6. “แม่! อ่านให้เราฟังหน่อย”
เมื่อลูกเข้าโรงเรียนแล้ว จะระดับชั้นสูงต่ำแค่ไหนก็ตาม คำถามยอดนิยมที่ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องถามลูกเสมอ เมื่อได้พบหน้าลูกในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนแล้วคือ “วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า” ดิฉันเองก็เป็นคุณแม่ประเภทนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่ลูกเข้าโรงเรียนแม้จะเพียงระดับชั้นอนุบาล พอพบหน้าลูกก็จะถามทันทีว่าวันนี้มีการบ้านหรือเปล่า ถ้าลูกตอบว่ามี ดิฉันก็จะยิ้มแล้วพูดกับลูกว่า
“วันนี้แม่ได้รับข่าวดี”
แต่ถ้าวันไหนลูกบอกว่าไม่มีการบ้าน เสียงลูกจะมีความสุขมากเพราะจะมีเวลาได้เล่นมากขึ้น แต่แม่จะร้อง
“ว้า! ข่าวร้ายจัง”
ภายหลังเมื่อลูกพบหน้าแม่ตอนเลิกเรียน โดยไม่ต้องถามลูกจะพูดเองทันทีว่า
“แม่วันนี้มีข่าวดี” หรือ “แม่วันนี้มีข่าวร้าย” แล้วแต่ว่าคุณครูจะให้การบ้านลูกหรือไม่ได้ให้
เมื่อกลับบ้านอาบน้ำกินข้าวแล้ว ดิฉันจะยังไม่เปิดทีวีให้ลูกดู จนกว่าลูกจะทำการบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงจะเปิดทีวีดูได้ และรายการทีวีก็ต้องเป็นรายการที่แม่ยินยอมให้ดูเท่านั้น ถ้าวันไหนไม่มีการบ้าน ก็หัดอ่านหนังสือ ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ เสร็จแล้วจึงเปิดทีวี หรือเล่นของเล่นได้ จนสองทุ่มครึ่งดิฉันจะปิดทีวีทันที ลูกทุกคนต้องเข้านอน ดิฉันจะเข้านอนพร้อมลูก ในห้องนอนจะปิดไฟมืด มีเฉพาะแสงสลัวจากไฟที่หน้าห้องส่องลอดเข้ามาเท่านั้น ถ้าใครเคยพาลูกเข้านอนจะรู้ดีว่า เวลาที่ยังไม่เข้านอน เขาจะไม่สนใจคุณเลย เขาจะง่วนอยู่กับสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทีวี ของเล่น หรือหนังสือการ์ตูน แต่ทันทีที่ต้องเข้านอนและดับไฟ ปากลูกก็จะเปิดทันที พยายามหาเรื่องแข่งกันซักถามพูดคุยกับแม่ ราวกับว่าไม่ได้พูดกับแม่มานานแล้ว ชักคิดถึงอยากพูดอยากคุยด้วย แต่ดิฉันรู้แกวแล้วว่า อันที่จริงนั้นลูกยังไม่อยากนอน อยากจะเล่นสนุก หรือดูทีวีต่ออีกนานๆ ดิฉันจะให้เวลาลูกพูดได้อีกไม่เกินห้านาที แล้วก็จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าใครยังมีเสียงพูดจะต้องถูกตี ที่บ้านดิฉันจะมีไม้เรียวเล็กๆวางอยู่ทั่วไปในที่หยิบฉวยได้ง่าย ในขณะที่นับหนึ่ง สอง สาม ดิฉันจะเอาไม้เรียวฟาดป้าบ ป้าบ ป้าบไปบนฟูกด้วย พอสิ้นเสียงนับสาม ลูกก็จะเงียบกริบ สักครู่ก็จะมีเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของลูก แสดงว่าหลับแล้ว ดิฉันก็จะลุกขึ้นมาทำงานของตนเองต่อไป
ลูกจะถูกปลุกในตอนเช้าเวลาไม่เกินหกนาฬิกา หลังจากอาบน้ำ แต่งชุดนักเรียน กินข้าวเช้าแล้วไม่เกินหกโมงสี่สิบ ทุกคนก็พร้อมที่จะออกจากบ้านไปโรงเรียน ภายหลังแม้ลูกจะเรียนในชั้นเรียนที่สูงขึ้น แต่เพราะถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก ลูกจึงมีความรับผิดชอบในเรื่องการเรียนเหมือนเดิม แต่นอนดึกกว่าเดิมประมาณสองสามชั่วโมง เพราะมีการบ้านมากขึ้น และอ่านหนังสือเยอะขึ้น
ทุกวันอาทิตย์เมื่อลูกทั้งสองยังเล็กอยู่ ดิฉันจะพาไปที่สวนออกกำลังกายใกล้บ้าน เพื่อหาอาหารเช้าอร่อยๆกินกัน ลูกๆชอบกินข้าวเหนียวหมูปิ้งและโจ๊กใส่ไข่มาก ที่ใกล้ๆร้านขายโจ๊กมีแผงขายหนังสือเล็กๆอยู่แผงหนึ่ง ดิฉันจะให้ลูกไปเลือกซื้อหนังสือการ์ตูนที่ไม่เป็นพิษภัยต่อเด็กคนละ2-3เล่ม อาทิเช่น หนังสือชื่อขายหัวเราะ หนูจ๋า หรือเบบี้ เล่มบางๆราคาไม่แพง เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ลูกๆก็จะเอาหนังสือนั้นมานั่งดู
แรกๆดิฉันก็อ่านให้ลูกฟัง เนื่องจากเป็นการ์ตูนเบาสมอง ลูกๆชอบกันมาก หัวเราะชอบใจทุกครั้งที่ได้ดู ภาพวาดก็กระจ่าง ดูแต่ภาพก็พอเข้าใจได้ ลูกแจ๊คเรียนชั้น ป.2แล้ว รอแม่อ่านไม่ทันใจ อ่านเองได้ ก็จะหยิบหนังสือไปอ่านเอง ส่วนลูกโจ๊กเรียนชั้นอนุบาลสามยังอ่านหนังสือเป็นประโยคไม่ได้ ถ้าแม่ไม่ว่างอ่านให้ฟังไม่ได้ ก็ต้องนั่งดูพี่แจ๊คอ่านไปหัวเราะไปด้วยความอยากรู้ โจ๊กจะถามบ่อยๆว่าแจ๊คหัวเราะขำอะไรอ่านให้ฟังบ้าง แต่แจ๊คจะไม่อ่านออกเสียงให้ฟัง บอกให้โจ๊กอ่านเอง ลูกก็จะมาคะยั้นคะยอให้แม่อ่านให้ฟัง หลายครั้งเข้า ดิฉันก็บอกให้ลูกอ่านเอง ลูกบอกว่าอ่านไม่ได้
“งั้นก็หัดสะกดคำ” ดิฉันแนะนำลูก
“สะกดไม่เป็น แม่อ่านหน่อย” ลูกร้องขอ
“วันนี้แม่ไม่ว่าง ถ้าจะให้อ่านให้ฟังต้องรอก่อนหรือดูรูปภาพไปก่อน”
“ดูรูปภาพไม่สนุก ต้องอ่านด้วย แม่อ่านหน่อย”
“ไม่ว่างอ่าน อยากรู้เรื่องเหมือนพี่แจ๊คต้องหัดอ่านเอง”
แม่ยืนยันคำเดิม ลูกก็หน้าม่อยไป แต่ความอยากรู้ว่าพี่แจ๊คหัวเราะขำอะไรมีมากกว่า เลยนั่งหัดสะกดคำ ถ้าคำไหนไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็จะถามพี่แจ๊ค หรือถามแม่ให้ช่วยบอก เพียงไม่กี่ครั้งลูกโจ๊กก็เริ่มอ่านหนังสือการ์ตูนได้รู้เรื่องเอง และนั่งหัวเราะสนุกอย่างพี่แจ๊คได้บ้างแล้ว
ดิฉันเชื่อว่าบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต้องเคยพาลูกไปซื้อของหรือรับประทานอาหาร ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆมาแล้วเกือบทุกครอบครัว ซึ่งในครอบครัวดิฉันเองก็ไม่ต่างกับผู้อื่น แต่การพาลูกไปเที่ยวหรือรับประทานอาหารตามห้างฯ ดิฉันจะบอกลูกว่า
“ห้ามร้องซื้อของเล่นโดยเด็ดขาด เพราะหน้าที่ซื้อของเล่นเป็นหน้าที่ของป๊า แม่มีหน้าที่ซื้อของกิน เสื้อผ้า และสมุดหนังสือให้ลูกเท่านั้น”
ดังนั้นเมื่อไรที่พาลูกไปห้างฯ หลังรับประทานอาหารแล้ว เราก็จะเข้าร้านหนังสือเพื่อเลือกซื้อหนังสืออ่านเล่น หรือหนังสือเรียนอ่านนอกเวลา ดิฉันจะให้ลูกเลือกหนังสืออ่านเล่นเองก่อน แล้วเอามาให้แม่ดูว่าสมควรอ่านหรือไม่ บ่อยครั้งเข้าลูกก็เลือกเองได้ เมื่อถึงเวลาปิดเทอมทุกครั้ง ดิฉันจะชวนลูกไปเลือกซื้อหนังสืออ่านเล่นคนละหลายๆเล่ม แล้วแต่เขาจะเลือก จะกี่เล่มก็ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องอ่านทุกเล่มที่เลือกซื้อไป ทั้งนี้เป็นแผนของดิฉันที่จะลดเวลาของลูกๆในการนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี หรือนั่งเล่นเกมในช่วงปิดเทอม ซึ่งก็ได้ผลแถมยังทำให้ลูกรักการอ่านไปจนโต แม้ลูกๆโตแล้วหลังสอบเสร็จภาคปลายของแต่ละเทอม ลูกจะเป็นฝ่ายชวนแม่ไปเลือกซื้อหนังสือทุกครั้ง
เมื่อลูกจ๊อบลูกชายคนเล็กเข้าโรงเรียน ทุกกฎระเบียบที่เคยใช้กับพวกพี่ๆถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แถมอาจเข้มงวดมากกว่าเดิม เพราะมีพี่ๆค่อยกำราบอีกสองแรง คำพูดของลูกเมื่อแม่ไปรับในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนก็ยังคงเป็น
“แม่วันนี้เรามีข่าวดี” หรือ “แม่วันนี้เรามีข่าวร้าย”เช่นเดียวกับพวกพี่ๆ แต่บางครั้งลูกจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า
“แม่เรามีอะไรจะบอก แต่ไม่รู้ว่าแม่จะเสียใจหรือเปล่านะ” ดิฉันก็จะดักคอลูกว่า
“วันนี้ไม่มีการบ้านละซิ ว้า! ตัวขี้เกียจก็จะเพิ่มขึ้นอีกละซิเนี่ย” ลูกจะหัวเราะชอบใจเสียงดัง
ลูกคนนี้จะใช้คำแทนตัวเองว่า”เรา”มาตั้งแต่หัดพูด ส่วนสาเหตุใดดิฉันจะเล่าให้ฟังวันหลัง ถ้าไม่ลืมซะก่อน
วันหนึ่งเป็นช่วงภาคปลายการศึกษา ลูกจ๊อบซึ่งเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสาม เมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว ก็หยิบหนังสือเรียนเล่มหนึ่งมายื่นให้ดิฉัน และพูดว่า
“แม่อ่านให้เราฟังหน่อย ครูบอกว่าต้องเอาหนังสือไปอ่านหน้าชั้นให้เพื่อนๆฟัง คุณครูให้มาหัดอ่านสามวัน”
ดิฉันรับหนังสือมาดูเรื่องที่ลูกจะให้อ่าน ที่แท้เป็นนิทานเรื่องยายกะตา ปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า แต่หลานไม่เฝ้า กามากินถั่วกินงา ฯลฯ จึงถามลูกว่า
“อ้าว! แล้วคุณครูไม่สอนอ่านเหรอ”
“สอนแล้วแต่เราจำไม่ได้” ดิฉันพลิกดูที่หน้าปกหนังสือ เห็นเขียนว่า “หนังสืออ่านให้แม่ฟัง” จึงบอกกับลูกว่า
“เอ! หนังสือนี้เขาเขียนว่าอ่านให้แม่ฟังนี่ งั้นหนูก็ต้องอ่านให้แม่ฟังถึงจะถูก ทำไมมาให้แม่อ่านให้หนูฟังละ”
“ก็เราอ่านไม่ได้ แม่อ่านให้เราฟังหน่อย”
“ได้ยังไง ถ้าหนังสือเขียนว่าอ่านให้ลูกฟัง แม่ถึงจะอ่านให้หนูฟัง แต่นี่หนังสือเขียนว่า อ่านให้แม่ฟัง หนูก็ต้องอ่านให้แม่ฟังซิถึงจะถูกต้อง” ดิฉันยืนยัน ลูกเริ่มร้องไห้
“ฮือๆๆ ก็เราอ่านไม่ได้”
“อ่านไม่ได้ก็หัดสะกด เดี๋ยวแม่จะช่วย” ลูกยังคงร้องไห้ฮือๆต่อไปอีกพักใหญ่ ดิฉันก็นั่งอ่านหนังสือของตนเองเฉยอยู่ ลูกจ๊อบเห็นว่าแม่ไม่อ่านให้ฟังแน่แล้ว จึงหยิบหนังสือมานั่งหัดสะกดตัว อ่านไปสะอื้นไป ดิฉันก็ลุกไปนั่งใกล้ๆลูกช่วยสะกดบางคำที่ลูกอ่านผิด เผอิญนิทานเรื่องนี้อ่านง่ายจำง่าย เพราะมีคำซ้ำๆกันมาก และค่อนข้างคล้องจอง เมื่อลูกเห็นว่าอ่านได้ไม่ยาก ก็เริ่มอ่านชัดถ้อยชัดคำขึ้น เสียงสะอื้นก็ห่างหายไป พอเริ่มอ่านรอบที่สามก็เกือบไม่ต้องสะกดคำเลย ดิฉันก็ชี้ให้ลูกอ่านเป็นคำๆไป เพื่อทดสอบดูว่าลูกอ่านได้จริงหรือเปล่า ก็ปรากฏว่าลูกอ่านได้จริง เพราะอ่านได้เกือบทุกคำที่ชี้ให้ จนได้เวลาสองทุ่มครึ่ง ดิฉันก็บอกให้ลูกเก็บหนังสือ เพราะถึงเวลานอนแล้ว ให้มาอ่านทวนใหม่ในวันพรุ่งนี้
บ่ายวันรุ่งขึ้น ดิฉันไปรับลูกที่โรงเรียนตามปกติ พอลูกสวัสดีแล้ว ก็พูดขึ้นทันทีว่า
“แม่ พวกเพื่อนๆเราเขาไม่เห็นต้องเปิดหนังสืออ่านเลย เขายังอ่านคล่องกว่าเราอีก เขาอ่านได้หมดเลย แต่เราต้องเปิดหนังสือถึงจะอ่านได้” ลูกพูดพร้อมกับมีสีหน้างุนงงมาก คงสงสัยว่าทำไมเพื่อนๆเก่งกันจัง ขนาดไม่เปิดหนังสือยังอ่านกันอย่างคล่องปรื๋อ
ดิฉันโอบตัวลูกให้ออกเดินพร้อมกัน และพูดกับลูกว่า
“อย่างที่เพื่อนหนูทำนั้น เขาเรียกว่าท่องหนังสือ คุณแม่เขาคงอ่านให้เขาฟัง แล้วเขาพูดตามโดยไม่ต้องดูหนังสือ ไม่ต้องหัดสะกดคำ พอพูดตามหลายๆรอบเข้าเขาก็จำได้ ส่วนของจ๊อบที่หนูทำเมื่อคืนนั้น เขาเรียกว่าอ่านหนังสือ เพราะหนูต้องเปิดหนังสือดูและหัดสะกดคำ พรุ่งนี้พอหนูมาถึงโรงเรียนแล้ว ลองเปิดหนังสือให้เพื่อนหนูดูแล้วชี้ให้เขาอ่านตามตัวหนังสือ ดูซิว่าเขาอ่านได้หรือเปล่า”
คืนนั้นลูกยังคงเอานิทานเรื่องเดิมมาหัดอ่าน และหัดท่องโดยปิดหนังสือด้วย วันรุ่งขึ้นเมื่อพบดิฉันในตอนบ่ายหลังเลิกเรียน ลูกจ๊อบยิ้มร่าพร้อมกับพูดว่า
“แม่ เพื่อนเราพอให้เปิดหนังสือแล้วอ่านไม่ได้ซักคน เขาบอกว่าต้องปิดหนังสือเขาถึงจะอ่านได้”
ดิฉันเห็นได้ทีจึงพูดกับลูกว่า
“ถ้าหนูหัดอ่านแบบเปิดหนังสือบ่อยๆ อีกหน่อยลูกก็จะอ่านหนังสือได้เก่งเหมือนพี่แจ๊คกับพี่โจ๊ก แล้วจะได้อ่านนิทานเรื่องสนุกๆเยอะแยะเลย”
ภายหลังลูกมาเล่าให้ฟังว่า ทั้งห้องเรียนมีลูกคนเดียวเท่านั้นที่เปิดหนังสือแล้วอ่านได้ นอกนั้นเมื่อคุณครูให้ถือหนังสือมาอ่านหน้าชั้น ไม่มีใครอ่านได้ ดิฉันคิดว่าการที่เป็นเช่นนี้ เพราะคุณพ่อคุณแม่หลายคนต่างคิดว่า ลูกยังเรียนแค่ชั้นอนุบาล อ่านไม่เป็นก็ไม่เป็นไร และเรื่องที่คุณครูให้ลูกอ่านนั้นก็ง่ายแก่การท่องจำ เพียงแค่ลูกท่องได้คล่องก็น่าจะพอแล้ว ความจริงแล้วการสอนให้เด็กหัดอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กๆนั้น แม้จะดูเหมือนยาก แต่ถ้าคุณยอมสละเวลาส่วนตัวสักวันละครึ่งชั่วโมง สอนลูกหัดอ่านหนังสือ คุณจะเห็นว่า แท้จริงแล้วเด็กๆมีความสามารถที่คุณคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายๆกัน คือการท่องชื่อเดือน ดิฉันจะให้ลูกหัดท่องชื่อเดือนแบบถูกต้อง อย่างเช่น มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เรื่อยไปจนครบสิบสองเดือน ซึ่งลูกจะบ่นว่าจำยาก เพราะต้องคอยจำว่า เดือนไหนลงท้ายด้วย คม เดือนไหนลงท้ายด้วย ยน การท่องก็ต้องท่องแบบช้าๆ จะท่องเร็วไม่ได้ เพราะต้องระวังคำลงท้ายของแต่ละเดือนไม่ให้ผิด มีอยู่วันหนึ่งลูกมาบอกว่า
“แม่ เพื่อนเราท่องชื่อเดือนคล่องปรื๋อเลย เขาท่องแป๊บเดียวก็ครบสิบสองเดือนแล้ว เราท่องสู้เขาไม่ได้เลย แถมเวลาเขาท่องไม่เห็นต้องลงท้ายว่า คม ว่า ยน อย่างที่แม่ให้เราท่องเลย”
ดิฉันจึงบอกลูกว่าให้ไปบอกเพื่อนคนนั้นว่าลองท่องชื่อเดือนแบบเต็มๆที่ลงท้ายด้วย คม ด้วย ยน แล้วดูซิว่าเขายังท่องได้คล่องอีกหรือเปล่า เย็นวันรุ่งขึ้นลูกมาเล่าให้ฟังว่า พอบอกเพื่อนให้ท่องชื่อเดือนแบบเต็มๆ เขาก็ท่องได้ถูกแค่มกราคมเดือนเดียว นอกนั้นท่องผิดหมด เขาใส่ คม ใส่ ยน ผิดเดือนหมด แถมยังเรียงลำดับเดือนไม่ถูกต้องอีกด้วย ขนาดเดือนกุมภาฯ เขายังไม่รู้ว่าที่ถูกต้องคือ กุมภาพันธ์ ดิฉันจึงบอกลูกว่า
“ทีนี้หนูเห็นหรือยังว่า ถึงจะท่องได้ช้า และท่องยาก แต่เราก็ท่องได้ถูกต้อง เวลาเขียนวันที่ในสมุด ก็ไม่ต้องเสียเวลาเงยหน้าดูกระดานบ่อยๆให้เมื่อยคอ หนูลองคิดดูซิถ้ามีคนถามหนูว่า เดือนนี้เดือนอะไร แล้วหนูบอกว่า กุมภายน หรือมิถุนาคม หรือกรกฎายน มันน่าหัวเราะแค่ไหน”
ลูกชายได้ยินชื่อเดือนที่ดิฉันยกตัวอย่างให้ฟังก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง
นับตั้งแต่การหัดสะกดคำครั้งนั้นปรากฏว่า ลูกจ๊อบอ่านหนังสือได้ดีขึ้นมาก เมื่อลูกขึ้นชั้นประถมหนึ่ง ดิฉันไม่ต้องอ่านหนังสือเรียนให้ลูกฟังอีกเลย เมื่อถึงเวลาไปซื้อหนังสือที่ร้านขายหนังสือ พวกพี่ๆจะช่วยแนะนำและเลือกหนังสือให้น้องอ่าน แถมยังโฆษณาให้น้องเล็กฟังอีกว่า การดูทีวีมากหรือเล่นเกมมาก จะทำให้เป็นเด็กโง่ แต่ถ้าอ่านหนังสือมากๆแล้ว จะเป็นเด็กฉลาดมีความคิดดี เรียนหนังสือเก่ง
Leave a Reply