2. มหกรรมก่อนบวชเณร

เป็นเพราะตอนจบของเรื่อง”โจ๊กอยากได้กีตาร์ราคาแพงๆ” อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ท่าทางนายโจ๊กจะบรรลุธรรมแล้วกระมัง จากการบวชเณรแค่หนึ่งเดือน ยังค่ะ ยัง ลูกยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนกิเลสหนาเหมือนคนทั่วๆไป งั้นแล้วทำไมแม่แจ๋วจึงพูดว่าลูกเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ อารมณ์ และปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมมากมาย แบบนี้คงต้องคุยกันอีกยาวเพื่อให้คุณๆเข้าใจได้ถ่องแท้ เริ่มตั้งแต่ก่อนลูกจะบวชเณรเลยก็แล้วกัน

ประมาณสามสัปดาห์ก่อนที่ลูกโจ๊กจะสอบภาคปลายชั้นมัธยมสาม เช้าวันนั้นหลังกลับจากออกกำลังกายที่สวน เมื่ออาบน้ำเสร็จ ขณะที่ดิฉันกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดิฉันเดินไปรับโทรศัพท์พร้อมกับติดกระดุมเสื้อไปด้วย ยกหูโทรศัพท์ขึ้นและกล่าวว่า

“สวัสดีค่ะ”

“ขอพูดกับคุณแม่กฤชหน่อยค่ะ” เสียงปลายสายพูดมา

“มีอะไรเกิดขึ้นกับลูกดิฉันหรือคะ นั่นคุณครูโทรฯมาจากโรงเรียนใช่มั้ย ลูกดิฉันเป็นอะไรคะ” ดิฉันละล่ำละลักถามกลับไปแบบใจหายเต็มที่ เป็นธรรมดาของพ่อแม่ทุกคน ถ้าครูโทรศัพท์มาจากโรงเรียน ในวันที่ลูกอยู่โรงเรียนต้องคิดในแง่ลบไว้ก่อนทุกครั้ง

“ไม่มีอะไรค่ะ คุณแม่ไม่ต้องตกใจ พอดีกฤชเขาเกิดเรื่องชกต่อยกับเพื่อนนะคะ แว่นตาแตก เลือดออกมาก แต่ไม่โดนตานะคะ คุณครูจะพาส่งโรงพยาบาลแล้ว แต่กฤชเขาบอกว่าให้โทรฯไปบอกคุณแม่ให้มารับ เพราะบ้านอยู่ใกล้โรงเรียนและคุณแม่มีรถยนต์ คุณแม่จะมาได้มั้ยคะ”

“ได้ค่ะ ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนคะ” ดิฉันถามกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ เพราะใจสงบลงแล้วเมื่อรู้ว่าลูกปลอดภัย

“อยู่ที่ห้องปฐมพยาบาลของโรงเรียนค่ะ อยู่ทางซ้ายมือเมื่อเข้าประตูใหญ่มา ประเดี๋ยวดิฉันจะให้คุณครูไปรอรับที่ประตูโรงเรียนก็แล้วกัน เลขทะเบียนรถคุณแม่เบอร์อะไรคะ”

ดิฉันบอกเลขทะเบียนรถและสีรถแก่คุณครู เมื่อวางหูโทรศัพท์แล้วก็วิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว คว้ากุญแจรถได้ ปิดประตูบ้านแล้วก็รีบขับรถไปที่โรงเรียนของลูกโจ๊กทันที เหลือบมองดูชายเสื้อ ยังไม่ได้กลัดกระดุมอีกสองเม็ด อารามรีบร้อนเป็นห่วงลูกจนลืมคิดถึงตนเอง จึงชะลอรถกลัดกระดุมจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย แล้วเร่งรถให้เร็วขึ้น ประมาณหกเจ็ดนาทีก็ถึงโรงเรียนของลูก คุณครูที่มารอรับพาไปที่ห้องปฐมพยาบาล ในห้องนั้นมีคุณครูหลายท่าน กำลังพูดกันเซ็งแซ่ ล้อมวงดูคุณครูท่านหนึ่งกำลังซับเลือดที่ตาด้านขวาของลูกโจ๊ก ดิฉันเดินเข้าไปใกล้ลูกและถามว่า

“กระจกแว่นโดนตาหรือเปล่าลูก”

“โจ๊กไม่รู้แม่ แต่มันเจ็บมาก ลืมตาไม่ได้”

“งั้นเดี๋ยวไปโรงพยาบาลเลยก็แล้วกัน ให้คุณหมอตรวจดูให้ละเอียด ดิฉันไม่ได้ติดผ้าเช็ดหน้ามา คุณครูคะขอกระดาษทิชชูมาเปลี่ยนใหม่หน่อยค่ะ”

คุณครูหยิบกระดาษทิชชูส่งให้ทั้งกล่อง ดิฉันดึงกระดาษออกมาจำนวนหนึ่ง พับให้หนา แล้วให้ลูกปิดตาข้างที่ยังมีเลือดออกไว้ ประคองลูกให้ออกเดิน คุณครูเข้ามาประคองอีกข้าง บอกให้ดิฉันเดินนำไปก่อน เพื่อเปิดประตูรถรอไว้ ดิฉันเดินแกมวิ่งไปเปิดประตูรถด้านซ้ายรอท่าอยู่ เมื่อลูกโจ๊กเข้าไปนั่งแล้ว จึงปิดประตูรถ คุณครูตามมาถามว่าจะไปโรงพยาบาลไหน เพราะจะบอกให้ผู้ปกครองของคู่กรณีของลูก ตามไปพบที่โรงพยาบาลนั้น เพื่อเป็นผู้จ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล ดิฉันเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่ทางครอบครัวเราไปใช้บริการเป็นประจำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก คุณครูรับทราบแล้ว ดิฉันก็ขับรถออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ในระหว่างทางรถค่อนข้างติดมาก ดิฉันบอกให้ลูกเอนเบาะลงนอนนิ่งๆ อย่าขยับมาก เพื่อเลือดจะได้ออกน้อยลงบ้าง ลูกก็ทำตามพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

“แม่ เอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลย ไปแจ้งความที่โรงพักเลย”

“เรื่องมันเป็นยังไงกันล่ะ ถึงได้ชกต่อยกันแว่นแตกเลือดออกขนาดนี้”

“โจ๊กคุยกับเพื่อนอยู่ดีๆ มันก็มาท้าโจ๊กต่อย”

“ก็หนูคุยเรื่องอะไรกันล่ะ ทำไมเขาถึงต้องมาท้าโจ๊กต่อยด้วยล่ะ แล้วเขาท้าเพื่อนคนอื่นต่อยด้วยหรือเปล่า” ดิฉันชักสงสัย เป็นไปได้ยังไงคนเราคุยกันอยู่ดีๆ ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา แล้วเขาจะมาท้าต่อยได้ยังไง

“มันมาท้าโจ๊กคนเดียวแม่ ไอ้นี่มันเกมากแถมเรียนไม่เอาไหนด้วย มันไม่ใช่คนดีหรอกแม่ เอาเรื่องมันเลย”

ได้ฟังคำพูดของลูกก็รู้ว่าโกรธเต็มที่ ดิฉันนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบๆว่า

“หนูคุยกันกี่คน แล้วคุยเรื่องอะไรล่ะ เพื่อนเขาถึงมาท้าต่อยนะ”

ลูกโจ๊กนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดมาว่า

“คุยกันสี่คน โจ๊กพูดว่ามันนิดเดียวเอง แถมไม่ได้ว่ากับตัวมันด้วย โจ๊กก็แค่พูดกับเพื่อนๆ แม่! ไอ้นี่มันคอยหาเรื่องโจ๊กอยู่แล้ว เวลาคุณครูถามอะไรนักเรียนในห้อง แล้วโจ๊กตอบได้ มันจะคอยว่าโจ๊กอยู่เรื่อย ว่าโจ๊กอวดเก่ง”

“ก็แล้วทำไมเขาต้องว่าโจ๊กอวดเก่งด้วยล่ะ พวกหนูมีเรื่องอะไรกันอยู่แล้วเหรอ”

“ไม่มีหรอกแม่ ไอ้นี่มันคอยอิจฉาโจ๊กนะ เพราะมันเรียนไม่เก่ง”

“แล้วเพื่อนหนูที่เรียนไม่เก่งมีหลายคนมั้ย เป็นอย่างเพื่อนคนนี้ทุกคนหรือเปล่า”

“ไม่มีใครเป็นแบบมันหรอกแม่ ส่วนใหญ่เวลาโจ๊กพูดอะไร เพื่อนๆเขาจะฟังโจ๊ก มันเลยไม่พอใจที่เพื่อนๆส่วนใหญ่เชื่อโจ๊ก เวลาครูสอนหนังสือ มันก็ชอบพูดเลียนคำพูดครู แซวครู จนบางทีครูก็โกรธ น่ารำคาญ มันนั่งอยู่ข้างหลังโจ๊กด้วย โจ๊กเคยบอกให้มันหยุดพูดเพราะฟังครูสอนไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่พอใจ”

ดิฉันนิ่งอึ้งไป ยังไม่รู้จะพูดกับลูกอย่างไรดี ก็พอดีถึงโรงพยาบาล พาลูกเข้าห้องฉุกเฉิน คุณหมอมาดูแผลแล้วบอกว่า รอยแผลใต้ตาที่ถูกกระจกบาดลึกมากต้องเย็บแผลให้ติดกัน โชคดีที่เศษกระจกแว่นที่แตกเฉี่ยวเลนส์ตา แค่เป็นรอยถลอกเท่านั้น ซึ่งถ้าโดนบาดลึกกว่านี้ตาอาจบอดได้ ให้ปิดตาไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลังจากเย็บแผลแล้ว เวลาอาบน้ำให้ระวังห้ามโดนน้ำ ทั้งเลนส์ตาที่เป็นรอยถลอกและแผลที่เย็บ ในขณะที่รอคุณหมอเย็บแผลอยู่ คุณพ่อของคู่กรณีของลูกก็มาถึงโรงพยาบาล เธอเข้ามาถามว่าลูกดิฉันเป็นอะไรมากหรือเปล่า ดิฉันเล่าอาการของลูกโจ๊กไปตามที่คุณหมอบอก เธอส่ายศีรษะแล้วพูดมาอย่างเหน็ดเหนื่อยใจว่า

“เฮ้อ! เนี่ยผมก็เตือนลูกทุกวันเลยนะก่อนลงจากรถ ว่าอย่าไปมีเรื่องกับใคร”

“อ้อ! ลูกคุณมีเรื่องกับเพื่อนบ่อยหรือค่ะ” ดิฉันชักสงสัยเลยถามกลับไป คุณพ่อเพื่อนลูกชักอึกอักตอบมาว่า

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมก็เตือนๆลูกไว้นะครับ เห็นว่าไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือด้วย ไม่เหมือนน้องเขา”

“คุณมีลูกกี่คนค่ะ” ดิฉันชวนคุย

“สองคนครับ ชายคน หญิงคน นี่เขาเป็นพี่คนโตค่อนข้างเกเร ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก เพราะต้องออกไปทำงานข้างนอก”

“ประทานโทษ คุณทำงานอะไรค่ะ แล้วคุณแม่ของลูกละค่ะ”

“เอ้อ! ผมทำธุรกิจส่วนตัวนะครับ ส่วนคุณแม่เขาก็รับราชการ”

“อ้อ! คุณมีกิจการของคุณเองหรือค่ะ”

“ก็ไม่เชิงครับ คือเป็นธุรกิจขายตรงนะครับ” แล้วเธอก็เอ่ยชื่อธุรกิจขายตรงชื่อดังแห่งหนึ่ง ดิฉันพยักหน้ารับทราบและถามว่าธุรกิจของเธอไปได้ดีหรือไม่ เธอตอบว่าไม่ค่อยดีนัก ไม่เหมือนตอนเริ่มต้นใหม่ๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ค่อยอยากพูดเรื่องงานของเธอนัก ดิฉันจึงชวนเธอคุยเรื่องลูก

“ลูกๆเรียนหนังสือเป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ”

“ก็ไม่ค่อยดีนะครับ คบเพื่อนเยอะไม่ค่อยสนใจเรียน เกรดคราวนี้ก็แย่ คงจะไม่ได้เรียนต่อชั้น ม.4 ที่โรงเรียนล่ะครับ ส่วนน้องสาวนั่นก็ยังเล็กอยู่ เรียนได้ดีและไม่ดื้อเหมือนพี่เขา คงเพราะแม่ตามใจมาก และไม่มีเวลาดูแลลูกด้วย แล้วคุณล่ะครับ ทำงานอะไร”

“ดิฉันเป็นแม่บ้านค่ะ ต้องดูแลลูกชายสามคน ลูกคนนี้เป็นคนที่สอง คนโตเรียนอยู่ชั้น ม.5 ที่โรงเรียน……แถวลาดพร้าวส่วนคนเล็กก็เพิ่งห้าขวบเรียนชั้นอนุบาล”

คุณพ่อเพื่อนลูกพยักหน้ารับทราบ และถามเรื่องการเรียนของลูกๆดิฉันบ้าง ดิฉันบอกเธอไปว่าลูกเรียนได้ค่อนข้างดีทุกคน อาจเป็นเพราะดิฉันได้มีเวลาอยู่ใกล้ชิดลูก และค่อนข้างเข้มงวดกับลูกๆ ในขณะนั้นภรรยาเธอก็มาถึงโรงพยาบาล เธอแนะนำให้เรารู้จักกัน พอดีพยาบาลเข็นลูกชายดิฉันออกมาตรงที่เรานั่งรอกันอยู่ ดิฉันบอกให้ลูกสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อน ลูกโจ๊กก็ยกมือไหว้คนทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก คุณแม่เพื่อนถามอาการลูกโจ๊กอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปถามคุณพยาบาลถึงค่ารักษาและค่ายา นางพยาบาลบอกให้ไปติดต่อที่แผนกการเงินของโรงพยาบาล ดิฉันแอบได้ยินคุณแม่เพื่อนลูกบ่นให้สามีเธอฟัง ในขณะที่เดินตามเธอไปห่างๆว่า เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเธอเพิ่งเสียเงินไปสองพันกว่าเรื่องลูกคนนี้ มาวันนี้ไม่รู้จะเสียอีกเท่าไร แล้วเธอก็หันไปถามสามีเธอว่า มีเงินมาเท่าไรให้เอาออกมาก่อน สามีเธอตบกระเป๋าแล้วส่ายหน้า สีหน้าเธอเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ไม่กล่าวว่ากระไรอีก ตกลงค่ารักษาพยาบาลวันนั้นหนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่าบาท เมื่อชำระเงินกันเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องกลับไปคุยกันต่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน ตามที่คุณครูสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนไปโรงพยาบาล ดิฉันชวนพวกเธอขึ้นรถไปด้วย เธอบอกว่าสามีเธอขับรถมาด้วย เดี๋ยวไปพบกันที่โรงเรียน ตกลงต่างคนต่างขับรถของตนเองไป

เมื่อขึ้นรถ จัดการให้ลูกเอนนอนแล้ว ดิฉันถามอาการของลูก ลูกโจ๊กว่ายังชาๆอยู่ไม่รู้สึกปวดอะไร หมอเย็บไปเจ็ดเข็ม เมื่อรู้ว่าลูกไม่ปวดแผล ดิฉันจึงออกรถและพูดกับลูกขึ้นว่า

“โจ๊ก โจ๊ก ลองเล่าให้แม่ฟังอย่างละเอียดซิว่า เรื่องราวมันเป็นยังไงกัน หนูไปพูดถึงเพื่อนว่าอะไร เขาถึงไม่พอใจมาท้าหนูต่อย เอาแบบละเอียดเลยนะ ทุกคำพูด อย่าพูดย่อๆเหมือนตอนแรกอีก เพราะเดี๋ยวแม่ต้องกลับไปทำความเข้าใจกับฝ่ายพ่อแม่เพื่อนหนู ถ้าแม่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง แม่ก็จะไม่มีอะไรไปคุยกับฝ่ายนั้นได้ แต่ถ้าแม่รู้เรื่องละเอียด แม่ก็จะรู้ว่าแม่ควรจัดการเรื่องของหนูอย่างไร”

ลูกพยักหน้ารับทราบและเริ่มเล่าว่า

“แม่ยังจำวันที่โจ๊กไปเลี้ยงร่ำลากับเพื่อนๆในห้อง ที่ชายทะเลเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มั้ย”

ดิฉันพยักหน้ารับว่าจำได้ วันนั้นลูกมาขออนุญาตไปเที่ยวกับเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งจะพักค้างหนึ่งคืนด้วย โดยบอกว่าเป็นการเลี้ยงลาเพื่อนมัธยมสามด้วยกัน เพราะอาจจะไม่ได้พบกับเพื่อนๆอีก ดิฉันยังติงลูกด้วยว่า จะร่ำลาอะไรกันหนักหนา ยังเด็กๆอยู่แท้ๆเดี๋ยวก็ต้องกลับมาเรียนด้วยกันอีก ลูกบอกว่าอาจารย์ไปด้วย ถือว่าเป็นการพักผ่อนก่อนสอบไล่ใหญ่ และเพื่อนบางคนก็จะเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพ อาจไม่ได้เจอกันอีกนาน ดิฉันอนุญาตให้ลูกไปได้และยังสั่งไม่ให้ลูกดื่มเหล้า ลูกรับปาก เพราะลูกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ได้ จะเป็นผื่นคันทั้งตัว ลูกเล่าต่อไปว่า

“เพื่อนโจ๊กมาเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนผู้หญิงในห้องที่เป็นแฟนกับไอ้หนึ่ง (นามสมมติของคู่กรณีของลูก) ยอมเสียตัวให้มันคืนนั้นที่ชายทะเล โจ๊กเลยพูดกับเพื่อนว่า เพื่อนผู้หญิงคนนั้นทำไมถึงโง่ไปยอมเสียตัวให้มัน ไอ้หนึ่งมันเกจะตาย เรียนก็ไม่เอาไหน อนาคตไม่มี ถ้าเกิดท้องขึ้นมาก็จะลำบากทั้งคู่ ตอนที่พูดกันนั้นมีทั้งหมดสี่คน โจ๊กไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหนไปบอกมัน ไอ้หนึ่งมันเลยเขียนจดหมายให้เพื่อนเอามาให้โจ๊ก มันเขียนมาว่าโจ๊กไปเสือกเรื่องของมันทำไม มันจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของมัน และผู้หญิงก็ยอมเสียตัวให้มันเอง มันเลยท้าโจ๊กไปชกกับมันที่หน้าห้องน้ำหลังโรงเรียน แม่! โจ๊กต้องไป เพราะทุกคนในห้องรู้กันหมดแล้ว ถ้าโจ๊กไม่ไปต่อยกับมัน ก็เสียศักดิ์ศรี ใครๆก็จะว่าโจ๊กกลัวมัน

แม่ โจ๊กไม่กลัวมันหรอกนะ แม่ก็รู้ว่าโจ๊กฝึกมวยไทยมา ไอ้หนึ่งมันก็โดนไปหนักเหมือนกัน เพราะโจ๊กเตะมันจนมันพับลงไปนั่งกับพื้น แต่โจ๊กเสียเปรียบเรื่องใส่แว่น แล้วมันก็จ้องที่จะชกที่ตาของโจ๊ก มันกะจะให้โจ๊กตาบอด พอแว่นโจ๊กแตกเลือดออก เพื่อนๆก็เข้ามาแยก คุณครูก็มาพอดี ครูสั่งให้เพื่อนประคองโจ๊กไปที่ห้องปฐมพยาบาล โจ๊กเลยบอกให้ครูโทรฯไปเรียกแม่มา เดี๋ยวแม่แวะที่ร้านแว่นก่อนนะ เพราะโจ๊กไม่มีแว่นสำรอง แล้วอาทิตย์หน้าโจ๊กต้องสอบบางวิชาด้วย แม่ทำแว่นแพงๆเลยนะ แล้วเอาบิลไปเรียกเก็บกับพ่อแม่ไอ้หนึ่งมัน”

พอดีมีร้านประกอบแว่นอยู่ใกล้บ้านและโรงเรียน ดิฉันจึงแวะไปให้ลูกได้วัดสายตาประกอบแว่นก่อน เพราะเห็นเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน ลูกสายตาสั้นและเอียงมาก ต้องใช้เลนส์ขนาดพิเศษ และไม่มีสำรองในร้าน ไม่ว่าจะเป็นเลนส์กระจกธรรมดาหรือเลนส์มัลติโคท เจ้าหน้าที่ของร้านบอกว่า ขนาดเลนส์ของลูกโจ๊ก ไม่มีร้านแว่นที่ไหนจะสำรองไว้ เพราะเป็นขนาดพิเศษที่ต้องสั่งไปยังบริษัทผู้ผลิตเลนส์เท่านั้น และใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดเจ็ดวันจึงจะได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องจำยอม ปรากฏว่าค่าแว่นตาครั้งนี้ราคาหกพันห้าร้อยบาท ดิฉันจ่ายเงินมัดจำไปสองพันบาท เมื่อได้รับใบนัดเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถเพื่อขับกลับไปที่โรงเรียน เมื่อออกรถแล้วดิฉันเอ่ยขึ้นกับลูกว่า

“โจ๊ก โจ๊ก แม่ฟังเรื่องของหนูแล้ว แม่ว่าหนูก็ผิดเหมือนกันนะที่ไปว่าเขาก่อน”

“แต่แม่! ไอ้หนึ่งมันเลวจริงๆนะ มันทำผิดด้วย ถ้าเกิดเพื่อนผู้หญิงท้องขึ้นมา มันก็ลำบากทั้งสองคน แถมมันยังคอยจ้องจะหาเรื่องโจ๊กอยู่นานแล้วด้วย”

ลูกรีบพูดสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดิฉันจึงเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“ลูกฟังแม่พูดก่อน ใจเย็นๆ ความจริงเรื่องทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับหนูเลย แต่เป็นเพราะหนูเป็นคนมีจิตใจดี เดือดร้อนแทนเพื่อนผู้หญิง แต่ลูกคิดดูดีๆนะ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าเพื่อนหนูเขาไม่ยินยอม มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร แล้วหนูได้ถามเพื่อนผู้หญิงหรือยังว่า เขาเต็มใจหรือเปล่าที่จะยอมเสียตัวให้นายหนึ่ง คนตั้งเยอะแยะ ถ้าเขาไม่เต็มใจ แค่เขาร้องเสียงดังๆ เพื่อนๆก็จะรีบวิ่งไปช่วยเขาแล้ว แต่นี่เหตุการณ์มันล่วงเลยขนาดเพื่อนๆรู้กันหมด เพราะเขาไม่ได้ไปประกอบกิจในที่ลับตาคนสักเท่าไรเลย แถวๆชายทะเลแท้ๆ

เมื่อกี้ตอนที่อยู่โรงพยาบาล แม่ได้คุยกับพ่อนายหนึ่งเรื่องลูกของเขา เขาก็เป็นทุกข์มากนะลูก เพราะนายหนึ่งเกเรมากทั้งเรื่องเรียนและเรื่องคบเพื่อนเที่ยว แถมคุณแม่เขายังต้องเสียเงินเพราะนายหนึ่งไปก่อความเดือดร้อนไว้ก่อนที่จะมามีเรื่องกับโจ๊กอีกตั้งสองพันกว่าบาท ค่ายาโจ๊กวันนี้ก็พันเจ็ดร้อยแล้ว และอาจต้องจ่ายค่าแว่นตาของโจ๊กอีกตั้งหกพันห้าร้อยบาท แม่แอบเห็นคุณแม่นายหนึ่งเขาขอเงินจากคุณพ่อเพื่อจะจ่ายค่ายา แต่คุณพ่อเขาไม่มีตังค์ แม่คุยกับคุณพ่อเพื่อนหนูเรื่องงานของเขา ปรากฏว่างานที่เขาทำอยู่รายได้ไม่ค่อยดีนัก และคุณแม่นายหนึ่งก็รับราชการ เงินเดือนข้าราชการ หนูก็รู้ๆอยู่มันไม่มากเท่าไร เขาคงลำบากเรื่องเงินทองกันมากพอสมควร หนูลองคิดดูซิว่าครอบครัวเขาน่าสงสารแค่ไหน ลูกสองคนกำลังกิน กำลังเรียนทั้งคู่ แต่คนหาเงินแทบจะเป็นแม่เขาคนเดียว เพราะพ่อเขารายได้ไม่แน่นอน พวกเขาคงมัวก้มหน้าก้มตาหาเงินจนไม่มีเวลาดูแลลูก นายหนึ่งเลยเกเรแบบนี้ แล้วถ้าเรื่องที่หนูเล่าให้ฟัง เรื่องที่นายหนึ่งเขามีอะไรกับแฟนเขา ถ้าเกิดท้องขึ้นมา แล้วพ่อแม่ผู้หญิงเขาเอาเรื่อง พ่อแม่นายหนึ่งจะเดือดร้อนมากกว่านี้อีกหลายเท่า”

ดิฉันหยุดพูด ขับรถต่อไปอย่างช้าๆเพื่อดูปฏิกิริยาของลูก เห็นลูกนิ่งฟังมีสีหน้าครุ่นคิด จึงเอ่ยต่อไปอีกว่า

“อภัยต่อกันเถิดลูก เรื่องแล้วก็ให้มันแล้วไป เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกันดีกว่าเป็นศัตรูกันนะลูก มีเวลาพบกันอีกแค่สองสามอาทิตย์ พอสอบเสร็จก็จะจบแล้ว อาจต้องแยกไปเรียนคนละโรงเรียน แล้วไม่ได้เจอะเจอกันอีก”

“แต่โจ๊กแว่นแตก ตาเกือบบอดนะแม่ ไอ้หนึ่งมันแค่เจ็บนิดเดียวเอง”

ลูกพูดสวนกลับมา แต่น้ำเสียงก็ลดความรุนแรงลงไปมากแล้ว ดิฉันจึงพูดต่อว่า

“เป็นธรรมดานะลูก ทะเลาะกันชกต่อยกัน มันต้องมีผู้ได้รับบาดเจ็บเสมอ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็อาจเป็นทั้งสองฝ่าย ถ้ากลับกันสมมตินายหนึ่งเขาใส่แว่น แต่โจ๊กไม่ใส่แว่น แล้วโจ๊กชกนายหนึ่งแว่นตาแตก สมมติอีกว่าเพื่อนหนูเขาเกิดตาบอดขึ้นมา ผลคืออะไร ตอนนี้ผู้ที่เดือดร้อนมากจะกลายเป็นโจ๊กกับแม่แล้วนะลูก”

“แต่โจ๊กจะไม่จ้องที่จะชกที่ตา เหมือนที่ไอ้หนึ่งมันจ้องจะชกที่ตาโจ๊กแน่นอน”

“เวลาโกรธจนหน้ามืด ทะเลาะชกต่อยกัน ไม่มีใครมานั่งระวังหรอกนะลูกว่าจะไม่ชกให้โดนที่นั่นที่นี่ มีแต่จะต้องรีบๆกระทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บมากกว่าตนเองให้มากที่สุด หนูเองก็ฝึกการต่อสู้มามาก ทั้งมวยไทย ทั้งเทควันโด เวลาต่อสู้กัน ความคิดตอนนั้นเป็นยังไง จ้องจะหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้เพื่อชิงความได้เปรียบใช่มั้ย เชื่อแม่เถิดลูก อภัยกันเป็นเพื่อนกันดีกว่า ไม่งั้นหนูจะเรียนไม่เป็นสุขนะลูก เพราะคอยแต่จะเคียดแค้นเขาอยู่ตลอดเวลา จนไม่เป็นอันได้เรียนหนังสือกัน”

ลูกนั่งนิ่งเงียบจนถึงโรงเรียน เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว คุณครูมาเชิญให้ไปที่ห้องพักครู บอกว่าพ่อแม่ของนายหนึ่งมารอ อยู่แล้ว รวมทั้งตัวนายหนึ่งเองด้วย เมื่อดิฉันกับลูกก้าวเข้าไปในห้องพักครู ปรากฏว่ามีคุณครูหลายท่านอยู่ในห้องนั้น รวมทั้งพ่อแม่นายหนึ่งซึ่งนั่งรออยู่ที่โซฟารับแขก ส่วนที่พื้นห้องหน้าโซฟา มีเด็กนักเรียนชายตัวโตพอๆกับลูกโจ๊ก นั่งก้มหน้าจนใบหน้าเกือบจรดพื้นอยู่คนหนึ่ง เสียงคุณครูท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า

“เชิญคุณแม่กฤชนั่งที่นี่เลยค่ะ ส่วนกฤชเธอไปนั่งที่พื้นข้างๆนายหนึ่งเขา อยากก่อเรื่องกันดีนัก”

ดิฉันเดินไปนั่งโซฟาตัวที่คุณครูกล่าวเชิญ ส่วนลูกโจ๊กนั่งที่พื้นตรงหน้าดิฉัน ห่างจากนายหนึ่งพอสมควร นายหนึ่งเงยหน้าเหลือบดูดิฉันแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหน้างุดลงไปทันที เสียงคุณครูกล่าวต่อไปว่า

“เอ้า! นายหนึ่งไปกราบขอโทษคุณแม่กฤชท่านซะ ทำลูกท่านตาเกือบบอด กราบสวยๆนะ กราบไปที่เท้าเลยนะ”

นายหนึ่งคลานเข่าเข้ามาที่ตรงหน้าดิฉันพนมมือก้มลงจะกราบไปที่เท้า ดิฉันโน้มตัวลงไปรับมือของนายหนึ่ง กุมมือทั้งสองข้างไว้ แล้วพูดว่า

“เอาละลูก แค่ไหว้ก็พอ เอาเป็นว่าเรารู้จักกันแล้วนะ แม่ไม่มีอะไรจะอภัยหรือไม่อภัยหรอกลูก เพราะเป็นเรื่องระหว่างหนูกับกฤชไม่ใช่แม่ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะอภัยให้แก่กันต้องเป็นหนูกับกฤชเท่านั้น หนูมีบาดเจ็บที่ไหนบ้างมั้ยลูก เห็นกฤชเขาเล่าให้ฟังว่า เขาก็ทำหนูไว้หนักเหมือนกัน ถ้าเป็นอะไรก็บอกแม่ได้นะลูก ไม่ต้องเกรงใจ”

นายหนึ่งก้มหน้าสั่นศีรษะ ไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันจึงหันไปพูดกับคุณครูในที่นั้นว่า

“คุณครูคะ ดิฉันจะไม่ถามละค่ะ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เพราะได้สอบถามลูกมาในรถทั้งหมดแล้ว และดิฉันก็จะไม่บอกว่าใครผิดหรือถูก ถือว่าเด็กมีเรื่องกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ให้เลิกแล้วต่อกัน ให้เป็นเพื่อนกันต่อไป แล้วอย่ามีเรื่องกันอีกก็พอแล้ว”

ทั้งห้องนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ลูกโจ๊ก มานั่งตรงนี้ซิลูก”

ดิฉันชี้ไปที่พื้นตรงหน้าใกล้ๆกับที่นายหนึ่งนั่งอยู่ ลูกขยับมานั่งตรงที่ๆดิฉันชี้บอก แต่ก็รักษาระยะห่างระหว่างนายหนึ่งไว้ ดิฉันบอกลูกว่า

“โจ๊กส่งมือมาให้แม่ซิ หนึ่งด้วยส่งมือมาให้แม่ซิลูก”

เด็กทั้งสองคนส่งมือ มาให้ดิฉันคนละข้าง ดิฉันจับมือเด็กทั้งสองไว้ แล้วพูดว่า

“เอ้า! ดีกันซะลูก จับมือกัน ให้อภัยกัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็เลิกแล้วกันไป เป็นเพื่อนกันต่อไป โจ๊ก โจ๊กให้อภัยเพื่อนซะลูก”

ลูกโจ๊กทำสีหน้าที่บอกไม่ถูก เมื่อเห็นดิฉันมองหน้าและจับมือทั้งสองคนไว้ไม่ยอมปล่อย ก็กล่าวออกมาว่า

“เออ! เฮ้ย ไม่มีอะไรนะ” ลูกโจ๊กพูดห้วนๆ นายหนึ่งก็รีบพูดตอบมาว่า

“เอ้อ! กฤชเราขอโทษ” สุ้มเสียงนายหนึ่งค่อนข้างจริงใจ ลูกโจ๊กเลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นมาก

“เฮ่ย! ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร” แล้วเด็กทั้งสองก็จับมือกัน ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากทุกคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ดิฉันจึงพูดขึ้นว่า

“หนูกำลังจะสอบไล่กันอยู่แล้วใช่มั้ย หนึ่งก็ต้องตั้งใจเรียนนะลูก เห็นคุณพ่อว่าไม่ค่อยอ่านหนังสือหรือลูก ปีนี้สำคัญนะ มอ.สามแล้ว อย่าทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเสียใจนะลูก”

“ครับ” นายหนึ่งรับคำสั้นๆ เสียงคุณครูท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า

“แหม! ไม่เคยเจอเหตุการณ์ดีๆแบบนี้เลย ทุกครั้งที่เด็กนักเรียนมีเรื่องกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต้องมานั่งทะเลาะกันทุกที กว่าครูจะไกล่เกลี่ยเรื่องได้ ก็แทบแย่ แต่ครั้งนี้เรื่องจบลงแบบดีจริงๆ ดิฉันเป็นครูประจำชั้นของเด็กทั้งสองคน คุณแม่กฤชจะช่วยไปพูดอะไรให้เด็กนักเรียนในห้องฟังหน่อยได้มั้ยค่ะ”

ดิฉันถามคุณครูว่าจะให้ไปพูดเรื่องอะไรให้นักเรียนฟัง คุณครูประจำชั้นของลูกบอกว่า เป็นเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ได้ก็ยิ่งดี เพราะเพื่อนๆในห้องจะได้รู้ว่าเด็กทั้งสองคนให้อภัยกันแล้ว ดิฉันตกลงรับปากคุณครูที่จะไปพูดกับเพื่อนๆของลูกทั้งห้อง คุณพ่อคุณแม่ของนายหนึ่งเดินเข้ามายกมือไหว้ขอบคุณดิฉันที่ไม่เอาโทษลูกเขา แล้วหันไปสำทับลูกของตนให้มากราบขอบคุณดิฉันอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันรับไหว้แล้วชวนทั้งสองคนให้ขึ้นไปที่ห้องเรียนของลูกด้วยกัน คุณพ่อนายหนึ่งขอตัวกลับก่อน บอกว่ามีธุระด่วนที่จะต้องรีบไปจัดการ ส่วนคุณแม่นายหนึ่งเมื่อลางานมาแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนไปไหน จึงเดินขึ้นไปที่ห้องเรียนลูกด้วยกัน

เมื่อไปถึงหน้าห้องเรียนลูกแล้ว คุณครูบอกให้เราทั้งหมดนั่งรอที่ระเบียงหน้าห้อง ส่วนคุณครูจะเข้าไปเกริ่นกับนักเรียนในห้องเรียนก่อน แล้วจึงจะให้ดิฉันเข้าไปพูดคุยกับเด็กๆต่อไป สักครู่หนึ่งคุณครูก็ออกมาเชิญดิฉันให้เข้าไปในห้องเรียนได้ ดิฉันหันไปชวนคุณแม่นายหนึ่งให้เข้าไปด้วยกัน เธอรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ บอกว่าขอนั่งฟังที่ระเบียงหน้าห้อง ดิฉันจึงบอกให้เด็กทั้งสองคนนั่งรอที่หน้าห้องเรียนก่อน สักครู่จะออกมาเรียกให้เข้าไป เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเรียน มีเสียงเด็กนักเรียนชายบอกทำความเคารพ ทุกคนทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน ดิฉันพนมมือไหว้รับความเคารพ เสียงต่างๆเงียบลง ดิฉันจึงกล่าวขึ้นว่า

“สวัสดีค่ะลูกๆ แม่ชื่อ……… นามสกุลคงไม่ต้องบอก……” ยังกล่าวไม่ทันจบประโยค เสียงเฮของเด็กนักเรียนทั้งชั้นก็ดังลั่นขึ้นพร้อมกัน ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ดิฉันก็งงๆว่าพวกเด็กๆเขาเฮและหัวเราะเรื่องอะไรกัน หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ก็ทราบเหตุผลจากลูกโจ๊ก แต่จะเอาไว้เล่าให้ฟังทีหลัง

เมื่อเสียงเด็กเงียบลงแล้ว ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ลูกๆคงรู้เรื่องชกต่อยที่เกิดขึ้นในวันนี้กันทุกคนแล้ว แม่ก็จะไม่เล่ารายละเอียดให้ฟังอีก และจะไม่ตัดสินด้วยว่าใครถูกหรือผิด แต่จะบอกว่ากฤชปลอดภัยแล้ว และหนึ่งก็ไม่เป็นอะไร ทั้งสองคนให้อภัยต่อกันแล้ว และจะเป็นเพื่อนที่ดีกันต่อไป แม่จะให้ทั้งสองคนเข้ามาในห้องเรียน จับมือแสดงความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นและเป็นพยาน”

กล่าวจบดิฉันก็ออกไปเรียกเด็กทั้งสอง พร้อมกับคุณแม่นายหนึ่งให้เข้ามาในห้องเรียน ทั้งหมดเดินเข้ามายืนที่หน้าห้องเรียน ดิฉันจึงให้เด็กทั้งสองจับมือกัน เพื่อแสดงให้เพื่อนๆในห้องได้เห็นว่า บัดนี้ทั้งสองคนได้ให้อภัยต่อกันแล้ว เด็กทั้งคู่ยื่นมือทั้งสองของตนออกมาจับกัน และกล่าวขอโทษซึ่งกันและกัน นักเรียนทั้งห้องปรบมือแสดงความยินดีโดยพร้อมเพรียงกัน ดิฉันจึงบอกให้เด็กทั้งสองคนกลับเข้าไปนั่งในที่ของตนได้ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ดิฉันจึงกล่าวแก่นักเรียนทั้งห้องว่า

“ลูกๆทุกคนคงได้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วว่าความโกรธ ความเกลียด ความอาฆาตพยาบาท ความอยากเด่น อยากดัง มักพาให้เกิดปัญหาและความเดือดร้อนขึ้นเสมอ และทุกครั้งมักจะลงเอยที่การได้รับบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้าง บางครั้งถึงเลือดตกยางออก และบางครั้งก็ถึงแก่ชีวิต อย่างที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆจากทีวีบ้าง จากหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง แม่จะไม่พูดละว่าเหตุการณ์วันนี้ ใครเป็นผู้ผิดหรือถูก แม่ถือว่าทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ย่อมมีส่วนผิดด้วยกันทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย คู่กรณีก็ผิดเพราะไม่มีความยับยั้งชั่งใจ อยากแต่จะเอาชนะกันด้วยกำลัง ด้วยกลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี แทนที่จะเอาชนะกันด้วยปัญญา เพื่อนๆก็ผิด เพราะไม่มีใครคิดห้ามปราม อยากแต่จะดูมวยฟรี”

พอพูดมาถึงตรงนี้นักเรียนทั้งห้องก็หัวเราะครืนออกมาพร้อมกัน ดิฉันจึงพูดยิ้มๆต่อไปว่า

“ทำหัวร่อดีไปเถอะลูกๆ นี่โชคดีนะที่กระจกแว่นแค่เฉี่ยวเลนส์ตา และบาดใต้ตาเป็นแผล เย็บแค่เจ็ดเข็มเท่านั้น ถ้าเกิดกระจกแว่นบาดตาแล้วตาบอด แม่ถามจริงๆเถอะ วันนี้จะมีเสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้ของพวกหนูกันแน่ แล้วคนที่เสียใจจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากเท่าไร เวลาของความเสียใจคือตลอดชีวิตของผู้ที่ทำให้เพื่อนตาบอด กับคนที่ตาบอดเอง รวมทั้งคนในครอบครัวทั้งหมดด้วย หนูคิดดูซิว่ามันน่าเศร้าขนาดไหน”

ทุกคนนิ่งมีสีหน้าครุ่นคิด บางคนก็พยักหน้าเชิงเห็นด้วย ดิฉันจึงกล่าวต่อไปว่า

“เรียนหนังสือห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกันดีกว่านะลูก เวลามีเรื่องกัน เพื่อนๆต้องช่วยกันห้าม อย่ายุยงสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งสิ้น ถ้าคู่กรณีไม่เชื่อหนูไปฟ้องครูเลยลูก แม่เชื่อว่าคุณครูคงจะยินดีมากกว่าที่จะให้พวกหนูก่อเรื่องวิวาทกัน แต่นี่เรื่องก็จบลงด้วยดีแล้ว แม่ก็โล่งใจ ลูกๆใกล้จะสอบกันแล้วไม่ใช่หรือ ชวนกันดูหนังสือดีกว่า แม่จะแนะนำให้ วันหลังถ้าเพื่อนคนไหนท้าตีท้าต่อย หนูก็ท้าแข่งเรียนซะเลย ใครเรียนได้เกรดดีกว่ากัน แสดงว่าเป็นผู้เก่งกล้าที่แท้จริง ค่อยสมกับเป็นปัญญาชนหน่อย ไม่ใช่เอะอะก็ใช้กำลังอย่างเดียว ถ้าอยากใช้กำลังให้สมศักดิ์ศรี โน่น! หนูไปสมัครเป็นนักมวยให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ไปชกไปต่อยที่เวทีมวยให้หนำใจกันไป แต่นี่เป็นโรงเรียน จะท้าแข่งได้ก็เรื่องเรียนอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะสมศักดิ์ศรีหน่อย นี่อารั้ย! เล่นใช้หน้าส้วมเป็นเวทีมวย ช่างน่าตีซะจริงๆเชียว”

คราวนี้นักเรียนทั้งห้องหัวเราะกันครืนใหญ่ เพื่อนๆที่นั่งใกล้ลูกโจ๊กหลายคน เอามือตบหลังตบไหล่หยอกล้อลูกโจ๊กพร้อมกับหัวเราะชอบใจกันเอิ๊กอ๊าก เมื่อเสียงหัวเราะชอบใจเงียบลง ดิฉันก็พูดต่อว่า

“วันนี้แม่คงต้องขอยุติเพียงเท่านี้ พวกลูกๆก็ควรตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ จะสอบไล่กันแล้วใช่มั้ย แถมบางคนต้องสอบแข่งขันขึ้นเรียนชั้นมอสี่อีกด้วย ดิฉันคงต้องขอคืนนักเรียนให้คุณครูช่วยกำราบกันต่อไป แม่คงต้องลาแล้ว ขอให้ลูกๆทุกคนสอบไล่ได้เกรดดีๆสมความตั้งใจของตนเอง สวัสดีค่ะ”

เสียงคุณครูบอกให้นักเรียนทุกคนก้มกราบลงบนโต๊ะเรียน เพื่อเป็นการบอกลา ดิฉันและคุณแม่นายหนึ่งรับไหว้ แล้วก็เดินออกจากห้องเรียนไป เมื่อออกมานอกห้องเรียนดิฉันก็เอาใบเสร็จค่าทำแว่นตาของลูกโจ๊กให้แม่นายหนึ่ง พอเธอเห็นใบเสร็จ เธอก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ บอกกับดิฉันว่าเธอไม่ได้ติดเงินมามาก และจ่ายค่ายาไปหมดแล้ว แต่เธอจะฝากเงินกับลูกเธอมาให้ ดิฉันก็พยักหน้ารับ ไม่สอบถามเธอว่าจะเป็นเมื่อไรหรือวันไหน คิดว่าแล้วแต่เธอสะดวก

เวลาผ่านไปสี่วันหลังวันเกิดเหตุการณ์ คืนนั้นประมาณสองทุ่ม คุณแม่นายหนึ่งโทรศัพท์มาหาดิฉัน เธอสอบถามอาการลูกโจ๊กสักครู่หนึ่ง ดิฉันก็ถามเธอในเรื่องลูกของเธอบ้าง เธอบ่นเรื่องลูกอย่างเพลียใจหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเรียนของลูกเธอ และเรื่องที่ลูกเธอติดเพื่อนต้องออกเที่ยวกลางคืนแทบทุกคืน ออกขี่จักรยานไปตามซอยต่างๆรอบๆหมู่บ้าน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มเที่ยงคืนหรือบางครั้งก็เกินเที่ยงคืน ดิฉันถามเธอว่าแล้วเธอจัดการอย่างไร เธอบอกว่าห้ามลูกแล้วก็ไม่ฟัง ไม่รู้จะทำอย่างไร ดิฉันได้แต่นิ่งไม่กล่าวว่ากระไร เธอถามว่าลูกดิฉันออกเที่ยวแบบนี้หรือเปล่า ดิฉันบอกเธอว่าไม่เคยอนุญาตให้ลูกออกจากบ้านตอนกลางคืนได้ และเนื่องจากลูกนอนหัวค่ำตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นก็แค่นอนดึกเพิ่มขึ้นอีกเพียงหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น พอทำการบ้านทบทวนหนังสือแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าไม่ดูทีวีก็จะเข้านอน เมื่อเธอถามเรื่องลูกติดเกมหรือไม่ ดิฉันบอกเธอว่าเรามีกฎของบ้านว่าจะเล่นเกมได้เมื่อไร และวันไหนห้ามเล่นบ้าง เธอสอบถามอย่างสนใจว่าดิฉันทำอย่างไร ดิฉันก็เล่าให้เธอฟังว่าจัดการอย่างไร (รายละเอียดมีอยู่ในเรื่อง “ใครเล่นเกมไม่มีข้าวให้กิน”) เธอถามดิฉันว่าลูกก็ยอมทำตามโดยดีหรือ ดิฉันบอกเธอว่าลูกต้องยอมเพราะดิฉัน“เอาจริง” เมื่อลูกยังเล็กอยู่ ไม้เรียวยังศักดิ์สิทธิ์ ดิฉันก็จะใช้ไม้เรียวกับลูก แต่เมื่อลูกโตขึ้น ดิฉันใช้เงินค่าขนมของลูกเป็นตัวต่อรอง ทั้งเรื่องการเรียนที่จะให้เงินเพิ่ม ถ้าลูกทำเกรดได้ถึงเป้าหรือได้มากกว่าที่ตกลงกันไว้ และจะลดเงินเมื่อลูกทำผิดในบางเรื่อง เช่นตื่นสายไปโรงเรียนไม่ทัน หรือเกรดการเรียนลดลง

คุณแม่นายหนึ่งถามดิฉันต่อมาว่า ให้ลูกโจ๊กใช้เงินวันละเท่าไร ดิฉันบอกเธอว่า ให้เป็นรายสัปดาห์เพื่อให้ลูกฝึกใช้เงินให้พอเพียงในหนึ่งอาทิตย์ ตกวันละสี่สิบบาท เธอตกใจมากถามว่าลูกดิฉันจะพอใช้หรือ รวมค่าอาหารกลางวันหรือเปล่า เมื่อดิฉันบอกเธอว่ารวมค่าอาหารกลางวันลูกด้วย เธออุทานเสียงดังว่าจะพอใช้ได้อย่างไร ขนาดเธอให้ลูกใช้วันละหนึ่งร้อยบาท รวมค่าอาหารกลางวันด้วย แถมคุณพ่อยังไปรับส่งทุกวัน ลูกเธอยังบ่นว่าไม่พอใช้ ดิฉันถามเธอว่าแล้วเธอเคยถามลูกหรือเปล่าว่า เอาเงินไปใช้ค่าอะไรบ้าง ค่าอาหารที่โรงเรียนถูกมาก แค่ยี่สิบบาทลูกก็อิ่มมากแล้ว ได้ทั้งข้าว ขนมและน้ำ ส่วนที่เหลืออีกยี่สิบบาท ลูกจะเก็บใส่กระปุกหรือเป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวกับอุปกรณ์การเรียน แต่ไม่มีค่ารถ เนื่องจากลูกขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ คุณแม่นายหนึ่งบอกว่าไม่เคยถามลูก และเวลาจะซื้ออุปกรณ์อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเรียน ลูกจะมาเบิกทุกครั้ง บางครั้งก็แพงมากเป็นร้อย สองร้อยบาทก็มี ดิฉันก็ถามเธออีกว่า แล้วเคยขอดูอุปกรณ์การเรียนนั้นหรือเปล่า เธอบอกว่าเคยถามดู แต่ลูกก็บอกว่าส่งครูแล้ว หรือบางทีก็หงุดหงิดไม่พอใจที่แม่ถาม หลังๆเธอเลยไม่กล้าขอดู กลัวลูกจะว่าเธอไม่ไว้ใจ

ดิฉันนิ่งไปไม่กล่าวว่ากระไร เธอจึงย้อนถามกลับมาว่า ลูกดิฉันเคยขอเบิกค่าอุปกรณ์การเรียนหรือไม่ และดิฉันทำอย่างไร ดิฉันจึงบอกเธอไปว่า ดิฉันก็จะถามลูกทุกครั้งว่าเอาเงินที่ขอเบิกเพิ่มไปซื้ออุปกรณ์อะไร ใช้ในวิชาไหน ใช้อย่างไร เมื่อลูกซื้อแล้วก็จะเอามาให้ดูทุกครั้ง เพราะต้องเอากลับมาทำเป็นการบ้านโดยส่วนใหญ่ แล้วจึงจะส่งครู ดิฉันไม่กลัวว่าลูกจะน้อยใจว่าแม่ไม่ไว้วางใจ แต่ดิฉันกลับคิดว่าเป็นการฝึกลูกให้รู้จักซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อพ่อแม่

หลังจากนั้นเธอก็บ่นเรื่องรายได้ว่าหาเท่าไรก็ไม่เคยพอใช้สักที สักครู่เธอก็พูดเรื่องเหตุวิวาทที่เกิดขึ้นระหว่างลูกเธอกับลูกดิฉัน เธอกล่าวว่า

“พี่! หนูมาคิดดูแล้วว่าเรื่องระหว่างลูกเรา เป็นเหตุวิวาทกัน เจ็บตัวทั้งคู่ ก็ควรจะรับผิดชอบกันเอง หนูว่าหนูจะไม่จ่ายค่าแว่นตาของลูกพี่”

ดิฉันนิ่งอึ้งไป คิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ คุณแม่นายหนึ่งเห็นว่าดิฉันไม่พูดอะไร จึงกล่าวต่อว่า

“เพื่อนๆที่ทำงานหลายคนก็บอกว่า เป็นเรื่องเด็กทะเลาะกัน พ่อแม่ใครก็รับผิดชอบลูกตนเอง ความจริงค่ายาวันนั้นที่โรงพยาบาลหนูก็ไม่ควรต้องเป็นผู้จ่ายด้วย”

“แล้วคุณถามคุณครูที่โรงเรียนหรือเปล่าว่าคุณควรทำอย่างไร พี่จำได้ว่าคุณครูตัดสินแล้วว่า คุณต้องรับผิดชอบเรื่องลูกคุณอย่างไรบ้าง ทำไมคุณถึงให้เพื่อนที่ทำงานคุณเป็นผู้ตัดสินแทนคุณในเรื่องแบบนี้ล่ะ เพื่อนคุณไม่ได้มาอยู่ในเหตุการณ์เลย แล้วพี่ก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณไปเล่าเรื่องอย่างไรบ้าง พวกเพื่อนๆคุณถึงเห็นพ้องกันว่า คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร”

เธอรีบพูดแทรกขึ้นว่า

“ก็มีครูที่โรงเรียนพูดแบบนี้บ้างเหมือนกัน บอกว่าหนูจ่ายค่ายาก็พอแล้ว เรื่องแว่นตาเป็นเรื่องส่วนตัว ควรรับผิดชอบเอง”

“พี่จะไม่สาวเรื่องราวต่อละว่า ครูคนไหนพูดแบบนี้ เพราะคุณก็คงจะพูดว่าจำไม่ได้ แต่มีคนพูดและคุณได้ยินมา เอาเป็นว่าที่คุณโทรฯมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกว่าจะไม่ยอมจ่ายค่าแว่นตาของลูกพี่ ถ้าคุณไม่จ่ายพี่ก็คงไปบังคับให้คุณจ่ายไม่ได้ แต่อยากให้คุณลองคิดดูว่า ถ้ากลับกันลูกคุณใส่แว่น แล้วโดนลูกพี่ชกแว่นแตก ตาเกือบบอดต้องเย็บเจ็ดเข็ม คุณจะให้พี่จ่ายค่ารักษาและค่าแว่นตาของลูกคุณ หรือคุณจะบอกพี่ว่า คุณจะจ่ายค่ารักษาและค่าแว่นตาเอง ไม่เอาเรื่องพี่ และไม่แจ้งความตำรวจด้วย”

คุณแม่นายหนึ่งนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ใหญ่ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆว่า

“พี่ หนูไม่ค่อยมีเงินสักเท่าไรหรอก หาเงินอยู่คนเดียว คุณพ่อหนึ่งเขาก็รายได้ไม่แน่นอน ลำพังตัวเขาเองก็แทบไม่พอใช้ หนูคงจ่ายค่าแว่นตาไม่ไหว ตั้งหกพันห้าร้อยบาท พี่จะให้หนูทำยังไงดี”

ดิฉันนิ่งคิดสักครู่ก็บอกเธอว่า

“พี่ก็เห็นใจคุณนะ แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกันคุณจ่ายแค่สองพันบาท ที่เหลือพี่จะจ่ายเอง คุณฝากลูกชายคุณมาให้กับลูกชายพี่ก็ได้”

“หนูคงให้พี่ทีเดียวสองพันไม่ได้ หนูจะทยอยจ่ายจนครบได้มั้ยค่ะ”

“ก็ได้ แต่มีเวลาเรียนของลูกอีกแค่สามอาทิตย์เท่านั้นนะ คุณไปคิดดูก็แล้วกันว่าจะจ่ายพี่ให้หมดได้ในวันไหน”

คุณแม่นายหนึ่งรับปากว่าจะพยายามให้เร็วที่สุด แต่ไม่กำหนดวันที่แน่นอน ดิฉันไม่ได้คาดคั้นเธอ สุดท้ายจนลูกสอบเสร็จและปิดเทอมแล้ว ดิฉันยังไม่ได้รับเงิน เมื่อถามลูกโจ๊ก ลูกบอกว่านายหนึ่งไม่ได้เอาเงินมาให้ ดิฉันก็นิ่งไปไม่กล่าวว่ากระไร ลูกบอกให้ดิฉันโทรฯไปทวงถาม หรือให้บอกกับคุณครูที่โรงเรียนก็ได้ ดิฉันบอกลูกไปว่าเขาคงไม่มีจริงๆ ถ้าเขามีเขาคงเอาเงินมาให้แล้ว อย่าต่อเรื่องอีกเลย ไม่ให้ก็ช่างเขา ให้มันจบๆกันไป ลูกก็ควรตั้งใจเรียน และระวังคำพูดอย่าไปมีเรื่องกับใครอีกก็แล้วกัน

พอครบหนึ่งสัปดาห์ ตามที่นัดร้านแว่นตาไว้ ลูกโจ๊กรีบไปทวงถามแว่นตาโดยไม่รอดิฉัน เพราะเป็นร้านที่อยู่ใกล้บ้าน และลูกเองก็ร้อนใจมาก อยากได้แว่นตาเร็วๆ เมื่อไม่มีแว่นตา ลูกทำอะไรตามปกติไม่ได้ เพราะมองเห็นได้ในระยะไม่เกินสองฟุต ดังนั้นเมื่อต้องนั่งๆนอนๆอยู่กับบ้าน ดูทีวีหรือดูหนังสือไม่ได้ จึงค่อนข้างหงุดหงิดมาก วันนั้นเมื่อดิฉันกลับจากออกกำลังกาย พอก้าวเท้าเข้าบ้านเท่านั้น ลูกโจ๊กก็พูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่โกรธจัด

“แม่! โทรฯไปด่าช่างที่ร้านทำแว่นมันเลย ดูซิ! วันนี้โจ๊กไปเอาแว่น มันบอกว่ามันเจียร์เลนส์แตก ต้องสั่งเลนส์ใหม่อีกหนึ่งอาทิตย์ถึงจะได้เลนส์ แล้วโจ๊กต้องสอบแล้วนะ ไม่มีแว่นโจ๊กจะสอบได้ยังไง”

“อ้าว! ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ”

“โจ๊กไม่รู้ แม่โทรฯไปด่ามันเลย ถือว่ามันไม่รับผิดชอบ มันต้องแกล้งโจ๊กแน่ๆ โจ๊กไปไหนไม่ได้มาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆแล้วนะ แว่นก็ไม่มี จะทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องนั่งกับนอนเท่านั้น”

“เขาจะแกล้งหนูทำไม หนูไปว่าอะไรเขารึ เขาถึงแกล้งลูก”

“มันคงเห็นโจ๊กเป็นเด็ก ไม่มีแม่ไปด้วย มันเลยแกล้งเจียร์เลนส์แตก”

“เหลวไหล! เขาจะแกล้งลูกทำไม เขาทำแว่นเสร็จเขาก็จะได้เงินนะ ถ้าเขาทำช้าเขาก็ได้เงินช้า เดี๋ยวแม่จะลองโทรถามดูก่อนว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”

เมื่อดิฉันโทรฯไปถาม ก็ได้ความว่าทางร้านได้เลนส์มาในวันที่ห้าหลังจากวันที่ลูกไปวัดสายตา ด้วยความเห็นใจว่าจะต้องรีบใช้ ช่างที่ร้านจึงรีบเจียร์เลนส์ให้ แต่เพราะเลนส์บางมาก และเครื่องมือที่ร้านไม่ดีพอ จึงทำให้เลนส์แตกหักกลาง ต้องสั่งเลนส์ให้ใหม่ ซึ่งก็ได้สั่งไปแล้ว และจะได้ภายในหนึ่งสัปดาห์แน่นอน คราวนี้จะไปเจียร์ให้ที่สาขาอื่นซึ่งมีเครื่องมือที่ดีและทันสมัยกว่า ทางร้านแนะนำให้ใช้คอนแทคเลนส์ไปก่อน ซึ่งขนาดของสายตาลูกก็หาไม่ได้ในทันทีที่ร้านเดิม ต้องไปหาจากร้านใกล้เคียง แต่ก็ได้แค่ขนาดใกล้เคียงกับสายตาลูกเท่านั้น ตกลงต้องเสียเงินเพิ่มอีกแปดร้อยห้าสิบบาท เพื่อให้ลูกได้มีสำรองใช้ไปสอบก่อนหนึ่งวัน แต่ก็เป็นการสอบ“Pre entrance”เท่านั้น เวลาจะสอบไล่จริงของชั้นมัธยมสาม คืออีกหนึ่งสัปดาห์ถัดไป ซึ่งลูกก็จะได้รับแว่นตาใหม่พอดี เมื่อจัดการเรื่องแว่นตาสำรองของลูกเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็พูดกับลูกว่า

“ความจริงพี่ที่ร้านเขาก็หวังดีกับหนูมากนะ อุตสาห์รีบเจียร์เลนส์ให้ก่อน แม่ว่าหนูไม่ควรไปโกรธพี่เขาเลย หนูลองคิดดูซิ ลูกโกรธเขาพูดไม่ดีกับเขาไว้ ถ้าพี่เขาโกรธตอบ และคราวนี้เมื่อได้เลนส์ใหม่มาเขาแกล้งเจียร์เลนส์ให้แตกอีกรอบ แล้วบอกลูกว่าเขาพลั้งมือไปอีก ลูกจะทำอะไรเขาได้ หนูจะไม่มีแว่นใช้ไปอีกหนึ่งอาทิตย์ ไปสอบก็ไม่ได้ หนูเองนั่นแหละที่ต้องลำบาก คำพูดสำคัญนะลูก พูดให้คนรักก็ได้ พูดให้คนเกลียดก็ได้”

“แล้วแม่จะให้โจ๊กทำยังไง” ลูกชักเสียงอ่อนลง

“หนูลองคิดดูซิว่า หนูควรทำยังไงดี ไหนๆเหตุการณ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้แล้ว จะให้เลนส์ที่แตกกลับคืนมาดีเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราจะป้องกันให้เลนส์อันใหม่ไม่แตกได้ด้วยวิธีไหน”

“แม่จะให้โจ๊กโทรฯไปขอโทษพี่เขาเหรอ”

“หนูคิดว่าจะทำได้หรือเปล่าล่ะ”

ลูกโจ๊กนิ่งไปไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันก็ไม่เซ้าซี้อีก คงปล่อยให้ลูกคิดเอง เย็นวันรุ่งขึ้น ลูกมารายงานด้วยสีหน้าท่าทางที่สดใสขึ้นมากว่า

“แม่ โจ๊กโทรฯไปขอโทษพี่เขาแล้ว พี่เขาพูดดีมากเลย เขาบอกว่าเขาจะระวังให้มากที่สุดสำหรับเลนส์อันใหม่ ความจริงเลนส์อันแรกเขาก็ตั้งใจทำมาก แต่เพราะเครื่องมือมันไม่ดีพอ และเลนส์ของโจ๊กก็เป็นเลนส์พิเศษที่บางมาก เลนส์เลยแตก ตอนที่เลนส์แตกเขาก็เสียใจมาก เพราะรู้ว่าโจ๊กจะไม่มีแว่นใช้ แต่เขาก็รีบสั่งให้ทันที แล้วเขายังเตือนโจ๊กว่า ต่อไปนี้ต้องหัดเป็นคนใจเย็นๆ อย่าไปมีเรื่องกับเพื่อนอีก โจ๊กก็ขอบคุณเขาที่ช่วยเตือน”

“ดีลูก หนูทำแบบนี้ พี่เขาจะต้องระมัดระวังในการเจียร์เลนส์ใหม่ให้หนูอย่างดีแน่นอน”

สี่วันต่อมา ทางร้านโทรฯให้ไปรับแว่นได้ ลูกโจ๊กดีใจมากที่ได้รับแว่นตาก่อนกำหนดถึงสามวัน ดิฉันเห็นได้ทีจึงบอกกับลูกไปว่า คงเป็นเพราะลูกโทรฯไปขอโทษพี่เขา พี่เขาคงรู้สึกเห็นใจลูก เขาเลยไปเร่งที่บริษัทฯผลิตเลนส์เพื่อให้ได้ของเร็วขึ้น นี่ไงล่ะ ผลดีจากการพูดดีและยอมรับผิด ใครๆก็อยากช่วยเหลือ ลูกพยักหน้ารับว่าเห็นด้วย เมื่อได้แว่นตาอันใหม่ ลูกมีความสุขมากขึ้น เพราะสามารถไปโรงเรียนและทำทุกอย่างตามปกติได้

เย็นวันที่สองหลังจากที่ลูกโจ๊กกลับจากโรงเรียน เมื่อก้าวเข้าบ้าน ลูกต่อว่าดิฉันทันทีว่า

“แม่ไม่น่าแนะนำตัวเองและบอกว่าแม่ชื่ออะไรในวันที่เกิดเรื่องเลย เพื่อนๆรู้ชื่อแม่กันหมดแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้อชื่อแม่กันใหญ่ เดินไปทางไหนมีแต่คนเรียกโจ๊กเป็นชื่อแม่”

พอจบคำพูดลูก ดิฉันเลยเข้าใจได้ว่า ทำไมวันนั้นที่แนะนำชื่อตัวเองแล้ว เด็กนักเรียนทั้งห้องเฮกันสนั่น แถมหัวเราะกันคิกคัก ดิฉันเลยพูดกับลูกว่า

“แล้วชื่อแม่มันไม่ดีตรงไหน มันไม่เพราะหรือมันน่าเกลียดหรืออย่างไร หนูถึงไม่พอใจที่เขามาเรียกชื่อแม่”

“ก็โจ๊กอุตส่าห์ปิดพวกเพื่อนไม่ให้ใครรู้จักชื่อแม่กับป๊า ไม่อยากให้มันเอามาล้อ แม่ก็มาเปิดเผยซะนี่ คราวนี้มันล้อกันไม่เลิกแน่”

“ก็แล้วเขาล้อกันแบบไหนล่ะ หนูถึงไม่พอใจ”

“ก็ทุกครั้งที่เพื่อนเห็นโจ๊ก ก็จะเรียกโจ๊กเป็นชื่อแม่นะแหละ”

“แค่นี้เองนะเรอะ! โจ๊ก โจ๊ก แม่จะบอกให้นะ เรื่องล้อชื่อพ่อแม่ มันมีมาทุกยุคทุกสมัยแหละลูก สมัยแม่เป็นนักเรียน ไม่แค่เรียกชื่อพ่อแม่เท่านั้นนะ ล้อกันหนักกว่านี้อีก บางทีเอาชื่อพ่อแม่มาแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราว บางทีก็เอาชื่อพ่อแม่ของเพื่อนหลายๆคน มาแต่งเป็นคำกลอนให้คล้องจองกันด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แค่เรียกเฉยๆแบบเดี๋ยวนี้ หนูรู้มั้ย แม่มีวิธีให้เขาเลิกล้อชื่อพ่อแม่”

“ทำยังไงแม่” ลูกชักสนใจ

“สมัยที่แม่เป็นเด็ก เพื่อนๆก็ล้อชื่อพ่อแม่กันเกือบทุกคนนะแหละ บางทีก็ถึงกับโกรธกัน ทะเลาะกัน แล้วถ้าใครแสดงความโกรธ เพื่อนๆจะยิ่งชอบใจ รุมกันล้อให้โกรธมากขึ้น แล้วได้เฮกันสนุก แต่มีเพื่อนคนหนึ่ง พอใครอ้าปากจะล้อชื่อพ่อแม่เขา เขารีบบอกทันทีว่าพ่อเขาชื่ออะไร แม่เขาชื่ออะไร เพื่อนๆเลยอ้าปากค้าง ขี้เกียจล้อมันไปเลย เพราะล้อเท่าไรเขาก็ไม่โกรธ หนูลองใช้วิธีนี้ดูซิ เวลาใครล้อชื่อแม่ หนูต้องทำยิ้มๆ อย่าแสดงความโกรธให้เขาเห็น และถามเขาว่าอยากรู้ชื่อพ่อมั้ยจะบอกให้ หรือจะเอาชื่อปู่ย่าตายายด้วยก็ได้ จะบอกให้หมดเลย”

เสียงลูกขัดขึ้นว่า

“เดี๋ยวพวกเพื่อนก็ยิ่งล้อกันสนุกใหญ่ทั้งตระกูลเลย”

“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกลูก ลองดูซิ แต่หนูต้องอย่าโกรธเด็ดขาดนะ หนูลองคิดดูซิ ครอบครัวเราไม่เคยมีใครเป็นคนไม่ดีซักหน่อย ไม่เห็นจะต้องไปอายเลยที่เพื่อนๆเขาจะมารู้จักชื่อคนในครอบครัวเราทุกคน ดีซะอีกถือว่าเรามีชื่อเสียงโด่งดังในทางดี ใครๆก็อยากรู้จัก หนูว่าชื่อเสียงดีๆดังๆมันทำกันง่ายๆนักเหรอ ลองดูเถิดลูก ไม่ว่าหนูจะทำหรือไม่ทำอย่างที่แม่แนะนำ เขาก็ต้องล้อชื่อแม่อยู่แล้ว ก็แค่ลองทำดูมันจะไปเสียหายเพิ่มขึ้นที่ไหน แต่ในทางกลับกัน อาจจะทำให้เพื่อนๆหนูเลิกล้อไปเลยก็ได้”

ลูกโจ๊กนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้ารับเห็นด้วย สองสามวันต่อมา ลูกมารายงานว่าได้ผลดีมาก แรกๆเพื่อนก็งงที่พอล้อชื่อแม่แล้ว ลูกโจ๊กไม่โกรธเหมือนแต่ก่อน แถมยังจะบอกชื่อพ่อและคนอื่นๆในตระกูลให้ฟังอีกด้วย เพื่อนๆเลยเลิกล้อชื่อพ่อแม่ไปเลย เพราะไม่สนุกซะแล้ว ที่ล้อแล้วลูกไม่โกรธ

เมื่อลูกสอบเสร็จ ก็เป็นเวลาของการเตรียมตัวบวชเณรตามที่ลูกเคยบอกไว้ ดิฉันไปสอบถามวัดใกล้บ้านถึงรายละเอียดของการรับสมัครบวชเณรภาคฤดูร้อนประจำปี เมื่อทราบเรื่องแล้ว ก็พาลูกไปสมัครตามวันเวลาที่กำหนด ลูกต้องไปนุ่งชุดขาว ไปอยู่กินนอนและฝึกสวดมนต์ที่วัดก่อนสามวัน ถึงวันที่บวชจริง ปรากฏว่าทั้งคุณย่าคุณยาย ลุงป้าน้าอา ยกขบวนกันมาเกือบหมด รวมทั้งเพื่อนๆของแม่ด้วยอีกเกือบสามสิบคน แถมด้วยญาติๆของเณรอื่นๆที่บวชพร้อมกันในคราวนี้อีกยี่สิบกว่ารูป ดังนั้นทั้งวัดจึงแน่นขนัดไปด้วยญาติโยมผู้มาอนุโมทนาบุญกับบรรดาลูกเณรทั้งหลาย

ที่วัดที่ลูกบวชเณรนั้น มีพี่เณรท่านหนึ่ง อายุประมาณสิบเก้าปี ท่านบวชมาตั้งแต่เด็ก ท่าทางเคร่งครัดน่าเลื่อมใส เป็นครูสอนพระธรรม รวมทั้งการทำสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานให้กับบรรดาลูกเณรที่บวชใหม่ เพียงสองสัปดาห์ ก็มีลูกเณรหลายรูปได้เห็นนรกสวรรค์ รวมทั้งลูกเณรโจ๊กด้วย เมื่อแม่และญาติๆไปเยี่ยมเยียน ลูกเณรจะพูดให้ฟังถึงความน่ากลัวของนรกและความวิจิตรงดงามของสวรรค์ ลูกบอกได้ว่าถ้าใครทำผิดศีลข้อใด จะได้รับโทษอย่างไรบ้าง อย่างเช่นน้าชายคนหนึ่งของลูกที่ชอบดื่มสุรา ลูกเณรก็จะบอกถึงโทษที่จะได้รับเมื่อตายไปแล้วตกนรก นายนิรยบาลก็จะจับตัวให้นั่งคุกเข่า จับให้แหงนคอขึ้น แล้วเอาน้ำทองแดงร้อนๆจากกระทะทองแดงกรอกปาก ผู้นั้นก็จะปากคอพองแตก ร้องเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด เมื่อทนไม่ได้ตายไปก็จะเกิดใหม่มานั่งคุกเข่า ถูกกระทำซ้ำๆอย่างไม่รู้จบสิ้น ทำเอาน้าชายเลิกดื่มสุราไปนาน

เมื่อมีใครถามเรื่องผิดศีลข้ออื่นๆในศีลห้าข้อ ลูกเณรก็สามารถบอกถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับเมื่อตายไปตกนรกได้ทุกข้อ เช่นเรื่องการพูดจาโกหก หรือพูดจาหยาบคาย หรือการลักขโมย หยิบฉวยสิ่งของๆผู้อื่น โดยที่เจ้าของไม่อนุญาต ลูกเณรก็จะกำชับน้องจ๊อบว่า อย่าได้กระทำโดยเด็ดขาด เพราะโทษของการพูดจาโกหกคือ การถูกนายนิรยบาล เอาคีมร้อนๆคีบลิ้น ดึงออกมายาวๆแล้วตัดหรือเฉือนลิ้น เลือดไหลนอง น่าสยดสยองมาก ส่วนคนที่ลักขโมยก็จะถูกตัดมือ ตัดแขนเป็นท่อนๆ จะร้องโหยหวนขอความกรุณาอย่างไร ก็ไม่อาจพ้นโทษไปได้ ต้องถูกกระทำซ้ำอยู่เช่นนั้นเป็นเวลายาวนานมาก ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร

นอกจากนี้ลูกเณรยังเล่าให้ฟังอีกว่า บนสวรรค์ที่ได้ไปเที่ยวมานั้นสวยงามมาก มีปราสาทราชวังที่เป็นแก้วใส หรือบางแห่งก็เป็นสีทองอร่ามสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างงดงามน่าดู น่าอยู่ ผู้คนที่ได้พบเห็นทั้งหญิงและชายก็ล้วนสวยงามผ่องใส ได้ไปเที่ยวแล้วแทบไม่อยากกลับมาอยู่บนโลกมนุษย์อีกเลย แต่ต้องคนที่ทำความดีมากๆเท่านั้น เมื่อตายไปจึงจะได้อยู่บนสวรรค์

ในช่วงเวลานั้น ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่า สิ่งที่ลูกพูดนั้น จริงหรือเท็จและไม่คัดค้านในสิ่งที่ลูกเณรพูดเกี่ยวกับนรกสวรรค์เลยแม้แต่น้อย และไม่คิดด้วยว่าลูกจะเพี้ยนหรือเพ้อเจ้อไร้สาระ ดิฉันคิดแต่ว่า เป็นการดีเสียอีกที่ลูกได้รู้ว่า เมื่อเขาทำชั่วแล้วผลที่ได้รับนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ถ้าทำดีผลที่ได้รับก็จะงดงามและเป็นสุขอย่างยิ่งเช่นกัน เขาจะได้เกลียดกลัวความชั่ว และไม่คิดแม้จะเฉียดกรายเข้าใกล้ เพราะได้เคยเห็นผู้ที่ทำความชั่ว ต้องรับผลจากการกระทำของตนอย่างใกล้ชิดมาแล้ว ลูกจะได้คิดทำแต่ความดี และเมื่อลูกสามารถแยกแยะดีชั่วได้เองนั้น ย่อมเป็นสิ่งดีที่สุดแล้ว

กำหนดการบวชเณรภาคฤดูร้อนในครั้งนี้คือยี่สิบห้าวัน ก่อนวันสึกหนึ่งสัปดาห์ดิฉันไปเยี่ยมลูกเณรที่วัด ลูกเณรบอกว่า อยากบวชตลอดชีวิต เพราะรู้สึกมีความสุขสงบดีมาก ไม่อยากสึกออกไปเจอสภาพวุ่นวายภายนอกอีก ดิฉันก็อึ้งไปคิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ ถามลูกเณรว่าแล้วเรื่องเรียนที่โรงเรียนจะทำอย่างไร ลูกบอกว่าเมื่อคิดบวชไม่สึก ก็ไม่สนใจเรียนวิชาการทางโลกแล้ว จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนพระพุทธศาสนาและฝึกวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ดิฉันจึงบอกกับลูกว่าขอคิดดูก่อน พรุ่งนี้จะมาให้คำตอบ เย็นวันรุ่งขึ้น ดิฉันมาพบลูกเณรตามนัด และบอกกับลูกว่า

“แม่มาคิดดูแล้ว ลูกเณรเพิ่งอายุสิบห้าปี ยังมีเวลาอีกมากกว่าจะโตขึ้น ถ้าวันใดวันหนึ่งลูกเกิดเบื่อผ้าเหลืองขึ้นมา คิดอยากจะสึก และตอนนั้นลูกมีอายุได้สามสิบหรือสี่สิบปี และพ่อแม่ก็ตายไปหมดแล้ว ลูกจะออกไปทำมาหากินทางโลกอย่างไร ในเมื่อวิชาทางโลกก็ไม่มีติดตัวเลยแม้แต่น้อย ลูกจะทนได้มั้ยที่จะไปทำงานรับใช้คนอื่น แล้วได้เงินประทังชีพเพียงเล็กๆน้อยๆ”

ลูกเณรนิ่งอึ้งไป บอกว่าถ้าคิดบวชตลอดชีวิต ก็คงจะไม่สึกอีกแล้ว ดิฉันจึงพูดกับลูกว่า

“ลูกเณรศึกษาพระธรรมคำสอนมาก็มาก คงรู้ว่าทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ยิ่งความคิดยิ่งเปลี่ยนแปลงง่าย ถึงวันนี้ลูกจะมีความคิดมั่นคงว่าไม่สึก แต่อีกหลายๆปีข้างหน้า จะมีอะไรมาเป็นหลักประกันได้ว่าลูกจะไม่ลาสิกขา ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆลูกจะทำอะไรไม่ถูก จะเรียนหนังสือก็ไม่ทันเพื่อน จะทำงานก็ไม่มีความรู้วิชามากพอที่จะเลือกงานดีๆได้ ลูกนั่นแหละจะทุกข์มาก เพราะโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนัก เอาอย่างนี้ดีมั้ย ลูกเณรสึกออกมาเรียนหนังสือก่อน เอาแค่จบปริญญาตรีก็ได้ พอมีวิชาติดตัว แล้วตอนนั้นถ้าลูกยังคิดที่จะบวชอีก นอกจากแม่จะไม่ห้ามแล้วยังอนุโมทนากับลูกอีกด้วย เพราะลูกมีวิชา มีความคิดและเป็นผู้ใหญ่เพียงพอแล้ว ในตอนนั้นแม้จะศึกษาพระธรรมคำสอนใดๆ ก็จะสามารถเข้าใจได้แจ่มแจ้งกว่าตอนนี้มาก”

ลูกเณรนิ่งคิดอยู่นานพอสมควรก็พยักหน้ารับ แต่ขออนุญาตไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานีกับพี่เณรที่เป็นพระพี่เลี้ยงเป็นเวลาเจ็ดวัน ดิฉันอนุญาต แต่ลูกต้องรับปากว่ากลับมาแล้วจะสึก เพราะต้องไปเลือกลงวิชาเรียนชั้นมัธยมสี่ที่โรงเรียน ลูกเณรรับคำไม่กล่าวว่ากระไรอีก ดิฉันจึงขอพบพี่เณรพี่เลี้ยง เพื่อฝากลูกเณรกับท่านให้ช่วยดูแลสั่งสอน รวมทั้งถวายปัจจัยที่ใช้ในการเดินทางด้วย

เมื่อครบเจ็ดวัน ลูกเณรกลับมาถึงวัดตามที่ตกลงกันไว้ พิธีการสึกก็ง่ายๆไม่มีอะไรมาก ประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างก็เรียบร้อย หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกค่ำหลังจากกินข้าวตอนเย็นแล้ว เราแม่ลูกก็มักจะคุยกันเรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องพระธรรมคำสอน เรื่องกรรมและผลของกรรม ส่วนใหญ่ดิฉันจะยกตัวอย่างในพระสูตรมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ หรือบางเรื่องไปพ้องกับเรื่องที่ลูกโจ๊กเคยศึกษามา ลูกก็จะเป็นฝ่ายเล่าให้ฟัง ดิฉันมักจะซักถามลูกโจ๊กในเรื่องราวที่ลูกไปบวชอยู่ที่วัดว่า ได้ทำหรือศึกษาอะไรมาบ้าง โดยมีน้องเล็กคือนายจ๊อบร่วมฟังด้วยทุกครั้งอย่างสนอกสนใจอย่างยิ่ง บางครั้งที่ลูกจ๊อบไม่เข้าใจคำบาลีบางคำที่แม่กับพี่คุยกัน ก็จะซักถามทันที ดิฉันหรือพี่โจ๊กต้องใช้ภาษาง่ายๆอธิบายให้ฟัง ซึ่งเมื่อลูกรับว่าเข้าใจแล้ว ลองถามกลับดู ปรากฏว่าลูกสามารถใช้ภาษาของตนเองอธิบายได้ ทั้งๆที่ลูกจ๊อบเพิ่งมีอายุได้หกขวบ

หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไมลูกจ๊อบอายุแค่หกขวบ จึงสนใจพระธรรมคำสอนทางศาสนามากมาย ดิฉันคิดว่าการฟังธรรมะของแม่บ่อยๆทั้งที่บ้านและในรถ น่าจะเป็นผลให้ลูกไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ และเคยชินกับการฟังธรรมะจนเป็นเรื่องธรรมดาไป อีกอย่างคือลูกอายุยังน้อย ต้องอยู่ใกล้ชิดแม่มากกว่าพวกพี่ๆ จึงได้รับไปโดยปริยาย ที่ๆเราแม่ลูกคุยกันคือในห้องนอนของแม่ ในเวลาหัวค่ำหลังอาหารเย็น เมื่อดูทีวีสักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ดิฉันก็จะปิดทีวี เข้าห้องนอน อ่านหนังสือธรรมะต่างๆจนเป็นกิจวัตร ลูกๆจะเตรียมตัวอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ช่วงเวลานี้ลูกจะเข้ามาในห้องนอนของแม่ เพื่อคุยเรื่องต่างๆที่ตนเองอยากเล่าให้แม่ฟัง

สำหรับพี่แจ๊ค หลายคนคงสงสัยว่า ไม่มาร่วมคุยด้วยหรือในเวลาหัวค่ำ ก็มีหลายครั้งที่ลูกแจ๊ครู้ว่าแม่กับน้องๆคุยกันอยู่ในห้องนอนของแม่ เมื่อเธอเปิดประตูห้องยื่นหน้าเข้ามาถามว่า

“คุยอะไรกัน”

“คุยเรื่องธรรมะ” น้องจ๊อบตอบเสียงแจ๋ว

“เหรอ” สิ้นเสียงอุทานรับรู้ของพี่แจ๊ค เธอก็หันกลับปิดประตูห้องดังปัง กระโจนแผล็วหายตัวไปแบบที่แม่อ้าปากเรียกไม่ทัน

เฮ้อ! เรื่องอย่างนี้ต้องแล้วแต่จริตของแต่ละคน บังคับกันไม่ได้