3. “แม่เราเก่งกว่าผี”

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงประสบกับเรื่องความกลัวผีของลูกๆ รวมทั้งความรู้สึกกลัวผีของตนเองเมื่อครั้งเป็นเด็กเล็กกันมาเกือบทุกคนแล้ว ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในสมาคมตาแหกมาตั้งแต่จำความได้ จำได้ว่าตนเองเชื่ออย่างจริงจังว่า ในโลกนี้มีผีที่น่ากลัวมากๆโดยเฉพาะในที่มืด มีผีดุร้ายคอยจ้องจะทำร้ายเราอยู่ทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าหลับหรือตื่น ยามตื่นโดยเฉพาะเวลากลางคืนก็ต้องพยายามอยู่ในท่ามกลางแวดล้อมด้วยผู้คน จะหนึ่งหรือสองคนก็ได้ ยิ่งมีคนมากๆยิ่งดี เมื่อถึงเวลาขึ้นนอน จะต้องให้ใครพาไปนอน และนอนคนเดียวไม่ได้ การสวดมนต์ก่อนนอนนั้น เด็กคนอื่นสวดมนต์เพื่ออะไร ดิฉันไม่ทราบ แต่สำหรับตนเองแล้วจะสวดมนต์เพื่อขับไล่ผีและขอพรพระไม่ให้ฝันเห็นผีทุกคืน แม้พ่อแม่หรือใครๆจะบอกว่าผีไม่มีในโลก ดิฉันก็ไม่เชื่อ ทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นอากุง(คุณปู่) อาม่า(คุณย่า) พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ต่างพยายามหาวิธีพูด ทั้งปลอบทั้งขู่ หรือแม้แต่หาพระหรือสิ่งอะไรที่คิดว่าศักดิ์สิทธิ์มาให้แขวนคอ และบอกว่าผีกลัวสิ่งนี้ จะไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ต้องกลัวผีอีกแล้ว ดิฉันรับมาแขวนคอด้วยความยินดี แต่ไม่ทำให้คลายความกลัวลงไปได้ ยังคงกลัวอย่างจริงจังและเหนียวแน่นต่อไป

ดิฉันยังจำได้ดีว่า เมื่อแต่งงานกับสามีนั้น เราทั้งสองคนทำงานในกรุงเทพฯ ยามเทศกาลทีก็ต้องกลับไปเยี่ยมคุณแม่และน้องๆของสามีที่ต่างจังหวัดซึ่งมีฟาร์มเลี้ยงไก่ การทำฟาร์มต้องอยู่ในชนบท จึงไม่สะดวกในเรื่องน้ำไฟ เมื่อต้องอยู่ในที่ไม่ค่อยจะสว่างไสวเหมือนในเมือง สัญชาตญาณเก่าของความกลัวผีก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน จนเป็นที่ขบขันและน่าสงสารของบรรดาญาติๆของสามี

ดิฉันมาคลายจากความกลัวผีก็เมื่อมีลูกนี่เอง เมื่อลูกยังเล็กอยู่ สามีดิฉันทำงานที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเดือนละสิบห้าถึงยี่สิบวัน เมื่อต้องอยู่กับลูกตามลำพัง จึงแสดงความกลัวผีให้ลูกเห็นไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัวเหมือนที่ดิฉันเป็น เมื่อลูกเริ่มรู้ความ ดิฉันจะหลีกเลี่ยงการพูดขู่หรือหลอกลูกให้กลัวนั่นกลัวนี่ แต่เมื่อลูกเริ่มเรียนชั้นอนุบาล ก็นำเอาคำว่าผีมาถามและแสดงความกลัวผีให้เห็น ซึ่งแม้จะบอกว่าผีไม่มีจริง ไม่มีผีในโลก ลูกก็ไม่เชื่อเริ่มกลัวผีมากขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันเองก็จนปัญญา ไม่รู้จะหาวิธีใดมาพูดให้ลูกหายกลัว ได้แต่คิดว่ามันคงต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป ที่ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าพูดหลอกกันมา แม้เราจะไม่พูดแต่ลูกก็ต้องได้ยินได้ฟังจากสังคมนอกบ้าน คงต้องปล่อยเลยตามเลย จนกว่าลูกจะโตและเข้าใจได้เอง

เมื่อลูกแจ๊คอายุหกขวบ และลูกโจ๊กอายุสี่ขวบ ดิฉันจำได้ว่าค่ำวันนั้น ในขณะที่เราพ่อแม่กำลังดูข่าวทีวี และลูกๆทำการบ้านกันอยู่ในห้องพักผ่อนรวมของบ้าน ฝนตกหนักมาก ฟ้าผ่าเปรี้ยงดังสนั่นจนดิฉันสะดุ้งสุดตัว เกือบจะหวีดร้องออกมา เหลียวขวับไปมองดูลูกตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ห่วงใยลูกในทุกเรื่อง ลูกเองก็สะดุ้งสุดตัว หันมามองพ่อกับแม่ทันที คุณพ่อลูกไม่มีปฏิกิริยาที่ผิดปกติแต่อย่างใด คงนั่งดูทีวีต่อไป ส่วนดิฉันในขณะนั้น เกือบจะร้องเรียกให้ลูกเข้ามาใกล้ๆเพื่อโอบกอด แต่มาฉุกคิดได้ว่าควรจะทำทีท่าเป็นปกติเหมือนคุณพ่อต่อไปดีกว่า จึงหันกลับไปดูทีวีต่อ และคอยแอบชำเลืองดูปฏิกิริยาของลูก เมื่อลูกๆเห็นว่า พ่อแม่ดูทีวีกันเป็นปกติ ก็หันกลับไปสนใจสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ต่อไป ไม่แสดงทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด

ดิฉันเลยมาได้คิดว่า เรื่องกลัวผีของลูกเราก็น่าจะได้ใช้วิธีเดียวกันหรือคล้ายกันนี้ การปลอบโยนไม่ได้ผล หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ซึ่งก็ได้เรื่อง ไม่กี่วันต่อมาคุณพ่อของลูกต้องออกต่างจังหวัดหลายวัน ดิฉันอยู่ตามลำพังกับลูกเหมือนเช่นเคย คืนวันนั้นฝนตกหนักอีก เพราะเป็นฤดูฝน ฟ้าร้องฟ้าผ่าเกือบตลอดเวลา ลูกไม่มีปฏิกิริยาที่สะดุ้งกลัวอีกแล้ว แต่คราวนี้หนักกว่าเดิมคือ ไฟฟ้าดับพรึบลงเกือบครึ่งเมือง เพราะฟ้าผ่าหม้อแปลงไฟฟ้าใหญ่ในย่านนั้น ลูกรีบวิ่งเข้ามากอดดิฉันทั้งสองคน แล้วร้องว่าผีมาๆ ดิฉันบอกลูกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่จะจุดเทียนให้ไม่ต้องกลัว เมื่อจุดเทียนแล้วลูกก็ยังกลัวอยู่ไม่ยอมออกห่าง ยังคงกอดแม่ไว้อย่างเหนียวแน่น ดิฉันจึงถามลูกว่า

“หนูเห็นผีอยู่ตรงไหนลูก พาแม่ไปดูหน่อย”

ลูกชี้มือไปที่มุมมืดด้านหนึ่งของบ้าน ทั้งสองคนชี้ไปคนละทาง ดิฉันจึงพูดกับลูกว่า

“งั้นแม่จะเดินไปดูนะว่ามีผีตรงนั้นจริงหรือเปล่า เดี๋ยวแม่จะเอาไม้ไปตีผีให้เจ็บๆ และไล่ผีให้ออกจากบ้านเรา”

ว่าแล้วดิฉันก็หยิบไม้บรรทัดที่วางอยู่ในบริเวณนั้น มาถือไว้มือหนึ่ง อีกมือถือไฟฉาย ขยับจะก้าวเดิน ลูกๆร้องเสียงหลง กอดดิฉันไว้แน่นทั้งสองคน ไม่ยอมให้ก้าวเดิน

“งั้นเราเดินไปดูพร้อมๆกัน” ดิฉันบอก ลูกๆกอดเอวแม่ทั้งสองข้าง ดิฉันถือไฟฉายและไม้บรรทัด เราทั้งสามคนก้าวเดินไปในทางที่ลูกชี้บอกว่ามีผี พอสุดมุมบ้านด้านนั้น ดิฉันเอาไฟฉายส่องกวาดไปช้าๆ แล้วถามลูกว่ามองเห็นผีหรือเปล่า ถ้าเห็นให้บอกแม่ เดี๋ยวเราจะช่วยกันตีผีและไล่ให้ออกไปจากบ้านเรา เมื่อไม่เห็นมีที่มุมด้านนี้ ดิฉันก็ถามลูกอีกว่า ใครเห็นว่ามีผีที่ตรงไหนอีก แล้วเราก็พากันเดินไปทุกที่ๆมีใครชี้บอกว่าเห็นผีอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าเราเดินกันจนทั่วบ้าน ทั้งชั้นบนชั้นล่าง รวมทั้งในส่วนที่ลูกเคยกลัวที่สุด และไม่กล้าเข้าไปในที่นั้นแม้จะเป็นเวลากลางวัน เราก็พากันไปมองหาผี ลูกเริ่มกล้าขึ้นและชักสนุกเพราะเริ่มมีเสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อเดินไปแล้วไม่เห็นผี ต่อมาดิฉันก็เปลี่ยนวิธีใหม่โดยบอกลูกว่า มาแข่งขันกันว่าใครจะตีผีได้มากกว่ากัน ถ้าใครตีผีได้มากกว่า คนนั้นจะเป็นคนเก่งได้รับรางวัล แต่ต้องเดินไปคนเดียว ให้เราทั้งสามคนเดินไปคนละทาง ถือไฟฉายและไม้คนละอันไว้ตีผี ลูกๆนึกสนุกยอมเล่นด้วย คราวนี้ลูกพยายามหามุมที่เรายังไม่ได้ไปกัน ไม่ว่าจะเป็นซอกเล็กซอกน้อยในบ้าน หรือแม้ในตู้เสื้อผ้า ตู้กับข้าว ใต้โต๊ะ ใต้เตียง ตู้ใต้อ่างล้างชาม หรือแม้แต่ในเครื่องซักผ้า ลูกก็ไปเปิดดู ลูกๆเดินกันจนเหนื่อยแล้วกลับมารายงานดิฉันว่า ไม่เห็นมีผีซักกะตัว สงสัยผีจะกลัวพวกเราตีเลยหนีไปหมด ง่วงนอนแล้วไปนอนดีกว่า การเล่นสนุกกับลูกแบบนี้พลอยทำให้ดิฉันหายกลัวผีอย่างเด็ดขาดไปด้วยโดยปริยาย นับเป็นคุณอเนกอนันต์ที่ชักชวนลูกเล่นตีผี

หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็แยกห้องนอนให้ลูกทั้งสองคน ลูกไม่พูดคำว่ากลัวผีให้ได้ยินอีกเลย จนเมื่อเขาโตขึ้นอายุได้ 11 ขวบ และ 9 ขวบตามลำดับ ดิฉันมีน้องชายให้พวกเขาอีกหนึ่งคนชื่อจ๊อบ ใครๆเรียกหลงเอ๋อบ้าง เรียกนายจ๊ากบ้าง สาเหตุที่เรียกหลงเอ๋อ เพราะเป็นลูกหลงอย่างหนึ่ง และอีกเหตุผลหนึ่งคือในขณะนั้นมีภาพยนตร์จีนเรื่องหนึ่ง หลงเอ๋อในเรื่องโด่งดังมากรู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเป็นเด็กฉลาด เลยมีคนเรียกเจ้าลูกชายคนเล็กว่าหลงเอ๋อ ส่วนสาเหตุที่เรียกนายจ๊าก เพราะร้องไห้เก่งและร้องเสียงดังจ๊ากๆ

เมื่อลูกจ็อบเริ่มเข้าโรงเรียน อายุได้ห้าขวบ คำว่ากลัวผีก็เริ่มมาปรากฏให้ได้ยินอีก ลูกคนนี้ไม่กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เพราะเคยชินกับปฏิกิริยาที่เฉยๆของคนในบ้าน ดิฉันจะไม่ผวาไปกอดลูก หรือเรียกขวัญลูก ถ้าลูกจะตกใจในเสียงที่ดังผิดปกติ ให้ลูกรู้สึกถึงความเป็นธรรมดาของเสียงทั้งหลายไม่ว่าจะดังมากขนาดไหน แม้เมื่อลูกยังเป็นเด็กทารกอยู่ เราก็จะไม่พูดจากระซิบกระซาบเพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะผวา ดิฉันจะบอกให้พี่ๆเขาทำตัวเป็นปกติ พูดจากันเป็นปกติ แต่จะให้พวกพี่ๆมีส่วนร่วมในการเลี้ยงน้อง เช่นสอนให้อุ้มน้อง สอนให้ชงนม สอนให้ป้อนนมน้อง แม้แต่สอนให้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้อง พี่ๆทั้งสองคนจึงรู้สึกรักและผูกพันกับน้องคนเล็กมาก

เมื่อพวกพี่ๆได้ยินคำว่ากลัวผีจากน้องเล็ก ก็ชักเดือดร้อน พยายามหาวิธีพูดปลอบโยนให้น้องหายกลัวผี แต่ก็ไม่ได้ผล ลูกๆจึงมาบอกแม่ให้หาวิธีพูดให้น้องหายกลัวผี แม่ลองใช้วิธีเดิมคือ ให้ลูกถือไม้ไปตีผีเหมือนพวกพี่ๆเคยทำมาก่อน ปรากฏว่าเจ้าตัวเล็กไม่ยอมทำ บอกว่ากลัวผีไม่กล้าตี ถ้าตีแล้วเดี๋ยวผีโกรธจะมาหลอกเอา ดิฉันเลยจนปัญญาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

หลายวันต่อมา ดิฉันไปรับลูกจ๊อบเมื่อเลิกเรียนในตอนเย็น เหมือนเช่นเคยเราพูดคุยกันเรื่องที่โรงเรียน ลูกบอกว่าวันนี้คุณครูเล่าเรื่องผี เพื่อนๆกลัวกันมาก ดิฉันก็ถามลูกว่า คุณครูเล่าว่าอย่างไรบ้าง ลูกพยายามเรียบเรียงเรื่องให้ฟัง ตามเนื้อเรื่องแล้วก็ไม่น่ากลัวอะไร แต่เด็กก็คือเด็ก พร้อมที่จะกลัวได้ทุกครั้งถ้าเป็นเรื่องผีๆ ดิฉันจึงถามลูกว่า

“แล้วหนูล่ะ กลัวหรือเปล่า”

“กลัวซิแม่” ลูกพูดพร้อมกับทำท่าห่อไหล่ กอดอก ดิฉันจึงเอ่ยต่อไปว่า

“กลัวทำไม แม่ไม่เห็นผีมันจะน่ากลัวตรงไหนเลย”

“แม่ไม่กลัวผีจริงๆเหรอ”

“ก็จริงนะซิ ผีไม่เห็นน่ากลัวซักกะหน่อย”

“ถ้าแม่เห็นผีเหมือนที่ครูเล่าให้ฟังแล้ว แม่จะวิ่งหนีมั้ย”

“วิ่งหนีทำไม ถ้าแม่เห็นผีเมื่อไรแม่จะเตะผีให้กระเด็นไปเลย” ดิฉันพูดเสียงหนักแน่น เน้นตรงคำว่าเตะให้ดังๆ ลูกจ๊อบมองแม่อย่างทึ่งจัด ถามต่อไปว่า

“แม่กล้าเตะผีด้วยเหรอ แม่ไม่กลัวผีมันหลอกเอาเหรอ”

“กลัวทำไม! แม่ไม่เห็นผีมันจะน่ากลัวซักกะนิด ผีซิที่ต้องกลัวแม่ หนูเห็นมั้ย แม่ไปออกกำลังกายทุกวัน แม่แข็งแรงกว่าผีอีก ถ้าแม่เตะผี มันต้องเจ็บแน่ๆ” เมื่อเห็นลูกนิ่งไปแบบใช้ความคิด ดิฉันจึงถามลูกต่อไปว่า

“เวลาที่แม่ตีหนู ตอนหนูดื้อไม่เชื่อฟังหนูเจ็บมั้ย” ดิฉันปล่อยมือข้างซ้ายจากพวงมาลัยรถ ไปตีที่หน้าขาลูกดังแป๊ะใหญ่ ตั้งใจให้ลูกเจ็บ

“เจ็บซิแม่” ลูกรีบตอบพร้อมกับเอามือคลำๆตรงบริเวณที่แม่แปะแรงๆ ไปหนึ่งที ดิฉันได้ทีจึงพูดต่อไปว่า

“หนูลองคิดดูซิว่ามือแม่เล็กขนาดนี้ตีหนูยังเจ็บ แล้วขาแม่ใหญ่กว่ามือตั้งเยอะแยะ เตะผีมันจะไม่เจ็บได้ยังไง ถ้าหนูเห็นผีเมื่อไรหนูมาบอกแม่นะ แม่จะเตะมันให้เจ็บๆกระเด็นหวือไปไกลๆ ไม่กล้ามาหลอกหนูอีกเลย”

ดิฉันพูดเน้นเสียงหนักแน่น ลูกจ๊อบพยักหน้าหงึกหงักยิ้มรับคำอย่างยินดี

ตั้งแต่นั้นมาถ้ามีใครถามลูกว่า

“น้องจ๊อบกลัวผีมั้ย”

“ไม่กลัว” ลูกจะตอบเสียงหนักแน่น จนคนถามต้องประหลาดใจและอดถามต่อไปไม่ได้ว่า

“ทำไมไม่กลัวผี”

ลูกจะตอบเสียงใสอย่างภาคภูมิใจว่า

“แม่เราเก่งกว่าผี แม่เราเตะผีได้ ผีกลัวแม่เรา”