิใจ สองวันถัดมา ลูกจ๊อบเปลี่ยนเป็นรีดเสื้อผ้าตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ท่าทางรีดพิถีพิถันมาก ดิฉันถามลูกว่าทำไมไม่รีดเสื้อผ้าไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ลูกบอกว่า “ลืม” คำเดียวสั้นๆ ดิฉันบอกไปว่าคืนนี้อย่าลืมอีก เพราะการรีดเสื้อผ้าตอนเช้าจะเสียเวลามากและไปโรงเรียนสาย ลูกไม่ตอบว่าอะไร เมื่อแต่งตัวรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถไปโรงเรียน ดิฉันชวนคุยอะไร ลูกก็ตอบสั้นๆ นั่งตัวตรงแข็งทื่อ ไม่ขยับตัวพิงเบาะรถเหมือนทุกเช้า แม้จะเลี้ยวรถ ก็ฝืนตัวไว้ไม่เอนไปตามแรงเหวี่ยงของการเลี้ยวรถ ชักผิดสังเกต ดิฉันจึงถามลูกว่า
“เป็นอะไรไปลูก ทำไมนั่งตัวแข็ง ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ” ลูกยังคงนั่งตัวตรงเผง ตอบมาว่า
“เรากลัวกางเกงยับ”
ดิฉันเอะใจถามลูกไปว่า
“ฮ่ะ! ทำไมล่ะ ทำไมต้องกลัวกางเกงยับด้วย”
แทนที่จะตอบ ลูกกลับถามมาด้วยใจจดจ่อกับคำตอบอย่างมากว่า
“แม่ว่าวันนี้เรารีดเสื้อผ้าเรียบกว่าทุกวันมั้ย”
ดิฉันเหลือบมองไปที่แขนเสื้อและกางเกงของลูก เห็นกลีบแขนเสื้อ และจีบหน้าของกางเกงคมกริบ จึงพูดยิ้มๆว่า
“อื้อ! เรียบมาก ทำไมล่ะ เธอจะไปอวดเพื่อนเธอรึไง”
“ใช่ เราจะบอกเพื่อนเราว่าเรารีดเสื้อผ้าเอง”
“อื้อ! ดีลูก ถ้าเพื่อนๆเธอเขารู้ว่าเธอรีดเสื้อผ้าเองได้เรียบขนาดนี้ เขาต้องทึ่งแน่ๆ บางทีเขาอาจจะกลับไปขอแม่เขารีดเสื้อผ้าเองก็ได้นะ” ดิฉันพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความขบขันในกิริยาท่าทางของลูก หน้าตาลูกดูจริงจังมุ่งมั่นอย่างมาก
เย็นวันนั้นเมื่อดิฉันไปรับลูก เห็นลูกนิ่งๆไม่พูดไม่คุย ชักผิดสังเกตจึงถามลูกไปว่า
“วันนี้เธอบอกเพื่อนๆหรือเปล่าว่าเธอรีดชุดนักเรียนเอง”
“ตอนแรกเราก็ไม่ได้บอกหรอกแม่ พอเห็นว่าไม่มีใครพูดชมว่าเสื้อผ้าเราเรียบ เราก็เลยบอกเพื่อนๆว่า เรารีดชุดนักเรียนเอง แต่พวกเขาก็เฉยๆ ไม่เห็นมีใครชมเราสักคนว่า เราเก่ง รีดเสื้อผ้าเองก็ได้” เสียงลูกบอกความน้อยใจ ที่ทำดีแล้วเพื่อนๆมองไม่เห็นหรือไม่สนใจ ดิฉันรู้สึกสงสารและเข้าใจความรู้สึกของลูก จึงพูดขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม้เพื่อนหนูจะไม่ชม แต่แม่ ป๊าและเฮียแจ๊ค เฮียโจ๊กก็ชื่นชมลูกกันทุกคน แม่ว่าที่พวกเพื่อนหนูไม่ชม คงเป็นเพราะว่าเพื่อนๆไม่มีใครรีดเสื้อผ้าเอง เขาเลยไม่รู้ว่าการรีดชุดนักเรียนใส่เองนั้น ต้องใช้ความสามารถแค่ไหน พวกเขาก็เลยเฉยๆกัน หนูลองบอกคุณครูซิ แม่รับรองว่าคุณครูต้องชมลูกแน่ๆ เพราะคุณครูจะรู้ดีว่า การที่เด็กอายุขนาดหนูซึ่งเรียนแค่ชั้นปอ.หนึ่ง รีดเสื้อผ้าใส่เองได้นั้น ต้องใช้ความสามารถและอดทนมากแค่ไหน เอาไว้แม่จะบอกพวกเพื่อนๆแม่ที่ออกกำลังกายด้วยกันว่า หนูรีดเสื้อผ้าใส่เอง แม่รับรองว่าทั้งคุณป้าและคุณยายทั้งหลายต้องชมลูกแน่ๆเลย”
ลูกนั่งนิ่งไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันก็ชวนลูกคุยเรื่องอื่นๆ เด็กๆมักลืมง่าย สักพักเราก็คุยกันสนุกสนานเหมือนเดิม ภายหลังดิฉันเล่าเรื่องลูกจ๊อบรีดเสื้อผ้าใส่เองให้เพื่อนๆฟัง มีเพื่อนคนหนึ่งอายุสามสิบกว่า เป็นคุณแม่ลูกสาม ได้ยินที่ดิฉันเล่าให้ฟังเรื่องลูกจ๊อบรีดเสื้อผ้าเอง สอบถามรายละเอียดว่าเริ่มทำอย่างไร ดิฉันก็เล่าให้ฟังและแนะนำไป ปรากฏว่าเธอเอาไปใช้อย่างได้ผล มาเล่าให้ดิฉันฟังว่า ลูกสาวคนโตสองคนอายุสิบสอง และสิบขวบ ทีแรกๆที่เธอสอนให้ลูกรีดเสื้อผ้าเอง ก็ทำท่าจะไม่ยอมทำ แต่พอเธอ “ใจแข็ง” ไม่ยอมทำให้ ลูกๆก็ต้องยอมรีดเอง เพราะทนใส่เสื้อยับไปโรงเรียนไม่ได้ กลัวเพื่อนจะล้อเลียน มามีปัญหาที่เจ้าคนเล็กเป็นเด็กชายอายุสามขวบกว่า เวลายืนศีรษะสูงกว่าโต๊ะรีดผ้าหน่อยเดียว เห็นพี่ๆรีดเสื้อผ้ากันชักสนุก ร่ำร้องอยากรีดเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง เธอบอกว่ารอให้ตัวโตเท่าพี่ก่อนแล้วค่อยทำ ก็ไม่ยอมพยายามเอาเก้าอี้มาต่อให้ตัวสูงกว่าโต๊ะรีดผ้า แล้วบอกว่าตอนนี้โตแล้ว ให้แม่เอาเสื้อมาให้รีดไวๆ เธอตกใจมากกลัวว่าโต๊ะหรือเก้าอี้ล้ม ลูกจะโดนเตารีดร้อนแล้วจะเดือดร้อน ภายหลังเลยต้องให้ลูกสาวแอบรีดเสื้อผ้าไม่ให้น้องชายเห็น เธอถามดิฉันว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าตัวเล็กดี ดิฉันก็ยิ้มขำชื่นชมกับความเฉลียวฉลาดของลูกชายตัวน้อยของเพื่อน จึงพูดกับเธอไปว่า
“ที่ลูกคุณเขาอยากรีดผ้าบ้างถือเป็นเรื่องดี เตารีดคุณเป็นแบบหนักหรือเบาล่ะ เจ้าตัวน้อยเขาถือเตารีดไหวมั้ย”
เมื่อเพื่อนบอกว่าเป็นเตารีดแบบเบา และลูกถือรีดไปมาบนโต๊ะรีดผ้าแบบไม่เสียบปลั๊กไฟบ่อยๆ ดิฉันนึกเห็นภาพรู้สึกเอ็นดูเจ้าตัวน้อยของเพื่อน จึงบอกกับเธอไปว่า
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ถ้าเขาอยากรีดผ้าเหมือนพี่ๆ คุณก็ให้เขารีดผ้าเช็ดหน้าซิ เด็กๆถ้าเขามองเห็นว่าเขาสามารถทำผ้ายับๆให้เรียบได้ แม้จะเป็นผ้าผืนเล็กๆ เขาก็จะภูมิใจแล้ว แต่อย่าสอนเขาเสียบปลั๊กไฟล่ะ ประเดี๋ยวเขาจะไปลองเสียบปลั๊กไฟเวลาเราไม่อยู่ เราเสียบปลั๊กไฟเองก่อน ปรับความร้อนของเตารีดให้พอเหมาะ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าให้เขารีด เด็กๆเบื่อง่าย ทำได้ไม่กี่ครั้งก็จะเบื่อไปเอง แต่ถ้าเขาไม่เบื่ออยากทำต่อไปอีก ก็ปล่อยให้เขาทำไปเรื่อยๆ ดีเสียอีกที่ลูกจะได้ชำนาญขึ้น เผลอๆเขาอาจรีดเสื้อกางเกงนักเรียนของตัวเองได้จะยิ่งดี”
เมื่อจบคำพูดของดิฉัน คุณแม่ท่านนั้นก็ยิ้มชื่น บอกว่านึกเห็นภาพว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าตัวเล็กดี หลังจากที่ดิฉันนำเรื่องลูกจ๊อบรีดชุดนักเรียนเองไปเล่าให้เพื่อนๆที่ออกกำลังกายด้วยกัน รวมทั้งเพื่อนๆที่ไปวัดทุก“วันพระ”ด้วยกันฟังแล้ว มีคำชมเชยจากเพื่อนๆหลายท่าน ดิฉันก็นำคำชมนั้นไปบอกลูกจ๊อบว่า มีคุณป้าคุณน้าคุณยายชื่ออะไร ชมลูกว่าอย่างไร ลูกก็พยักหน้ารับคำชมนั้นเฉยๆไม่สนใจสักเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะลูกไม่ได้รับฟังคำชมนั้นด้วยตนเอง โชคดีที่ต่อมาไม่นาน คุณครูประจำชั้นได้มีการสอนให้นักเรียนหัดใส่เสื้อผ้า รวมทั้งถุงเท้าและรองเท้าด้วยตนเอง เมื่อคุณครูถามว่ามีใครรีดเสื้อผ้าใส่เองบ้าง ปรากฏว่าทั้งห้องเรียนมีลูกจ๊อบคนเดียวเท่านั้นที่รีดเสื้อผ้าใส่เอง เมื่อลูกยกมือขึ้น คุณครูคงแปลกใจ เพราะลูกเล่าว่าคุณครูสอบถามวิธีการรีดเสื้อกางเกง ปรากฏว่าลูกจ๊อบตอบได้อย่างถูกต้อง คุณครูจึงเรียกให้ลูกจ๊อบไปยืนหน้าห้อง และให้นักเรียนทั้งห้องปรบมือชมเชย เย็นนั้นเมื่อดิฉันไปรับลูก เจ้าตัวเล็กรีบเล่าเรื่องที่ได้รับคำชมเชยให้แม่ฟังอย่างตื่นเต้นยินดี ดิฉันก็ยิ้มชื่นชมไปกับลูกด้วย บอกกับลูกว่า
“ดีแล้วลูก หนูเห็นมั้ยว่าถ้าเราพากเพียรทำความดีโดยไม่ท้อถอย แม้ในตอนแรกๆจะไม่มีใครมองเห็น แต่ถ้าเราอดทนทำความดีไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็ต้องมีคนมองเห็น และชมเชยการกระทำของเรา แต่ต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้นะ การทำความดีต้องพยายามทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เอาไว้หนูขึ้นชั้นปอ.สอง แม่จะสอนให้หนูหัดซักถุงเท้าตัวเองดีมั้ย พอคุณครูถามว่าใครซักถุงเท้าเองบ้าง หนูก็จะได้ยกมืออีกไง”
ลูกยิ้มแป้นพยักหน้ารับทันที ดิฉันใช้วิธีตีเหล็กเมื่อร้อน เมื่อลูกกำลังชื่นชมกับคำชมที่ได้รับ เราต้องรีบหาทางให้ลูกทำดีมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงใช้วิธีเดิมคือ คอยบอกเป็นระยะๆ จนถึงเวลาที่ลูกขึ้นชั้นปอ.สอง ดิฉันซื้อถุงเท้าให้ลูกห้าคู่ เพื่อว่าเมื่อใส่ครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ลูกจะได้แช่ถุงเท้าและซักผึ่งแดดได้ทันใส่ในวันจันทร์ถัดไป เมื่อเปิดเทอมพอเรียนได้ครบหนึ่งสัปดาห์ ดิฉันจึงสอนให้ลูกหัดซักถุงเท้าเอง แรกๆลูกก็ขมีขมันดีอยู่ แต่พอนานไปเริ่มขี้เกียจ อาจเป็นเพราะถุงเท้าเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ไม่มีใครล้อเลียนได้เหมือนการใส่เสื้อยับๆไปโรงเรียน ชักเริ่มไม่ซักแล้ว รอให้แม่เอาใส่เครื่องซักให้ด้วยความที่ทนให้ลูกใส่ถุงเท้าสกปรกไม่ไหว ภายหลังดิฉันต้องใช้วิธีใจแข็งคือไม่ทำให้ ปล่อยให้ลูกใส่ถุงเท้าเหม็นๆไปโรงเรียน ลูกทนใส่ได้สองวัน ต้องยอมกลับมาซักวันละคู่สองคู่ แบบไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ดิฉันก็นิ่งซะ ไม่พูดไม่ว่าไม่กล่าวแต่ไม่ซักให้
เรื่องนี้ยังไม่สรุป เพราะยังสู้รบกันอยู่ระหว่างแม่ลูก บางครั้งแม่ใจอ่อนก็แพ้ไป ต้องรวบรวมถุงเท้าลูกไปซักให้ บางครั้งแม่ใจแข็งลูกก็ต้องยอมซักถุงเท้าเอง จนบัดนี้ลูกอยู่ชั้นปอ.สี่แล้ว เรื่องซักถุงเท้ายังขยักขย่อนอยู่ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ และเคยชื่นชมการเลี้ยงลูกของแม่แจ๋ว ก็เลิกชื่นชมได้ หันมาช่วยแม่แจ๋วหาวิธีหน่อย จะจัดการอย่างไรดี นอกจากวิธีที่ต้อง “ใจแข็ง” และ “แข็งใจ” อย่างที่ผ่านมา
เรื่องนี้คงต้องจบแบบแปลกๆคือเริ่มจากข้างบน มาจบลงที่ข้างล่าง (แบบติดดินซะด้วย)
Leave a Reply