7. “กินข้าวไม่ต้องจับเวลา”
ใครมีลูกเล็กๆที่ “กินข้าวยาก” จะรู้ดีว่าเวลาป้อนข้าวให้ลูกนั้น เป็นเวลาที่ต้องลุ้นกันสุดฤทธิ์ หาวิธีสารพัดที่จะต้องป้อนข้าวลูกให้หมดชามให้ได้ วันไหนที่ลูกกินข้าวหมดชาม เหมือนยกภูเขาออกจากอก สบายอกสบายใจ แต่วันไหนที่ลูกไม่ยอมกินข้าว แม่จะกังวลไปทั้งวัน
เมื่อดิฉันมีลูกคนแรกนั้น โชคดีที่ลูกแจ๊คเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่แรกคลอด กินง่ายหลับง่าย ไม่เคยร้องกวนโยเย ไม่ว่าเวลาไหน กลางคืนก็ไม่ร้องกวน แม้จะไปในที่แปลกถิ่น ดังนั้นเวลาที่ใครๆพูดว่า “ลูกเลี้ยงยาก” และเล่าให้ฟังว่า ลูกของตนออกฤทธิ์ให้คุณแม่ต้องกลุ้มใจอย่างไรบ้าง ดิฉันจึงนึกภาพไม่ออก แถมยังนึกค่อนขอดผู้พูดอยู่ในใจว่าคงจะเลี้ยงลูกไม่เป็นละซิ และลูกแจ๊คเองก็เป็นเด็กเลี้ยงง่ายกินง่ายมาจนโต อายุขวบกว่าก็ใช้ช้อนตักข้าวป้อนตัวเองได้ แถมกินได้มาก รูปร่างอ้วนท้วนแข็งแรงสมบูรณ์ ในตอนนั้นดิฉันยังคิดอยู่ว่า เรื่องเลี้ยงลูกเป็นเรื่องง่ายๆ ถึงจะมีลูกอีกหลายคนก็ไม่เป็นปัญหา เลี้ยงได้สบายมาก
สองปีต่อมา ดิฉันมีลูกโจ๊ก คราวนี้ตรงกันข้าม ลูกโจ๊กกวนมากตั้งแต่แรกคลอด ออกฤทธิ์ทุกอย่างเหมือนที่ดิฉันเคยได้ยินได้ฟังมาจากคุณแม่ท่านอื่น แถมยังน่าจะเดือดร้อนมากกว่าคือลูกเริ่มเป็นโรคหืดตั้งแต่อายุได้เจ็ดเดือน แทบทุกเดือนต้องพาลูกเข้าโรงพยาบาลกลางดึกเพราะลูกจับหืดเสียงดังฮืดๆ ทั้งน่ากลัวและน่าตกใจมาก หมอจะให้ลูกสูดออกซิเจนเพื่อไปละลายเสมหะในปอด และช่วยให้หายใจได้สะดวก ภายหลังหมอบอกว่า ให้สังเกตดูอาการของลูก ถ้าไม่เป็นมากมายอะไร ก็เคาะปอดให้ลูกเองได้ การเคาะปอดจะช่วยบรรเทาอาการได้ระดับหนึ่ง และคุณหมอก็สอนให้หัดเคาะปอด ดิฉันลองเอาวิธีเคาะปอดมาใช้กับลูกๆทุกคน เมื่อเขาเป็นหวัดคัดจมูก ลูกๆจะชอบกันมาก บอกว่าพอแม่เคาะปอดให้แล้วรู้สึกหายใจได้คล่องขึ้นมาก และอาการคัดจมูกก็ลดน้อยลง แม้ลูกจะโตเป็นหนุ่มเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว บางครั้งที่ลูกเป็นหวัดก็ยังมานอนคว่ำให้แม่เคาะปอดให้ ลูกๆว่าสบายดีเพราะแม่แถมนวดตัวให้อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ท่านใดต้องการรู้จักวิธีเคาะปอด กรุณาไปถามคุณหมอประจำตัวลูกท่านนะคะ อย่าได้ริอ่านทำเองโดยหมอไม่ได้แนะนำอย่างเด็ดขาด
ลูกโจ๊กเป็นเด็กกินข้าวยากมาตั้งแต่เล็กๆ ปกติลูกๆจะได้รับการป้อนอาหารอื่นเพิ่ม ตั้งแต่อายุได้สามเดือนขึ้นไป แต่ปรากฏว่าลูกไม่ยอมรับประทานอาหารอื่นที่ป้อนให้ นอกจากนม ดิฉันก็พยายามสรรทำสารพัดอาหาร ลูกจะกินได้น้อยมาก จนลูกอายุได้หกเดือน ทุกครั้งที่ป้อนอาหารเหลว ลูกจะแหวะออกหรือคายโดยใช้ลิ้นดุนอาหารออกมาไม่ยอมกลืน หมดปัญญาแล้ว มานึกได้ว่าคุณย่าของลูกน่าจะมีวิธีดีๆที่จะแนะนำได้ จึงโทรศัพท์ไปถามคุณย่า คุณย่าถามว่าแล้วลูกยอมกินนมมั้ย ตอนนั้นลูกดูดนมขวดแล้ว ดิฉันตอบไปว่าถ้าเป็นนมละก็ยอม คุณย่าแนะนำว่า ให้ยีหรือบดอาหารให้เหลวมากๆ แล้วเอาอาหารนั้นใส่ขวด ตัดรูจุกนมให้ใหญ่ขึ้น ให้ลองดูดเหมือนนม ดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ดิฉันก็ลองทำตามคำแนะนำ ปรากฏว่าครั้งแรกลูกดูดเต็มที่ คงคิดว่าเป็นนม พออาหารสัมผัสลิ้นเท่านั้น ลูกทำหน้าชอบกล น่าขำมาก จะคายก็ไม่ได้เพราะดูดเข้าไปเต็มที่แล้วจำเป็นต้องกลืน ลูกลองดูดอีกสองสามอึก รสชาติเหมือนเดิมก็เริ่มดุนออกจากปาก ไม่ยอมดูดอีก ดิฉันเลยต้องเปลี่ยนเป็นนมให้ เพราะกลัวลูกกินไม่อิ่ม คราวนี้พอส่งขวดนมเข้าปาก ลูกจะไม่รีบดูดทันทีเหมือนทุกครั้ง จะรอให้นมไหลเข้าปากก่อน สักครู่เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ดูดเข้าไปนั้นเป็นนมแท้ๆ ก็ยอมดูดจนหมดขวด
ชักยุ่งละซิ ลูกไม่ยอมกินอาหารอื่นนอกจากนมอีกแล้ว แต่ดิฉันไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนใหม่โดยเอานมผสมกับอาหารเหลว เริ่มแรกก็ในอัตราส่วนที่นมมากกว่าอาหารสามส่วน ลูกทำท่าคายออกเหมือนเดิม แต่ดิฉันไม่เปลี่ยนเป็นนมให้ลูกอีกแล้ว เมื่อลูกคายออกก็ไม่ให้กิน พอลูกร้องหิว ดิฉันก็เอานมผสมอาหารเหลวให้ดูดทุกครั้ง เมื่อลูกทนหิวไม่ไหวก็ต้องดูดจนหมด ภายหลังดิฉันค่อยๆเปลี่ยนส่วนผสมให้อัตราส่วนของอาหารเหลวมากกว่านม จนกระทั่งเป็นอาหารล้วน
หลังจากนั้นลูกก็ดูดอาหารเหลวสลับกับนมเรื่อยมา แต่ก็ยังคงชอบนมมากกว่าอาหารอื่น เมื่อลูกโตพอที่จะป้อนอาหารเองได้แล้ว ก็ยังคงไม่ชอบกินข้าวเหมือนเดิม และกว่าจะกินได้หมดชามก็ใช้เวลานานเป็นชั่วโมง หรือบางครั้งถึงสองชั่วโมง เหน็ดเหนื่อยกันทั้งแม่ทั้งลูก จนเมื่อลูกอายุได้สามขวบกว่า รูปร่างผอมเก้งก้าง น้ำหนักเกินเกณฑ์เด็กปกติเพียงหนึ่งหรือสองกิโลกรัมเท่านั้น แถมมีโรคประจำตัวคือ“โรคหืด” ที่ต้องวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเกือบทุกเดือนอีกด้วย ดังนั้นการที่ลูกกินข้าวยาก แม่จึงเดือดร้อนมากกว่าปกติ เพราะกลัวลูกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงหาสารพัดวิธีที่จะให้ลูกกินข้าวได้มากและเร็วขึ้น จึงบางครั้งต้องป้อนให้ลูกเอง หรือเล่านิทานประกอบในขณะที่ลูกกินข้าว หรือต้องพาไปป้อนข้าวที่สวนใกล้บ้าน กว่าจะหมดชามก็เดินกันรอบสวนสองสามรอบ ลูกก็กินไปเล่นสนุกไป ความจริงก็คิดว่าเป็นวิธีที่ไม่น่าจะถูกต้องนัก แต่ก็จนปัญญาไม่รู้จะใช้วิธีใดให้ลูกกินข้าวได้มากและเร็วขึ้น
เมื่อลูกเริ่มเข้าโรงเรียน ต้องกินอาหารกลางวันเองที่โรงเรียน ความกังวลกลัวลูกจะกินข้าวยากและทำให้คุณครูเดือดร้อน จึงสอบถามคุณครูกลับได้ความว่า ลูกตักข้าวกินเองได้จนหมดชามทุกวัน กินไปคุยกับเพื่อนไปสนุกสนาน แต่พออยู่บ้านงอแงทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าว ไม่ว่าจะเป็นมื้อไหน ไม่เว้นมื้อวันเสาร์วันอาทิตย์ เอ! เจ้าลูกคนนี้แสนกลนัก ทีอยู่โรงเรียนกินได้ดี แต่พออยู่บ้านกลับกินยากเย็น ต้องหาวิธีปราบซะแล้ว
โดยปกติเมื่อลูกกินข้าว ดิฉันจะเปิดทีวีให้ลูกดูไปด้วย แม่ก็ดูไปด้วยเช่นกัน เพิ่งมาสังเกตเห็นว่า เป็นเรื่องผิดมาก เพราะลูกพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ทีวี ไม่ค่อยยอมกินข้าว จึงเปลี่ยนแผนใหม่ คือไม่เปิดทีวีในขณะที่ลูกกินข้าว บอกกับลูกว่า ลูกๆต้องกินข้าวหมดชามก่อน ทำการบ้านเสร็จแล้วจึงจะเปิดทีวีได้ ปรากฏว่าสำหรับลูกแจ๊คไม่มีปัญหา เพราะกินข้าวเก่งอยู่แล้ว ส่วนลูกโจ๊กเหมือนเดิมคือกินช้ามาก เมื่อลูกแจ๊คกินข้าวหมด หยิบการบ้านมาทำเสร็จเรียบร้อยก็ร้องขอดูทีวี เมื่อสัญญากันแล้วดิฉันก็ต้องยอมให้เปิดทีวี ลูกโจ๊กเลยถือโอกาสอมข้าวตุ่ยดูทีวีไปด้วย ชักไม่ได้การ ต้องเปลี่ยนแผนใหม่
วันรุ่งขึ้น เหมือนเดิมลูกแจ๊คกินข้าวอิ่มเรียบร้อยก่อน ร้องขอดูทีวี ดิฉันอนุญาตแต่ต้องไปเปิดทีวีในห้องนอน และปิดประตูห้องด้วย ส่วนนายโจ๊กนั่งอมข้าวต่อ ทำท่าจะลุกตามพี่แจ๊คไปดูทีวี ดิฉันขยับไม้เรียวบอกลูกว่า
“โจ๊ก โจ๊ก กินข้าวหมดชามก่อนถึงจะดูทีวีได้”
“แม่! กว่าข้าวจะหมดชาม โจ๊กก็อดดูทีวีพอดี” ลูกเริ่มงอแง
“ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่หมดชามก็อดดูทีวี วันนี้มีเรื่องสนุกด้วย”
“งั้นโจ๊กไม่กิน” ลูกออกฤทธิ์
“ไม่กินโดนตีแน่” แม่ขยับไม้เรียวควับๆ เผอิญเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนผนัง เข็มยาวชี้อยู่ที่เลขสอง เกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง จึงพูดกับลูกว่า
“โจ๊ก โจ๊ก หันไปมองนาฬิกาซิ เห็นเข็มยาวหรือเปล่าชี้อยู่ที่เลขสองนะ” ดิฉันเอาไม้เรียวชี้ไปที่เลขสองของนาฬิกา แล้วพูดต่อว่า
“แม่จะให้เวลาหนูกินข้าวจากเลขสอง สาม สี่ ห้าจนถึงเลขหกนะ เห็นมั้ย” ดิฉันเอาไม้ชี้ไปที่เลขบนหน้าปัดนาฬิกาทีละตัว แล้วพูดต่อไปว่า
“ถ้าเข็มยาวชี้เลขหก และหนูยังกินข้าวไม่หมด จะต้องถูกตีหกที” ดิฉันยกนิ้วมือขึ้นมาหกนิ้ว แล้วนับให้ลูกดูทีละนิ้ว บอกลูกว่าตีหกทีคือ ตีเท่ากับนิ้วที่นับได้หกนิ้ว ลูกมองหน้าแม่แบบแปลกๆ คงสงสัยว่าแม่มาไม้ไหน แต่ก็ไม่กล้าลุกไปดูทีวี เพราะแม่ขยับไม้เรียวอยู่เฟี้ยวๆ จึงแกล้งกินข้าวช้าๆต่อไป พอเข็มยาวขยับไปใกล้เลขห้า ดิฉันก็เอาไม้เรียวฟาดไปบนพื้นดังปั้บๆ ลูกสะดุ้ง ดิฉันพูดว่า
“ดูนาฬิกาซิ เห็นมั้ยโจ๊ก โจ๊ก เข็มยาวชี้เลขห้าแล้วนะ อีกหนึ่งเลขจะถึงเลขหก ถ้ากินข้าวไม่หมดถูกตีหกทีแน่นอน”
ลูกมองหน้าแบบไม่เชื่อว่าแม่จะกล้าตี เพราะแม่ไม่เคยตีลูกสักที ดีแต่ขู่ เลยนั่งอมข้าวเฉย พอเข็มนาฬิกาชี้เลขหก ดิฉันก็พูดว่า
“ยื่นมือมาให้แม่ แม่จะตีตักเตือนก่อนหนึ่งที ถือว่านี่เป็นครั้งแรก ที่มีการดูนาฬิกากินข้าว” ลูกเอามือไพล่หลังเมื่อเห็นว่าแม่จะตีจริงๆ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“จะให้แม่ตี หรือจะเพิ่มเลขนาฬิกาแล้วกินข้าวให้หมด” ดิฉันไม่ทราบว่าลูกเข้าใจคำว่าเพิ่มเลขให้หรือไม่ แต่คงพอรู้ความหมายว่าถ้าเพิ่มเลข กินข้าวได้หมดก็จะไม่ถูกตี จึงตอบมาอย่างรวดเร็วว่า
“เพิ่มเลข”
“เพิ่มอีกกี่เลข หนึ่ง สอง สาม หรือสี่เลข” ดิฉันถามลูกเอาไม้ชี้ไปที่เลขบนหน้าปัดนาฬิกา แอบยิ้มอยู่ในใจ
ลูกรีบตอบทันที
“สี่เลข” ลูกเลือกเอาเลขมากไว้ก่อนตามสัญชาตญาณ แบบไม่รู้ความหมาย
“สี่เลขก็ เลขเจ็ด เลขแปด เลขเก้า เลขสิบ ถ้ากินข้าวไม่หมดตีสิบทีนะ” ดิฉันเอาไม้ชี้ที่เลขนาฬิกาแล้วนับไปด้วย ลูกก็แหงนดูตาม จากนั้นดิฉันก็กางมือออกมาทั้งสองข้างสิบนิ้ว บอกลูกว่าตีสิบทีคือตีเท่านี้ ว่าแล้วก็นับทีละนิ้วจนครบสิบ ลูกชักมีสีหน้าหวั่นใจ บอกใหม่แบบไม่ค่อยแน่ใจว่า
“เอาสามเลข”
“สามเลขก็เลขเก้า ถ้าไม่หมดตีเก้าที”แม่ชักกระหยิ่ม เมื่อเห็นว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล เอาไม้ชี้ไปที่เลขเก้าบนหน้าปัดนาฬิกา แล้วกางนิ้วออกมาทั้งสิบนิ้ว หดนิ้วโป้งไปหนึ่งนิ้ว บอกลูกว่าตีเก้าทีคือเท่านี้ แล้วก็นับนิ้วเหมือนเดิมจนครบเก้า ลูกยังคงทำสีหน้าหวาดๆ แต่จะต่อรองอีกไม่ได้แล้ว เพราะเข็มนาฬิกาเคลื่อนไปใกล้เลขเจ็ดเต็มที จึงก้มหน้าสะอึกสะอื้นกินข้าวเคล้าน้ำตา พยายามตักข้าวคำโตขึ้น เคี้ยวข้าวเร็วขึ้น ไม่อมข้าวอีก กินข้าวไปก็มองเข็มนาฬิกาไปด้วย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่หมดชามเหลืออีกสองสามคำ เข็มนาฬิกาชี้เลขเก้าแล้ว ลูกมองแม่ด้วยสีหน้าหวาดๆว่าจะถูกตีหรือเปล่า ดิฉันบอกลูกว่า
“วันนี้เริ่มจับเวลากินข้าวเป็นครั้งแรก แม่จะยกให้ก่อน จะไม่ตีแต่ข้าวที่เหลือต้องกินให้หมด แล้วพรุ่งนี้เราจะมาเล่นจับเวลากินข้าวกันใหม่” ลูกยิ้มออกมาได้ รีบกินข้าวที่เหลือให้หมดโดยเร็ว เอาชามข้าวไปไว้ที่อ่างล้างชามแล้วรีบวิ่งไปดูทีวีกับพี่แจ๊ค
เย็นวันรุ่งขึ้น เมื่อดิฉันตักข้าวให้ลูกทั้งสองคนแล้วก็ถามลูกว่า จะกินข้าวถึงเลขอะไรถึงจะหมด แจ๊คมองแม่แบบงงๆ ดิฉันจึงอธิบายให้ลูกฟัง ลูกแจ๊คพยักหน้าหงึกๆบอกว่า
“เอาสองเลขก็พอ”
“เร็วไปลูก ห้ามกินข้าวเร็วเกินไป เดี๋ยวข้าวติดคอ ไม่ต้องรีบร้อน เคี้ยวข้าวช้าๆหน่อย เอาสามเลขก็แล้วกัน สิบห้านาทีดีมั้ย”
ลูกแจ๊คพยักหน้ารับคำ กินข้าวเคี้ยวตุ้ยๆน่าอร่อย ส่วนลูกโจ๊กชักรวนเร จะไม่ยอมกินข้าวเหมือนเดิม ดิฉันเหลือบดูเข็มนาฬิกา เห็นเข็มยาวชี้เลขห้าอยู่ จึงถามลูกขึ้นว่า
“โจ๊กจะกินข้าวถึงเลขอะไร ตอนนี้เลขห้าอยู่”
“โจ๊กไม่เล่น” ลูกตอบทันที
“ไม่ได้เล่น เพราะแม่เอาจริง ถ้าหนูไม่บอกว่าจะเอาเลขอะไร แม่จะบอกเอง แล้วถ้าถึงเลขนั้นแล้ว หนูยังกินข้าวไม่หมดแม่จะตีทันที จะเลือกเลขเองหรือจะให้แม่เลือกให้”
ลูกเห็นว่าแม่ท่าทางเอาจริง เสียงเข้ม ก็หน้าม่อย ดูหน้าปัดนาฬิกาเฉยอยู่ไม่พูดว่าอะไร ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“ตอนนี้เข็มยาวเกือบถึงเลขหกแล้ว หนูจะเลือกเลขอะไร เจ็ด แปด เก้า สิบ หรือสิบเอ็ด ถ้ากินไม่หมดแม่จะตีเท่ากับเลขที่หนูเลือก” ว่าแล้วดิฉันก็เอาไม้ชี้ไปที่เลขต่างๆบนหน้าปัดนาฬิกา ลูกไม่ยอมเลือกอีก
“งั้นแม่เลือกให้ เอาเลขสิบเอ็ดนะ ห้าเลขยี่สิบห้านาที ถ้ากินไม่หมดก็ตีสิบเอ็ดที” ลูกนิ่งไม่พูด ตักข้าวกินเหมือนไม่เต็มใจคำละปลายช้อน ดิฉันก็นิ่งดูกิริยาอาการของลูกเฉยอยู่ พอผ่านไปสิบห้านาที ข้าวในชามเกือบไม่พร่องเลย จึงพูดขึ้นว่า
“โจ๊ก โจ๊ก ถ้าถึงเลขสิบ หนูยังกินข้าวทีละสองสามเม็ดแบบนี้อีกแม่จะตีละนะ” ลูกนิ่งไม่พูด แต่ก็ไม่เปลี่ยนทีท่าการกิน พอเข็มนาฬิกาชี้เลขสิบตรง ดิฉันก็เอาไม้เรียวตีไปที่ต้นขาลูกหนึ่งที ลูกสะดุ้งด้วยไม่คิดว่าแม่จะตีจริงๆ จึงร้องไห้พูดออกมาว่า
“ฮือๆๆ ยังไม่ถึงเลขสิบเอ็ดเลย แม่ตีทำไม”
“แม่ตีตักเตือน กินข้าวแบบนี้ถึงเลขสิบเอ็ดก็ไม่หมด หนูจะยอมให้แม่ตีสิบเอ็ดทีใช่มั้ย แค่แม่ตีทีเดียวหนูยังร้องไห้ แล้วถ้าตีสิบเอ็ดที หนูมิยิ่งร้องเสียงดังกว่านี้เหรอ เอานะวันนี้แม่จะเพิ่มเลขให้ ให้หนูกินข้าวได้ถึงเลขสามนะ แต่ถ้ากินไม่หมดโดนตีแน่นอน และจะไม่ให้กินข้าวต่อด้วย แล้วห้ามมาบ่นว่าหิวนะ”
ลูกนั่งหน้างอและเล็มข้าวไปเรื่อยๆ พอเข็มยาวชี้เลขสาม ดิฉันก็ยกชามข้าวออก และลูกถูกตีสามทีที่ขาสองข้าง นายโจ๊กร้องไห้จ้าเสียงดัง ดิฉันก็ปล่อยให้นั่งร้องไป ตัวเองไปนั่งดูลูกแจ๊คทำการบ้านและดูทีวีด้วยกัน ตกลงเย็นนั้นลูกโจ๊กอดดูทีวี แถมไม่ได้เล่นสนุกเหมือนทุกวันด้วย ก่อนนอนลูกมาบอกว่าหิว อยากกินนม ดิฉันบอกลูกไปว่า คนกินข้าวแล้วเท่านั้นถึงจะกินนมได้ ลูกก็เดินหน้าเศร้าเข้าห้องนอนไป วันรุ่งขึ้นลูกโจ๊กตื่นเช้ากว่าปกติ เข้ามาหาแม่ในครัวขอข้าวกิน เผอิญข้าวยังไม่สุก ดิฉันจึงชงนมใส่แก้วให้ลูกดื่ม คงหิวจัด นมหมดแก้วในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากอาบน้ำแต่งชุดนักเรียนแล้ว ลูกกินข้าวได้อีกหนึ่งชาม เย็นวันนั้นดิฉันใช้วิธีเดิม คือให้ลูกกำหนดเวลากินข้าวของตนเอง โดยดูจากเข็มยาวของนาฬิกาเป็นเกณฑ์ ลูกโจ๊กไม่กล้างอแงอีกเลย แต่ก็เลือกเวลาที่ยาวมาก หกเลข สามสิบนาที และก็เร่งกินจนหมดในเวลาที่กำหนดได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ทำการบ้านและได้ดูทีวีอย่างมีความสุข
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดว่าแม่คนนี้ใจร้ายจัง ลูกหิวก็ไม่ยอมให้กินนม คุณคงเห็นความแตกต่างแล้วว่าระหว่าง “ลูกเลี้ยงง่าย” กับ “ลูกเลี้ยงยาก”นั้นเป็นอย่างไร และถ้าคุณไม่เริ่ม“เอาจริง”ซะตั้งแต่ลูกยังเล็กอยู่ เขาจะดื้อมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆเรื่อง จนคุณต้องใจอ่อนและอ่อนใจ
จากวันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันยังคงใช้วิธีให้ลูกกำหนดเวลากินข้าวของตนเองทุกวัน จนลูกทั้งสองคนรู้จักเลขทุกตัวบนหน้าปัดนาฬิกา ดูนาฬิกาเป็นว่าเป็นเวลาเท่าไร แถมยังรู้ด้วยว่า แต่ละเลขมีค่าเท่ากับห้านาที และบวกเลขในใจเป็นด้วย เพราะต้องคอยนับว่า เข็มที่ผ่านเลขแต่ละตัวนั้นรวมเวลาเป็นกี่นาที ลูกโจ๊กกินข้าวได้มากขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโดนทำโทษคือถูกตีอีกสองครั้งและรู้ว่าแม่ “เอาจริง”
เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่ลูกโจ๊กกำลังนั่งกินข้าวอยู่โดยกำหนดเวลาของตนเองที่เลขสิบสอง ได้ถามดิฉันขึ้นว่า
“แม่ ถ้าเข็มยาวชี้เลขสิบสองแล้วโจ๊กกินข้าวไม่หมดแม่ตีสิบสองทีใช่มั้ย”
“แน่นอน ถามทำไมรีบกินเร็วเข้า อย่ามัวพูดเดี๋ยวหมดเวลาแล้วแม่ไม่ต่อเวลาให้นะ ตีผัวะทันที”
“งั้นถ้าโจ๊กกินข้าวถึงเลขหนึ่ง แม่ก็ต้องตีโจ๊กแค่หนึ่งทีใช่มั้ย” ลูกทำตายิบหยีในขณะที่ถาม ทำสีหน้าแบบมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะแม่ต้องตีตามเลขนาฬิกา ดิฉันมองหน้าลูกแล้วยิ้มขำ หนอยแน่! เจ้าลูกคนนี้ เริ่มหาวิธีใหม่อีกแล้ว จึงตอบไปว่า
“เสียใจ ถ้าเลขหนึ่งต้องตีสิบสามทีจ๊ะ”
“แม่! เลขสิบสามไม่มี บนนาฬิกามีแต่เลขสิบสอง ไหนแม่บอกว่าตีตามเลขนาฬิกาไงล่ะ” ลูกร้องเสียงดังแบบงงเต็มที่
“ก็สิบสองบวกหนึ่งเป็นสิบสามไง” ดิฉันเอาไม้เรียวชี้ไปที่เลขสิบสองกับเลขหนึ่งบนหน้าปัดนาฬิกา
“ถ้าหนูกินข้าวถึงเลขสอง แม่ก็ตีสิบสี่ที เอาเลขสิบสองบวกสอง ถึงเลขสามก็ตีสิบห้าที เอาเลขสิบสองบวกสาม เข้าใจมั้ย เอาเลขสิบสองเป็นหลัก บวกเพิ่มไปตามเลขนาฬิกา เอ้า! หนูกินข้าวไปแล้วลองบวกเลขเพิ่มไปเรื่อยๆ ดูว่าวันนี้จะโดนกี่ที เลือกเอาว่าอยากเพิ่มถึงเลขอะไร” ลูกนิ่งเงียบไป ตักข้าวใส่ปากเร็วขึ้นแบบหมดข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น
มีเพื่อนบ้านคุณแม่ลูกสองอยู่คนหนึ่ง บ้านเราอยู่ใกล้กัน เธอเป็นแม่บ้านที่อายุน้อยกว่าดิฉันอยู่หกปี แต่ลูกชายทั้งสองของเธออายุไล่เลี่ยกับลูกชายทั้งคู่ของดิฉัน ดังนั้นลูกๆจึงเป็นเพื่อนเล่นสนิทกันไปด้วย เกือบทุกเย็นที่เราต้องพาลูกออกไปเล่นสนุกที่สวนของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของเรามาก เธอก็เอาข้าวไปเดินป้อนลูกเหมือนที่ดิฉันเคยทำมาแล้ว กว่าข้าวจะหมดชามก็ตะวันตกดินทุกที ส่วนลูกดิฉันทุกคนกินข้าวเรียบร้อยแล้วจึงจะออกไปเล่นสนุกที่สวนได้ เธอเคยถามดิฉันเหมือนกันว่าทำอย่างไร ดิฉันก็เล่าให้เธอฟังตามจริงทุกอย่าง เธอบอกว่าเธอไม่มีเวลามานั่งจับเวลาลูกแบบนั้น เพราะเธอต้องทำงานบ้านเองทุกอย่าง ในขณะที่เธอพูดนั้น เธอคงลืมคิดไปว่า อันที่จริงเวลาที่เธอเดินป้อนข้าวลูกนั้น มันใช้เวลานานกว่ากันมาก
ครั้งหนึ่งเธอเคยถามดิฉันว่า ลูกๆยังฉี่รดที่นอนอีกหรือเปล่า ตอนนั้นลูกแจ๊คอายุแปดขวบและลูกโจ๊กอายุหกขวบแล้ว ดิฉันบอกเธอว่าลูกดิฉันไม่ฉี่รดที่นอนมาตั้งแต่ยังนอนในเบาะแล้ว เธอประหลาดใจมากว่าดิฉันทำอย่างไร เพราะลูกเธอจนบัดนี้ก็ยังฉี่รดที่นอนอยู่ทุกคืน ลูกชายเธออายุเจ็ดและห้าขวบตามลำดับ ดิฉันบอกเธอว่าต้องยกความดีให้คุณย่าของลูก เนื่องจากคุณย่าเลี้ยงลูกมาถึงแปดคน จึงมีอุบายในการเลี้ยงเด็กอ่อนมากมาย เมื่อดิฉันคลอดลูกชายคนแรกคือลูกแจ๊คได้ยังไม่ครบเดือน คุณย่ามาเยี่ยมที่บ้าน พอเข้ามาในห้องนอนก็ได้กลิ่นฉี่ของลูกฟุ้งตระหรบอบอวลไปหมด คุณย่าก็ว่าทำไมจึงปล่อยให้ลูกฉี่รดฟูกแบบนี้ ดิฉันเป็นแม่มือใหม่ก็งงๆอยู่ว่า เด็กทารกจะพูดบอกเราได้อย่างไรว่า เมื่อไรเขาจะฉี่ จะอึ จะหิว ทุกเรื่องใช้เสียงร้องไห้อย่างเดียว แถมยังแยกไม่ออกด้วยว่า เสียงร้องนั้นลูกสื่อถึงเรื่องอะไร ต้องคอยเดาและจับสังเกตเอา คุณย่าจึงบอกว่า
“ตามธรรมดาของเด็กอ่อน กินนมแล้วก็ต้องนอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็จะฉี่ทุกครั้ง พอฉี่แล้วก็หิว ต้องกินอีกแล้ว กินอิ่มก็หลับไปอีก ถ้าเด็กฉี่ตอนกลางวันก็เปลี่ยนผ้าอ้อมตามปกติ แต่ตอนกลางคืนให้คอยเฝ้าสังเกตดูลูกว่าตื่นมาร้องขอนมเวลาไหน ถ้าลูกตื่นอย่าเพิ่งให้นมให้จับไปฉี่ก่อน เรียบร้อยแล้วจึงป้อนนม”
ดิฉันบอกคุณย่าว่า ไม่เคยรอให้ลูกร้องสักที เพราะให้นมตามกำหนดเวลา พอจะป้อนนมลูกปรากฏว่า ลูกฉี่ผ้าอ้อมเปียกไปเรียบร้อยแล้ว คุณย่าเลยสอนใหม่ว่า
“งั้นให้ลองจับสังเกตดูว่าลูกฉี่เวลาไหน ตามปกติเด็กจะฉี่ในเวลาที่ใกล้เคียงกันทุกคืน ยิ่งเด็กกินนมเป็นเวลา การฉี่ก็จะยิ่งตรงเวลาเดิมมากยิ่งขึ้น เวลาจับลูกฉี่ก็ให้ทำเสียงฉี่ๆไปด้วย อีกหน่อยพอลูกได้ยินเสียงนี้ ก็จะฉี่ออกมาเองอย่างรวดเร็ว”
คำสอนของคุณย่าน่าทึ่งจริงๆ ดิฉันเริ่มปฏิบัติตามตั้งแต่คืนนั้น คอยคลำดูผ้าอ้อมลูกชั่วโมงละครั้งหลังจากการป้อนนมครั้งสุดท้ายเวลาหกโมงเย็น ประมาณสามทุ่มครึ่งลูกร้อง คลำดูผ้าอ้อมเปียกชุ่มไปหมด เริ่มจับได้ว่าลูกฉี่ครั้งแรกห่างจากการให้นมครั้งสุดท้ายประมาณสามถึงสามชั่วโมงครึ่ง พอผ้าอ้อมเปียกก็ร้อง ซึ่งก็เป็นเวลาให้นมลูกพอดี เปลี่ยนผ้าอ้อมแล้วป้อนนมลูก ปรากฏว่าลูกดูดนมอย่างหิวจัด ดิฉันก็จับสังเกตต่อไป ปรากฏว่าคืนนั้น ลูกฉี่ครั้งที่สองเวลาประมาณตีหนึ่ง และครั้งสุดท้ายก่อนสว่างประมาณตีห้า ซึ่งก็เป็นเวลาตื่นตามปกติของดิฉันอยู่แล้ว
คืนวันรุ่งขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาผ้าอ้อมเปียก ประมาณสามทุ่มกว่า ดิฉันอุ้มลูกขึ้นมาจากฟูก พาไปที่ห้องน้ำ จับที่ต้นขาสองข้างของลูกกางออกโดยให้หลังลูกพิงที่หน้าอกในท่าเอนกึ่งนั่ง แล้วทำเสียงฉี่ๆ ไปด้วย ปรากฏว่าลูกร้องเสียงดังไม่ยอมฉี่ แถมยังดิ้นแอ่นตัวจะพลิกหนีอีกด้วย เกือบยอมแพ้ พอดีคุณย่าอยู่ในเหตุการณ์ จึงบอกว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเด็กเคยตัว เคยนอนฉี่สบายๆ ไม่มีใครมากวนให้ลุกขึ้นฉี่ ให้เอามือตบๆที่ต้นขา หรือยกก้นขึ้นมาตบเบาๆ เป็นการปลุกให้ลูกรู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อลูกรู้สึกตัวเต็มที่แล้วก็จะฉี่เอง ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ครั้งแรกผ่านไปแบบเรียบร้อย พอลูกฉี่เสร็จ ดิฉันก็จับลูกลงนอนที่เดิม ป้อนนมตามปกติ คราวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมสบายไป เอ๊ะ! ไม่ยากนี่ งั้นเดี๋ยวเที่ยงคืนเอาใหม่
พอใกล้ตีหนึ่ง อย่างง่วงๆดิฉันจับลูกมานั่งฉี่เหมือนเดิม คราวนี้ลูกไม่ร้องดิ้น แต่ก็ไม่ยอมฉี่ แม้จะทำเสียงฉี่ๆอยู่เป็นนาน ลูกยังคงนอนพิงอกแม่อย่างสบาย โดยไม่มีทีท่าว่าจะฉี่แม้แต่น้อย ดิฉันก็คิดว่าลูกคงไม่ฉี่แล้ว งั้นก็เอาลูกนอนแล้วป้อนนมเลย ดิฉันก็อุ้มลูกลงนอนบนฟูกของเขา แค่หลังแตะฟูกเท่านั้น พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย! ลูกฉี่พุ่งใส่แม่ทันทีจนเปียกแฉะไปหมด แถมรู้สึกว่าจะฉี่มากกว่าปกติซะด้วย ลูกคงกลั้นอยู่นานตอนที่ดิฉันอุ้มให้ฉี่ที่ห้องน้ำ
คราวนี้ดิฉันรู้เคล็ดแล้ว ตอนตีห้าทำใหม่ ก็เรียบร้อย คืนวันต่อๆมา ชักชำนาญมากขึ้น ลูกจะมาไม้ไหนแม่จัดการได้หมด จะร้องดิ้นหรือจะหลับเฉย ก็ต้องปลุกให้รู้สึกตัวทุกครั้ง แล้วลูกจะฉี่เอง เพียรตื่นขึ้นมาจับลูกฉี่ได้สามคืน หลังจากนั้นพอลูกถูกจับนั่งในท่าเดิมร้องเสียงฉี่ๆเพียงสองสามคำเท่านั้น ก็จะฉี่ทันที ไม่ร้องไม่ดิ้นอีก ทำได้ประมาณสองสัปดาห์ ราบรื่นดีทุกคืน คราวนี้ก็มาจับสังเกตตอนกลางวันบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะแม่มีงานต้องทำมาก กว่าจะรู้ตัวมาดูลูก ก็ต่อเมื่อลูกร้องผ้าอ้อมเปียกไปแล้ว
ประมาณสองเดือนลูกเริ่มชันคอได้ ดิฉันก็ลองจับลูกนั่งกระโถนอึตอนเช้า หลังจากลูกตื่นในเวลาหกถึงเจ็ดโมงเช้า ลองนั่งทุกวันแม้ลูกจะยังไม่อึใส่กระโถนในวันแรกๆ เพราะเคยชินกับการนอนอึ พอเข้าวันที่สี่ลูกยอมอึออกมาหน่อยหนึ่ง ชักเข้าท่า เลยจับลูกนั่งกระโถนทุกเช้า อย่างไม่รู้ตัวลูกก็อึมากขึ้นทุกวันจนเป็นปกติ คุณย่าแนะว่าการจับลูกนั่งอึใส่กระโถน ให้นั่งที่เดิมเป็นประจำทุกครั้ง อีกหน่อยพอลูกรู้ความเขาจะมานั่งกระโถนของเขาเอง และก็จริงอย่างที่คุณย่าว่า เมื่อลูกแจ๊คคลานได้ เธอก็คลานไปอึที่กระโถนที่ดิฉันตั้งไว้ประจำ เมื่อเธอตื่นนอนทุกเช้า แต่พอลูกอึเสร็จแล้ว คุณต้องรีบเก็บกระโถนไปล้างทันที มิฉะนั้นคุณจะเดือดร้อน เพราะลูกจะช่วยคุณเทกระโถนไว้แถวๆนั้นเอง
พอลูกแจ๊คเริ่มเดินได้บ้างแล้ว ดิฉันก็สอนให้ลูกเดินไปฉี่ที่ห้องน้ำในเวลากลางคืน แทนที่จะอุ้มฉี่เหมือนเคย เพียงไม่กี่คืน ลูกก็ลุกเดินไปฉี่ได้เองโดยไม่ต้องคอยปลุก ดังนั้นทุกครั้งที่ได้เห็นลูกเดินหลับตาด้วยความง่วง เข้าไปฉี่ในห้องน้ำเองแล้ว ดิฉันและคุณพ่อของลูกก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อสอนลูกคนแรกได้ผล การสอนลูกคนต่อมาให้ทำในสิ่งเดียวกันก็ไม่ยากแล้ว
เมื่อดิฉันเล่าเรื่องสอนลูกลุกขึ้นฉี่ ให้เพื่อนบ้านฟังแล้ว ก็บอกกับเธอว่า ถ้าอยากให้ลูกหายจากการฉี่รดที่นอน ก็ให้เธอคอยสังเกตดูลูกทั้งสองคนว่าฉี่รดฟูกเวลาไหน แล้วคืนต่อมาก็ให้ปลุกลูกลุกขึ้นมาฉี่ก่อนเวลานั้น เธอถามว่าแล้วถ้าลูกไม่ยอมลุกจะทำอย่างไร ดิฉันก็บอกเธอว่าให้เธออุ้มลูกไปยืนฉี่ที่ห้องน้ำก่อนในวันแรกๆ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์เธอมาเล่าให้ฟังว่า ลูกเธอไม่ฉี่รดที่นอนอีกแล้ว แถมยังเดินหลับตาเข้าห้องน้ำได้เองโดยไม่ต้องอุ้มอีกด้วย
มีอยู่วันหนึ่งเวลาประมาณบ่ายโมง ลูกของเพื่อนบ้านคนเดียวกันนี้ได้ของเล่นใหม่ จึงมาชวนลูกแจ๊คและลูกโจ๊กไปเล่นด้วยกันที่บ้านของเขา เนื่องจากบ้านเราอยู่ห่างกันแค่ถัดบ้านไปอีกหนึ่งหลังเท่านั้น ดิฉันก็อนุญาตและเพราะลูกกินข้าวกลางวันอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว ใกล้สี่โมงเย็นดิฉันก็ไปชวนลูกให้กลับบ้าน เพราะเห็นว่าเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เมื่อได้เวลาอาหารเย็น เหมือนเช่นเคย ดิฉันให้ลูกตั้งเวลากินข้าวของตนเอง ลูกแจ๊คไม่ต้องตั้งเวลาแล้ว เพราะหมดก่อนเวลาทุกที ส่วนลูกโจ๊กหน้างอพูดว่า
“แม่! บ้านน้าสม(นามสมมติ) ไม่เห็นจับเวลากินข้าวเลย ลูกเขาจะกินข้าวนานแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคอยดูนาฬิกาด้วย ตอนโจ๊กไปเล่นที่บ้านของเขา เขายังกินข้าวไปเล่นไปได้เลย ไม่ต้องนั่งกินข้าวอย่างบ้านเรา แล้วแม่เขาก็ไม่ว่าเขาด้วย ปล่อยให้ลูกเขากินข้าวนานแค่ไหนก็ได้”
“อ้อ! งั้นเรอะ” แม่แจ๋วรับรู้และพูดต่อไปว่า
“แต่นี่เป็นบ้านแม่ ต้องจับเวลากินข้าว ถ้าหนูกินข้าวเร็วอย่างพี่แจ๊ค แม่ก็จะไม่จับเวลา เอ้า! อย่ามัวพูดอยู่เลย หนูจะเอาเลขอะไรถึงจะกินข้าวหมด”
“งั้นโจ๊กไม่อยู่บ้านแม่แล้ว ไปอยู่บ้านน้าสมดีกว่า กินข้าวไม่ต้องจับเวลาด้วย” ลูกพูดมาด้วยน้ำเสียงงอนๆและใบหน้าบึ้งตึง ดิฉันจึงตอบไปว่า
“งั้นกินข้าวชามนี้ให้หมดตามเวลาก่อน แล้วแม่จะให้หนูไปถามน้าสมดูว่า เขาจะยอมให้หนูไปอยู่บ้านเขาหรือเปล่า มีที่ให้นอนมั้ย ต้องนอนคนเดียวหน้าห้องหรือเปล่า หรือต้องนอนหน้าห้องส้วม แล้วน้าสมเขาจะซักเสื้อผ้าให้หนูหรือเปล่า หรือว่าหนูต้องซักเอง ตอนเช้าเขาจะส่งหนูไปโรงเรียนหรือว่าให้หนูนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง แล้วตอนเย็นเลิกเรียน หนูต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านเองหรือน้าสมจะไปรับ หนูไม่ใช่ลูกเขา ถ้าไปอยู่บ้านเขาแล้ว อย่าลืมต้องช่วยเขากวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยล้างชามด้วยนะ เอาละ! หนูกินข้าวให้หมดก่อน แล้วถ้ายังอยากไปอยู่บ้านน้าสมเพราะกินข้าวไม่ต้องจับเวลา แม่จะช่วยจัดเสื้อผ้าของหนูให้ไปอยู่กับเขานานๆเลย ดีมั้ย”
ลูกได้ฟังก็นิ่งอึ้งไป เมื่อดิฉันถามลูกว่าจะกินข้าวหมดเวลาไหน ลูกก็ตั้งเวลาของตนเองกินข้าวหมดตามเวลาอย่างเรียบร้อย และไม่เคยพูดว่าจะไปอยู่ที่บ้านน้าสมอีกเลย
ภายหลังลูกโจ๊กยังแอบไปแนะนำน้าสมให้สอนลูกเขาจับเวลาตอนกินข้าวด้วย ที่ดิฉันรู้เพราะเพื่อนบ้านท่านนั้นมาเล่าให้ฟัง ดิฉันก็ยิ้มตอบไปไม่พูดว่าอะไร และไม่ถามด้วยว่า เขาทำตามคำแนะนำของลูกโจ๊กหรือเปล่า
Leave a Reply