เกริ่นกันก่อน
หลังจาก“แม่ช่างคุย” เล่มหนึ่งซึ่งเป็นตอนที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กอยู่ออกแจกจ่ายไปแล้ว ปรากฏว่ามีเสียงเรียกร้องให้แม่แจ๋วเอาเรื่องลูกสมัยเป็นวัยรุ่นออกมาเขียนบ้าง หลายเสียงบอกว่า ตอนลูกยังเล็กอยู่ปัญหาไม่ค่อยมีมาก แต่พอเป็นวัยรุ่น สาระพันปัญหาประเดประดังเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด แม่แจ๋วไม่มีปัญหาลูกตอนเป็นวัยรุ่นบ้างหรือ คำตอบคือ “มีเจ้าค่ะ เยอะด้วย!” ถ้างั้นก็เล่าสู่กันฟังบ้างได้มั้ย
แม่แจ๋วคิดอยู่นานก่อนลงมือเขียน มีหลายเรื่องที่อาจกระทบกระเทือนกับจิตใจของลูก เพราะแม่ต้องเล่าเรื่องจริงทุกเรื่อง ทั้งเรื่องดีและไม่ค่อยจะดี ได้คุยปรึกษากับลูกๆดู ทุกคนบอกว่าตอนนี้ลูกโตๆกันแล้ว เรื่องราวทั้งหลายก็ผ่านไปนานแล้ว ถ้าเรื่องนั้นพอจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง แม่ก็เขียนไปเถอะ ขอบคุณครับลูก ถ้างั้นแม่ก็จะได้ “แฉ” เรื่องของลูกๆได้อย่างสบายใจขึ้น
ขอทำความเข้าใจหน่อย จากหนังสือเล่มแรก หลายคนบอกกับแม่แจ๋วว่า ไม่เห็นเขียนบอกเลยว่า ทำยังไงเด็กๆจึงจะรักการอ่านหนังสือ ที่แม่แจ๋วเขียนเห็นมีแค่ไม่กี่บรรทัด ลูกๆก็รักการอ่านหนังสือแล้วหรือ แม่แจ๋วเลยต้องบอกไว้ในที่นี้ว่าความจริงที่เขียนบอกไปนั้นเป็นแค่วิธีการ แต่การปฏิบัตินั้นคุณๆต้องไปกระทำกันเอง อย่างที่แม่แจ๋วเล่าให้ฟังว่า พาลูกไปกินโจ๊กแล้วซื้อหนังสือการ์ตูนอ่านทุกวันสุดสัปดาห์ หรือทุกครั้งที่ปิดเทอมก็จะพาเข้าร้านหนังสือนั้น แม่แจ๋วก็พากเพียรอยู่ทุกสัปดาห์ และทุกปิดเทอมอยู่เป็นเวลาหลายๆปี จนวันหนึ่งเมื่อลูกมาบอกว่า “แม่! ปิดเทอมแล้วไปซื้อหนังสือมาอ่านกัน” พอได้ยินคำนี้แม่แจ๋วก็รู้ว่า ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญลูกเรื่องการอ่านหนังสืออีกแล้ว
หรือเรื่องให้ลูกช่วยทำงานบ้าน คุณพ่อคุณแม่บางท่านมาเริ่มตอนลูกเป็นวัยรุ่นแล้วและลูกไม่ยอมร่วมมือด้วย เพียงครั้งสองครั้งก็ท้อใจ มาบอกว่าลูกโตแล้วและดื้อมาก เรื่องแบบนี้ต้องเริ่มตอนลูกยังเล็กอยู่ ถ้ายังงั้นต้องกลับไปอ่านเรื่อง “แม่ทำไมไม่หางานทำบ้าง” ใหม่อีกทีสองที ที่ดิฉันสอนให้ลูกหัดรีดเสื้อผ้าของตัวเอง ลูกๆก็อายุ 13-14 ปี เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน แต่เป็นเพราะดิฉัน “เอาจริง” คือไม่ใจอ่อน คำแนะนำอีกอย่างคือ คุณต้องใช้ค่าขนมของลูกให้เป็นประโยชน์ในการสอนพวกเขา ตราบใดที่ลูกยังแบมือขอเงินคุณอยู่ คุณต้องรู้ว่าเวลาใดควรให้เพิ่ม และเวลาใดควรหักค่าขนมของเขา
เพราะฉะนั้นเรื่องที่แม่แจ๋วอยากเน้นให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายได้รู้คือ “คุณต้องเอาจริงและพากเพียร” อย่าใช้คำว่าไม่มีเวลาเลย เพราะถ้าคุณพูดอย่างนี้ คุณก็ไม่ควรมีเวลาที่จะ“มีลูก” เมื่อมีพวกเขาแล้ว คุณต้องมีเวลาให้เขามากกว่าเวลา“หาเงิน” หรือ “หาความสุขส่วนตัว” อย่างที่ดิฉันบอกกับตัวเองและสามีบ่อยๆว่า“การมีเงินมากๆไม่ใช่คำตอบของชีวิต” เพราะถ้ามีเงินมาก เราจะใช้ “เงิน” เป็นตัวแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง แต่ถ้าไม่มีเงินมาก เราจะใช้ “ปัญญา” ในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
ทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน แบ่งเวลาให้ลูกวันละหนึ่งหรือสองชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน (ต้องไม่ใช่เวลาที่อยู่หน้าจอทีวี) ไม่ว่าลูกคุณจะเป็นเด็กเล็กหรือเป็นวัยรุ่น ใช้ความรัก ความเมตตาและความอ่อนโยนพูดจากับลูก ฟังทุกเรื่องที่ลูกอยากพูด เพียงเวลาไม่นานวัน คุณจะได้รับความชื่นใจและความสุขอย่างยิ่ง จากเวลาเพียงน้อยนิดนั้นที่คุณสละให้ลูก อย่ารอช้า! เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ
Leave a Reply