7. ลูกจ๊อบสอบเข้า ม.1

เกริ่นไว้ตั้งแต่เรื่องก่อนแล้วว่าจะเล่าเรื่องลูกจ๊อบ เจ้าตัวเล็กสอบเข้า มอ.1 แต่ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ก็ต้องนินทาลูกชายคนโตทั้งสองก่อน ตามทำมะเนียม เพราะลูกทั้งสองคนก็ต้องผ่านการสอบเข้าระดับชั้นต่างๆเหมือนกัน ทุกครั้งที่มีการสอบเข้าชั้น ม.1 ของลูกทุกคน แม่แจ๋วจะค่อนข้างเครียด เพราะคิดว่าแค่ผ่านการสอบเข้าครั้งนี้ ก็เกือบเป็นการตัดสินอนาคตของลูกได้เลย และพ่อแม่ก็จะสบายไปอีกหกปี แต่มีหมายเหตุว่าลูกต้องสอบได้โรงเรียนดีและดัง ลูกจึงจะมีอนาคตที่ดี หลายท่านก็คงคิดไม่ต่างกับแม่แจ๋วสักเท่าใดนัก

ดังนั้นการเตรียมลูกเพื่อการแข่งขันจึงต้องทำแต่เนิ่นๆ จำได้ว่าแม่แจ๋วต้องหาโรงเรียนกวดวิชาให้ลูก ตั้งแต่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของการจบชั้น ปอ.5 ก่อนขึ้นเรียนชั้น ปอ.6 และในขณะที่เรียนชั้นประถมหกอยู่นั้นยังต้องให้ลูกกวดวิชาทุกวันเสาร์ในภาคแรกของการเรียน พอเข้าภาคที่สองของชั้น ป.6 ก็ต้องกวดวิชาทุกเย็นหลังเลิกเรียนจากโรงเรียน และพอสอบภาคปลายเสร็จ ก็ต้องเร่งเรียนกวดวิชาอีกประมาณสิบห้าวันก่อนการสอบเข้า ทั้งนี้เป็นไปตามแผนการ “หาเงิน” ของโรงเรียนกวดวิชาทุกแห่ง ฟังดูแล้วชีวิตช่างรันทดซะจริง แต่พ่อแม่เกือบทุกท่านก็ต้องบ้าจี้ไปตามกฎเกณฑ์นั้น แม่แจ๋วเองก็ต้องทำตัวให้ทันสมัยกับเขาโดยบ้าจี้ตามไปด้วยเช่นกัน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกตัวเอง แม้การเลือกโรงเรียนกวดวิชาก็ยังต้องเป็นโรงเรียนดัง และผู้คนให้ความเชื่อถือว่า มีเปอร์เซนต์ในการสอบติดโรงเรียนที่ดีและดังสูงกว่าที่อื่นๆ

ในโรงเรียนกวดวิชาแทบทุกแห่ง จะมีการวัดผลการเรียนของนักเรียนเพื่อแยกชั้นเรียนเหมือนกับโรงเรียนประจำ และอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งแม่แจ๋วคิดเอง ก็คือเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ก่อนว่า ลูกของตนนั้น เรียนดี หรือ เห่ย ขนาดไหน จะได้ทำใจไว้ก่อนว่า ไอ้ที่ลูกคุณสอบเข้าไม่ได้นั้น ไม่ใช่เพราะโรงเรียนกวดวิชาของฉันไม่ดี แต่เพราะลูกของคุณห่วยเองต่างหาก หากเด็กสอบติดโรงเรียนดังผู้ที่ได้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ กลับตกเป็นของโรงเรียนกวดวิชานั้น ซึ่งก็เป็นกติกาที่ทุกคนดูเหมือนจะยอมรับอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อแม่เกือบทุกคนไม่มีปัญญาสอนลูกได้เอง ต้องทำหน้าที่หาเงินมาจ่ายให้โรงเรียนกวดวิชา เรียกว่าทำงานคนละหน้าที่ว่าอย่างนั้นเถอะ เลยต้องยืมมือคนอื่นให้ช่วยจัดการกับลูกของตน ดังนั้นจึงต้องก้มหน้ายอมรับเป็นกติกาของสังคมอย่างไม่มีเงื่อนไข

ผลการสอบของลูกแจ๊คในโรงเรียนกวดวิชาแห่งนั้น ขอเรียกว่า ”โรงเรียนครูนา” (นามสมมติ) ปรากฏว่าลูกสอบได้ที่หนึ่งตลอด เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจของแม่แจ๋ว และเป็นที่คาดหวังของอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนกวดวิชา ในข้อที่ว่าจะเป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนของเขา เพราะอาจารย์กล่าวชื่นชมลูกแจ๊คให้ฟังบ่อย ซึ่งก็ไม่เป็นที่ผิดหวังของทั้งสองฝ่าย ลูกแจ๊คสอบติดโรงเรียนดังย่านลาดพร้าวจริงๆ แม่แจ๋วก็โล่งอกโล่งใจไปสำหรับลูกคนที่หนึ่ง และเมื่อเข้าเรียนจริงที่โรงเรียน ลูกแจ๊คก็เรียนได้ค่อนข้างดีอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่ต้องเล่าเรื่องผลการเรียนที่ดีของลูกแจ๊คในโรงเรียนกวดวิชา ก็ไม่ได้คิดจะอวดอ้างสรรพคุณของลูกแต่อย่างใด แค่เป็นการโยงเรื่องไปยังลูกชายคนที่สองเท่านั้น อีกสองปีต่อมาเมื่อลูกโจ๊กอายุได้สิบเอ็ดปี กำลังจะขึ้นเรียนชั้นประถมหก แม่แจ๋วก็ต้องเตรียมลูกโจ๊กเหมือนกับที่เคยได้ทำกับพี่ชายเขามาแล้ว

เมื่อจูงมือลูกโจ๊กไปพบกับอาจารย์เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาคือตัวครูนาเอง ท่านก็ยินดีอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็นน้องชายของนายแจ๊ค แม่แจ๋วบอกครูนาว่าลูกคนนี้เรียนไม่ค่อยดีนัก และค่อนข้างซนอีกทั้งยังช่างซักช่างถาม ครูนาก็ว่าเป็นธรรมดาของเด็ก ท่านเจอที่ร้ายกาจมากกว่านี้มาเยอะแล้ว ไม่ต้องห่วงท่านจะจัดการให้เอง ถ้าพี่ชายเรียนดีแล้ว น้องชายมันจะแย่ขนาดไหนเชียว ดิฉันก็ยินดีนักรู้สึกชื่นชมอาจารย์ที่เข้าใจเด็กได้ดี สมเป็นอาจารย์โรงเรียนดัง ถ้าใครที่อ่านแม่ช่างคุยเล่มหนึ่งและสอง คงรู้ฤทธิ์ลูกโจ๊กของแม่แจ๋วแล้วว่าแสบขนาดไหน แต่แสบของลูกไม่ได้แปลว่าชอบไปหาเรื่องใครๆนะค่ะ แต่เป็นเด็กช่างซักช่างถาม ช่างหาเหตุผล ถ้าลูกโจ๊กถามอะไรแล้วไม่ได้คำตอบที่จุใจ เธอเป็นต้องซักหาคำตอบอยู่นั่นแล้ว จนกว่าลูกจะได้คำตอบที่เข้าใจได้ เหตุการณ์ก็เป็นปกติได้แค่เดือนเดียว พอเข้าเดือนที่สองของการเรียนกวดวิชา ลูกโจ๊กก็มาบอกว่าไม่อยากเรียนที่โรงเรียนครูนาแล้ว แม่แจ๋วไม่ถามลูกเลยซักคำว่าทำไมถึงไม่อยากเรียน เพียงแค่ได้ยินลูกเอ่ยว่าไม่อยากเรียนโรงเรียนครูนาเท่านั้น แม่แจ๋วก็แหวใส่ลูกทันที

“ไม่ได้ ถ้าไม่เรียนลูกต้องโดนฟาดแน่”

ลูกโจ๊กก้มหน้านิ่งไป ไม่ตอบว่ากระไร เรื่องก็เงียบไปได้อีกหนึ่งเดือน จำได้ว่าวันที่เกิดเหตุนั้นเป็นวันเสาร์ ซึ่งลูกโจ๊กต้องเรียนทั้งรอบเช้าและบ่าย เมื่อไปส่งลูกที่โรงเรียนกวดวิชาในช่วงเช้าซึ่งจะเริ่มเรียนเวลา 8.30 น. แม่แจ๋วก็กลับเข้าทำงานในบริษัท ส่วนลูกแจ๊คและจ๊อบอยู่บ้านเล่นเกมดูทีวี ประมาณเกือบสิบนาฬิกา คุณพ่อรับโทรศัพท์จากอาจารย์เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาที่ลูกโจ๊กเรียนอยู่ สักครู่ก็หันมาทางแม่แจ๋ว เอามือปิดกระบอกโทรศัพท์และถามว่า

“นี่เธอ โจ๊ก โจ๊กกลับถึงบ้านรึยัง”

“เอ๊ะ! ลูกไปเรียนนี่ ยังไม่ใช่เวลาเลิกจะกลับมาทำไม”

แม่แจ๋วสงสัยจึงถามต่อไปว่า

“ใครโทรฯมาล่ะ ครูนาเหรอ มีเรื่องอะไร”

“ไม่รู้สิ เธอมาคุยซิ อาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชาโทรฯมา บอกว่าโจ๊ก โจ๊กมีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ พูดจนชั้นฟังไม่ทัน ชั้นฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง” คุณพ่อยื่นกระบอกโทรศัพท์ส่งให้ ดิฉันก็พูดไปว่า

“มีเรื่องอะไรหรือค่ะครูนา”

“ก็จะถามว่าลูกคุณแม่กลับถึงบ้านหรือยัง”

“ยังไม่เห็นค่ะ ยังไม่เลิกเรียนไม่ใช่หรือคะ”

“แหม! ลูกคุณแม่คนนี้ไม่ไหวจริงๆ ไม่ตั้งใจเรียน ไม่เหมือนพี่ชายเขานะ อาจารย์วิชาสังคมกำลังสอนอยู่ก็ซักก็ถามอยู่นั้นแหละ จนอาจารย์รำคาญไม่เป็นอันได้สอน แถมยังคุยเก่งพูดก็มากจนเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันมาฟ้อง”

“อ้อ! เดี๋ยวดิฉันโทรฯกลับไปนะค่ะ ลูกโจ๊กกลับมาถึงพอดี ขอคุยกับลูกก่อน” ดิฉันวางกระบอกโทรศัพท์ไว้ที่แป้น หันมาทางลูกโจ๊กซึ่งยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงหน้า ดิฉันกอดลูกพาไปนั่งที่โซฟา หยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดจนหมาดแล้วมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูก เมื่อลูกหายร้องสะอื้นแล้วก็ถามขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า

“โจ๊ก โจ๊ก หนูกลับมาทำไม แล้วมายังไงเนี่ยะ ทำไมไม่รอแม่ไปรับตอนเลิกเรียนล่ะ”

ลูกน้ำตาคลอขึ้นมาอีก ตอบเสียงปนสะอื้นว่า

“แม่โจ๊กไม่อยากเรียนที่โรงเรียนครูนาแล้ว โจ๊กยอมให้แม่ตีให้ขาหักเลย แต่โจ๊กจะไม่ไปเรียนอีกแล้ว”

ดิฉันได้ฟังก็สะอึกไป นึกไปถึงตอนแรกที่ลูกมาบอกว่าไม่อยากเรียนโรงเรียนครูนา แทนที่จะถามเหตุผลของลูก กลับบังคับลูกให้ต้องไปเรียน แถมยังคาดโทษลูกอย่างร้ายแรงเสียด้วย มาตอนนี้รู้สึกเสียใจอย่างมาก จึงกอดลูกไว้และพูดด้วยเสียงอ่อนๆว่า

“เรื่องเป็นยังไงล่ะ หนูเล่าให้แม่ฟังซิ”

“ครูนาชอบว่าโจ๊กว่าไม่เอาไหน ไม่เหมือนแจ๊คที่เรียนเก่ง สอบได้คะแนนดีๆ แต่พอโจ๊กบอกครูนาว่าโจ๊กเรียนไม่รู้เรื่อง เพราะนั่งอยู่ข้างหลังห้องเพื่อนชอบคุยกัน โจ๊กขอเปลี่ยนที่นั่งมาข้างหน้าใกล้ๆคุณครู ครูนาก็ไม่ยอม บอกว่าจัดที่นั่งให้ดีแล้ว แต่โจ๊กฟังไม่ค่อยได้ยิน และมองกระดานก็ไม่ค่อยเห็น วันนี้โจ๊กเลยรีบไปจองที่นั่งข้างหน้า เพื่อนผู้หญิงที่เคยนั่งที่ตรงนั้นมาไล่โจ๊ก โจ๊กไม่ยอมลุก เขาก็ไปฟ้องครูนา ครูนาก็มาด่าโจ๊กว่าเรียนไม่เก่งแล้วยังเรื่องมาก ไม่เหมือนพี่ชายเรียนเก่งและไม่พูดมาก”

“ก็ทำไมครูนาถึงว่าโจ๊กว่าพูดมากล่ะ เวลาคุณครูสอนอยู่หนูไปชวนเพื่อนคุยหรือยังไง”

“โจ๊กไม่ได้ชวนเพื่อนคุย แต่โจ๊กเรียนไม่เข้าใจ โจ๊กก็ถามคุณครู ครูอธิบายแล้วโจ๊กก็ยังไม่เข้าใจ โจ๊กก็ถามอีก ครูอธิบายโจ๊กก็ยังไม่เข้าใจอีก คุณครูที่สอนก็หาว่าโจ๊กคิดจะแกล้งถามกวนครู เขาเลยไล่โจ๊กออกไปยืนนอกห้องเรียน พอโจ๊กออกไปยืน เพื่อนๆก็หัวเราะโจ๊กกันใหญ่ โจ๊กอายเพื่อน โจ๊กไม่อยากเรียนแล้วก็เลยเดินออกมาขึ้นรถเมล์กลับบ้าน แม่! โจ๊กไม่ไปเรียนที่โรงเรียนครูนาอีกแล้ว ชอบเอาโจ๊กไปเปรียบเทียบกับแจ๊คเรื่อยเลย”

“หนูเรียนวิชาอะไรล่ะที่ว่าไม่เข้าใจนะ”

“วิชาสังคม ครูที่สอนเป็นผู้หญิงอายุมากกว่าแม่อีก”

“ก็ลูกทำไมไม่เก็บไว้ถามตอนเลิกเรียนล่ะ”

“พอครูสอนจบก็รีบเดินออกไปนอกห้อง พอโจ๊กเดินตามไปถามครู ครูก็บอกว่าไม่มีเวลาต้องรีบไปสอนชั้นอื่น”

ได้ฟังลูกพูดอย่างนี้ ดิฉันพอเดาเหตุการณ์ออก ครูที่สอนในโรงเรียนกวดวิชามีหน้าที่แค่มาพูดให้ได้เนื้อหามากที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่มาสอนอย่างการเรียนในโรงเรียนจริงๆ เพราะระยะเวลาการเรียนค่อนข้างสั้น การที่เด็กไม่เข้าใจบทเรียนและมาซักถาม จึงเป็นเรื่องเสียเวลาอย่างยิ่ง ยิ่งมาซักถามมากในเวลาเรียน ก็จะทำให้การสอนต้องล่าช้าไปอีก และเนื้อหาของวิชาก็จะได้ไม่ครบตามที่เจ้าของโรงเรียนกำหนดมา ส่วนลูกโจ๊กนั้นก็ช่างซักถามตามนิสัยของตัวเอง คือถ้าไม่เข้าใจอะไรแล้ว เป็นต้องซักให้ขาวให้ได้ ดิฉันเข้าใจลูกดี จึงถามต่อไปว่า

“แล้วใครล่ะที่ชอบเปรียบเทียบการเรียนของลูกกับเฮียแจ๊ค”

“ก็ครูนาแหละแม่ เจอหน้าโจ๊กทีไรก็ว่าโจ๊กไม่เก่งเหมือนพี่ชาย สู้แจ๊คไม่ได้ แจ๊คตั้งใจเรียนกว่า เก่งกว่า ดีกว่า อนาคตของโจ๊กต้องแย่มาก โจ๊กไม่มีทางได้ดีเหมือนแจ๊ค เพราะโจ๊กไม่เอาไหน ชอบพูดมาก โจ๊กไม่อยากไปเรียนที่โรงเรียนครูนาอีกแล้ว”

เสียงนายโจ๊กบอกความเคืองใจอย่างยิ่ง ดิฉันได้ฟังดังนั้นก็สงสารลูกจับใจ นึกไม่พอใจครูนาอย่างมาก และคิดว่าต้องคุยกับครูนาเรื่องที่เอาลูกโจ๊กไปเปรียบเทียบกับพี่ชายเขาให้ได้ แต่ตอนนี้ต้องปลอบใจลูกก่อน จึงพูดขึ้นว่า

“ไม่จริงหรอกลูกที่ครูนาว่าหนูนะ เพราะเขาไม่รู้จักหนูดีนะสิ อันที่จริงลูกทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะที่พี่แจ๊คทำไม่ได้ อย่างเช่นที่หนูเล่านิทานให้แม่กับพี่แจ๊คฟังในรถทุกวัน เป็นเรื่องที่ลูกคิดขึ้นเองด้วยไง และยังมีที่หนูแต่งเรื่องนิทานตั้งหลายๆเรื่อง ไปเล่าให้เพื่อนๆที่โรงเรียนฟัง จนเพื่อนๆติดใจกัน จำได้มั้ย! หนูยังมาขอให้แม่ซื้อสมุดวาดเขียน วาดภาพการ์ตูนไปขายเพื่อนๆไง เรื่องนี้พี่แจ๊คก็ทำไม่ได้ แล้วตอนที่โจ๊กเรียนอยู่ชั้น ป.5 หนูก็เป็นหัวหน้ากลุ่มแสดงละครในห้อง แถมยังแต่งเรื่องเองให้เพื่อนๆได้ร่วมแสดงด้วย หรืออย่างตอนที่ลูกอายุเจ็ดขวบเรียนอยู่แค่ชั้น ป.2 เอง ลูกก็เก่งมาก ประกอบพัดลมตั้งโต๊ะได้เองโดยไม่มีใครสอน เห็นมั้ยหนูทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ แม่ยังแอบเอาลูกไปชมให้เพื่อนแม่ฟังบ่อยๆเลย”

ลูกโจ๊กมีสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้น แต่ก็ยังไม่วายพูดขึ้นว่า

“แต่โจ๊กเรียนไม่เก่งเหมือนแจ๊คนี่แม่”

“อ๋อ! คนเราเก่งไม่เหมือนกันนะลูก อย่างหนูชอบประดิษฐ์ของเล่นอะไรเยอะแยะ แต่เฮียแจ๊คไม่ชอบเลย ชอบแต่ดูหนังสือ หรือที่ลูกชอบเลี้ยงสัตว์ แถมก่อนเลี้ยงก็ยังหาความรู้เรื่องสัตว์นั้นๆอีก เฮียแจ๊คก็ไม่ได้ทำอย่างที่ลูกทำ เห็นมั้ยคนเราต่างกันนะ แต่ถ้าหนูอยากจะเรียนเก่งอย่างเฮียแจ๊คก็ทำได้ไม่ยาก แค่ลูกตั้งใจเรียนและขยันดูหนังสือ แม่ว่าหนูต้องทำได้ และแม่ก็เชื่อว่าลูกทำได้”

“แม่! โจ๊กกลัวสอบเข้า มอ.1 ไม่ได้ แม่หาโรงเรียนกวดวิชาให้โจ๊กใหม่ได้มั้ยล่ะ แต่ไม่เอาโรงเรียนครูนาแล้วนะ”

“ให้แม่คุยกับครูนาก่อนได้มั้ย แล้วแม่จะให้คำตอบลูกอีกที เผื่อคุณครูจะเข้าใจอะไรหนูผิดๆ แม่จะได้พูดให้ครูนาเข้าใจไง”

“แต่ยังไงโจ๊กก็ไม่เอาโรงเรียนครูนา”

ลูกโจ๊กยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว ดิฉันคิดว่าลูกคงเจ็บปวดกับคำพูดของครูนามาก รู้สึกสงสารลูกจริงๆ จึงพูดขึ้นว่า

“เดี๋ยวแม่จะลองหาดูก่อนว่า จะมีโรงเรียนกวดวิชาที่ไหนอีก ที่ใกล้หน่อย จะได้เดินทางไม่ลำบาก”

ดิฉันโทรศัพท์กลับไปหาครูนา เพื่อซักถามรายละเอียดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่แค่คำพูดแรกของครูนา ก็ทำให้แม่แจ๋วตัดสินใจได้ทันทีที่จะไม่ส่งลูกกลับไปเรียนอีก

“ลูกคุณแม่คนนี้ร้ายนะค่ะ เรียนก็ไม่เก่งสู้พี่ชายเขาก็ไม่ได้ รายนั้นเรียนเก่งกว่าเยอะ และยังไม่พูดมากคุยมาก”

“คุณครูสอนหนังสือมานานกี่ปีแล้วค่ะ”

“อู๊ย! ตั้งแต่เรียนจบมาเลยค่ะ อาจารย์ก็สอนที่โรงเรียน…..มาตลอดเกือบยี่สิบปีแล้ว” ครูนาเอ่ยชื่อโรงเรียนดังที่เธอสอนอยู่อย่างภาคภูมิใจ และยังเป็นโรงเรียนที่ซึ่งลูกแจ๊คสอบติดไปแล้ว และกำลังเรียนอยู่ชั้น มอ.2

“คุณครูเป็นครูมาตั้งนานไม่รู้หรือค่ะว่า เด็กมีความสามารถ ความรู้ ความเก่งไม่เหมือนกัน ครูมีสิทธิ์อะไรมาเปรียบเทียบลูกดิฉันว่าใครดี ใครไม่ดี ใครเก่งกว่า ใครแย่กว่า”

ครูนาตกใจ แต่ก็ยังปากแข็งเอ่ยเสียงแข็งขึ้นว่า

“แต่คุณแม่ค่ะ อาจารย์ก็เปรียบเทียบลูกคุณแม่กับพี่ชายเขาเองนะคะ ไม่ได้ไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่น”

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ คุณครูลองยกมือตัวเองขึ้นดูซิคะว่านิ้วมือตัวเองยาวเท่ากันมั้ย ลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกัน ยิ่งคุณครูเปรียบเทียบกับพี่ชายเขา พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน เห็นหน้ากันทุกครั้ง คำพูดของคุณครูก็ยิ่งตอกย้ำเป็นปมด้อยให้ลูกดิฉันมากขึ้น อันที่จริงลูกเคยบอกดิฉันตั้งนานแล้วว่า ไม่อยากเรียนโรงเรียนครูนา ดิฉันไม่เคยถามเหตุผลลูก แถมยังคาดโทษลูกผิดๆ บังคับให้ไปเรียนให้ได้ แต่ตอนนี้ดิฉันเข้าใจดีแล้ว เพียงแค่คำพูดแบบนี้ของคุณครู ก็ทำให้ดิฉันเห็นด้วยกับลูกอย่างยิ่งที่จะไม่ไปเรียนที่โรงเรียนของคุณครูอีก”

“แต่คุณแม่ อาจารย์กำลังจะบอกให้ว่าเวลากฤชอยู่ที่โรงเรียน เขาร้ายกาจอย่างไรบ้าง” ครูนารีบพูดสวนมาเสียงแข็ง

“ก็เขาร้ายยังไงล่ะ เขาไปเที่ยวชกต่อยทำร้ายใครหรืออย่างไร”

ดิฉันถามกลับไปเสียงเย็นเรียบ

“ถ้าเป็นอย่างนั้น อาจารย์คงไล่ออกไปแล้วล่ะ ไม่ต้องมาพูดกับคุณแม่ แต่นี่อาจารย์ยังเห็นแก่ลูกคนก่อนของคุณแม่ นายบัณฑิตนะ ที่เรียนดีและอยู่ที่โรงเรียนใหญ่ก็ตั้งใจเรียน ไม่พูดมากคุยมาก ถึงอยากบอกให้คุณแม่รู้ไว้ว่า นายกฤชไม่เหมือนพี่ชาย เขามีพฤติกรรมอะไรบ้างเวลาอยู่ในโรงเรียน เขาพูดมาก ชอบแซวครูเวลาสอน จนเพื่อนรำคาญมาฟ้องอาจารย์”

“แล้วคุณครูก็เชื่อเพื่อนนายกฤช โดยไม่เคยเอาตัวลูกดิฉันมาซักถามเลยหรือ ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร พอเพื่อนนายกฤชมาฟ้อง คุณครูไม่ต้องสอบสวนก่อนหรือค่ะ”

“แต่คนที่มาบอกนั้นเป็นเด็กผู้หญิงแล้วเรียนมานาน อาจารย์รู้จักเขาดี เขาไม่โกหกหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าลูกดิฉันโกหกใช่มั้ยค่ะ” เสียงแม่แจ๋วถามกลับค่อนข้างดังและสั่นด้วยความโกรธที่พลุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ

“คุณครูสังคมก็มาฟ้องเหมือนกันว่านายกฤชชอบถามแทรกเวลาสอน ทำให้การสอนขาดตอนไม่ต่อเนื่อง และเป็นการรบกวนสมาธิเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน จนเพื่อนๆรำคาญ” ครูนาพูดสวนกลับมาทันควัน

“แล้วครูนาไม่คิดหรือคะว่า ทำไมลูกดิฉันต้องถามแทรกกลางคัน ถ้าคุณครูสอนให้นักเรียนรู้เรื่องได้ดี ใครจะไปถามคะ แล้วการที่ครูวิชาสังคมไปฟ้องครูนา ดิฉันว่าเป็นเรื่องที่ครูนาต้องพิจารณาครูของตัวเอง ไม่ใช่มาโกรธลูกดิฉันที่ไปซักถามครูเพราะสอนไม่รู้เรื่อง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ จะกลายเป็นผู้ใหญ่มาทะเลาะกันเสียเปล่า ลูกดิฉันไม่อยากไปเรียนที่โรงเรียนครูนาอีกแล้ว ดิฉันก็เลยจะขอลาเอาลูกออกมาเลยก็แล้วกัน”

“อาจารย์ก็ว่าจะบอกคุณแม่ว่า ไม่อยากให้ลูกคุณแม่กลับเข้าไปเรียนอีก แต่ที่โทรฯมาเพราะเป็นห่วง กลัวคุณแม่จะไม่รู้ว่านายกฤชเวลาอยู่ที่โรงเรียนร้ายยังไงบ้าง”

ดิฉันตอบไปสั้นๆว่า

“ดีค่ะ สวัสดี” ก็จะให้พูดอะไรได้มากไปกว่านี้อีก จากคำพูดประโยคสุดท้ายของครูนา ดิฉันรู้ดีว่าจะพูดไปอีกอย่างไร เธอก็จะไม่มีวันเข้าใจเด็กได้ เพราะอาชีพของเธอคือการหารายได้จากการเรียนของเด็ก ไม่มีหน้าที่และเวลาที่จะมานั่งแก้ปัญหาให้ใครๆ ดังนั้นถ้ามีเด็กที่เป็นอย่างลูกแม่แจ๋ว เธอจึงต้องรีบจัดการซะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาใดๆทั้งสิ้น และการสอนในโรงเรียนกวดวิชาของเธอ ก็คือการยัดเยียดวิชาให้เด็กให้มากที่สุด ต้องการผลแค่จากการสอบเข้าโรงเรียนดังให้ได้มากที่สุดเท่านั้น ไม่ใช่วิสัยครูที่แท้จริง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อไปอีก

อันที่จริงถ้ามาคิดดูแล้ว บางทีจะโทษครูนาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก หากหลักสูตรการเรียนการสอนไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ ที่เด็กๆต้องมาแข่งขันกัน และพ่อแม่ต้องมาหาสิ่งที่คิดว่า “ดีที่สุด” สำหรับลูกตนเองในแบบอย่างที่เหมือนๆกัน อะไรหลายๆอย่างก็คงจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จะมีใครอาจสามารถมาเปลี่ยนได้เล่า เฮ้อ! บ่นไปก็เท่านั้น เพราะแม่แจ๋วก็เป็นสัตว์สังคมตัวกระจิ๋ว ที่ได้แต่บ่น แต่ก็ต้องเป็นไปตามแบบฉบับของสังคม แสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับลูกตัวเองเหมือนกัน เลยต้องออกหาโรงเรียนกวดวิชาใหม่ให้ลูก ได้โรงเรียนใกล้บ้านเพิ่งก่อตั้งได้เพียงปีเศษ

ดิฉันมองข้ามโรงเรียนกวดวิชาแห่งนี้ไปตั้งแต่แรก เพราะสถานที่แห่งนี้ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในตอนนั้น เจ้าของโรงเรียนเป็นชาย ท่าทางใจดีมีเมตตา เมื่อไปแจ้งความจำนงและเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ อาจารย์ก็เข้าใจได้ดีและรับลูกโจ๊กไว้เรียนทันที ลูกมีความสุขกับการเรียนที่นี่มาก คำพูดของลูกโจ๊กที่บอกกับดิฉันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บอกความเด็ดเดี่ยวและตั้งใจจริง ซึ่งดิฉันยังจำได้จนบัดนี้คือ

“แม่คอยดูนะ โจ๊กจะตั้งใจเรียนและสอบให้ได้ ถึงแม้โจ๊กจะไม่ได้เรียนในโรงเรียนที่ครูนาสอนอยู่ แต่โจ๊กก็จะต้องสอบให้ติดมหาวิทยาลัยดังๆให้ได้ โจ๊กจะต้องมีอนาคตที่ดีเพื่อลบล้างคำพูดของครูนา”

ลูกโจ๊กตั้งอกตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี แต่ยังคงยืนยันที่จะไม่สอบเข้าโรงเรียนชื่อดังย่านลาดพร้าวที่ครูนาสอนอยู่นั้น ภายหลังลูกสอบได้โรงเรียนในเครือของโรงเรียนชื่อดังแห่งนั้น ซึ่งกระจายสาขามาตั้งอยู่ในทำเลใกล้บ้าน ลูกเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นจนจบชั้น ม.6 ด้วยคะแนนที่ค่อนข้างดี และไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สมความตั้งใจ ตามที่คุณๆได้ทราบจากหนังสือเล่มแรกๆของแม่แจ๋วไปแล้ว ก่อนที่แม่แจ๋วจะเขียนเรื่องนี้ ได้คุยกับลูกโจ๊กว่าจะเอาเรื่องนี้ไปเขียนให้เพื่อนๆแม่อ่าน ตอนนี้ลูกจบมหาวิทยาลัยและทำงานแล้ว ลูกอนุญาตและบอกให้แม่เขียนไปเลย เพราะลูกยังจำได้ถึงคำพูดของครูนาที่พูดกับลูก และรู้ว่ามันผิดที่เอาพี่น้องไปเปรียบเทียบกัน ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ชัดว่า แม้เป็นพี่น้องกันแต่ก็ต่างกันมากในทุกๆด้าน และที่ครูนาเคยพูดว่าลูกโจ๊กจะไม่มีอนาคตที่ดีนั้น บัดนี้ลูกก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ”ลูกทำได้”และลบล้างคำพูดของครูนาไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ก็คงต้องจบเรื่องของลูกชายคนโตทั้งสองเพียงเท่านี้ เพราะจุดหมายของเรื่องนี้อยู่ที่การสอบเข้า มอ.1 ของเจ้าตัวเล็กต่างหาก

คราวนี้ถึงคิวลูกจ๊อบ สอบเข้า มอ.1 บ้าง งวดนี้แม่แจ๋วมีคนช่วยคิดตั้งสองคนคือพี่แจ๊คกับพี่โจ๊ก ทั้งสองคนแนะนำให้เข้าโรงเรียนที่พี่แจ๊คเคยเรียน เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงก็ยังดีกว่า แม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปี ส่วนโรงเรียนที่พี่โจ๊กเคยเรียนและอยู่ใกล้บ้านนั้น พี่โจ๊กว่าเวลามันผ่านไปนาน ครูดีๆที่ลูกเคยเรียนด้วยนั้น ก็ลาออกไปหรือย้ายไปสอนที่สาขาอื่นหลายท่าน แถมผู้อำนวยการโรงเรียนที่ดีท่านนั้น ซึ่งเคยทำงานอยู่ในสมัยที่พี่โจ๊กเรียนอยู่ ก็ย้ายไปที่อื่นแล้วเช่นกัน ทำให้ยิ่งไม่แน่ใจว่าจะดีเหมือนกับสมัยที่เคยเรียนหรือเปล่า รวมทั้งปัจจุบันมีร้านเกมและคาราโอเกะมาตั้งอยู่ใกล้ๆโรงเรียน ข่าวคราวเรื่องนักเรียนหนีโรงเรียนและไปมั่วสุมตามแหล่งอบายมุขค่อนข้างหนาหู พี่ๆไม่อยากให้น้องต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น งวดนี้พี่โจ๊กจึงสนับสนุนให้เรียนที่โรงเรียนดังย่านลาดพร้าวที่พี่แจ๊คเคยเรียน

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าที่แห่งไหน ยิ่งเป็นแหล่งชุมชนโดยเฉพาะสถานที่ที่มีเด็กนักเรียนหรือนักศึกษา เจ้าของร้านเกมหรือร้านอบายมุขอื่นๆมักเข้าไปตั้งอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูดซับเอาเงินจากเด็กๆที่ทำมาหากินเองไม่ได้ ต้องแบมือขอจากพ่อแม่ จึงใช้เงินแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แท้จริงแล้วแม่แจ๋วไม่กังวลเรื่องนี้เท่าใดนัก เพราะดูแลลูกๆใกล้ชิดตลอดมา ถ้าใครได้อ่านเรื่องของแม่แจ๋ว คงจำได้ที่แม่แจ๋วสอนลูกเรื่องการใช้เงินอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องนี้เมื่อมาถึงลูกจ๊อบ มาตรการต่างๆที่เคยใช้ได้ผลกับพวกพี่ๆ จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง และผลก็เป็นเช่นเดียวกับสมัยที่พี่ๆเขาเคยเป็น แม่แจ๋วค่อนข้างมั่นใจว่าลูกๆรู้จักใช้เงิน และสามารถแยกแยะผิดถูกชั่วดีได้พอสมควร

อันที่จริงลูกจ๊อบมีสิทธิหลายอย่าง ตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการสอบเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน แต่ถ้าลูกสละสิทธิ์นั้น และไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นซึ่งเป็นโรงเรียนนอกเขตที่อยู่อาศัย โอกาสและสิทธินั้นก็จะหมดไป จะนับเป็นความโชคดีของแม่แจ๋วก็ได้ที่ลูกๆเรียนได้ค่อนข้างดีทุกคน แม่แจ๋วจึงต้องถามความสมัครใจของลูกจ๊อบว่าเจ้าตัวต้องการเรียนที่โรงเรียนแห่งไหน โดยบอกเรื่องสิทธิต่างๆเกี่ยวกับโรงเรียนใกล้บ้านให้ลูกได้รู้ด้วย ลูกจ๊อบตอบว่า

“เราจะสอบเข้าบดินทร์ใหญ่”

“ลูกคิดให้ดีนะ ถ้าลูกจะสอบเข้าบดินทร์ใหญ่ ลูกต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าของการสอบเข้าบดินทร์สอง ที่เฮียโจ๊กเคยเรียน และที่นี่ถ้าสอบไม่ได้ หนูยังมีโอกาสได้จับฉลาก และสอบแก้ตัวได้ แต่ถ้าสอบบดินทร์ใหญ่ สิทธิทั้งหลายจะหมดไปทันที เพราะทางโรงเรียนจะถือว่าลูกเป็นเด็กนอกเขต ถ้าสอบไม่ได้จะไม่มีการสอบแก้ตัวอีกทั้งสองแห่ง”

ลูกจ๊อบยืนยันคำเดิม

“เราจะสอบบดินทร์ใหญ่”

“หนูยอมเหนื่อยใช่มั้ย ลูกต้องดูหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านะ เพราะคนที่จะมาสอบที่บดินทร์ใหญ่ จะต้องเป็นเด็กเก่งจากโรงเรียนต่างๆเท่านั้นจึงจะกล้ามาสอบ การแข่งขันก็จะสูงมาก คะแนนคงถี่ยิบแทบไม่ต่างกัน ไม่แน่ว่าถึงจะสอบได้คะแนนสูงมากแต่อาจไม่ติดก็ได้นะ และถ้าสอบไม่ติด แม่ไม่มีปัญญาที่จะไปคุยกับผู้อำนวยการเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆนะ และก็ไม่มีเงินมากพอที่จะบำรุงโรงเรียนด้วย”

ลูกจ๊อบยืนยันเด็ดเดี่ยว

“เราจะสอบบดินทร์ใหญ่”

“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโรงเรียนกวดวิชา ถ้าหนูเรียนโรงเรียนกวดวิชาที่เฮียโจ๊กเคยเรียน ก็อยู่ใกล้บ้าน ตอนนี้มีถนนตัดใหม่แล้ว ลูกเดินไปเรียนเองได้ แต่ที่นี่ไม่เน้นบดินทร์ใหญ่นะ เน้นแต่บดินทร์สองที่เฮียโจ๊กเคยเรียน และถ้าลูกอยากสอบให้ได้บดินทร์ใหญ่จริงๆ แม่ว่าหนูน่าจะไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาแถวลาดพร้าวที่อยู่ใกล้บดินทร์ใหญ่ แต่จะเดินทางลำบากหน่อยเพราะต้องนั่งรถเมล์ไปเอง หรือถ้าจะให้แม่ไปส่ง แม่อาจไปส่งไม่ได้ทุกครั้งนะ”

ดิฉันไม่แนะนำโรงเรียนกวดวิชาครูนาให้ลูกจ๊อบ เพราะนายโจ๊กรีบบอกแต่แรกเลยว่า ไม่อยากให้แม่พาน้องไปที่นั่น ไม่อยากให้น้องได้เจออย่างที่เขาเคยเจอมาแล้ว แสดงว่าคำพูดครูนายังฝังใจลูกโจ๊กอยู่มาก ก็โชคดีไปที่นายจ๊อบยืนยันว่าจะเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนใกล้บ้าน และเป็นแห่งเดียวกับที่พี่โจ๊กเคยเรียนมาแล้ว และคงจะสอบเข้าบดินทร์ใหญ่ตามความตั้งใจเดิม การสอบของลูกจ๊อบครั้งนี้ต่างกับการสอบของพี่ชายทั้งสอง ตรงที่มีการสอบ“gifted”ความหมายก็คือ การสอบคัดเอาเด็กที่เก่งพิเศษในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์รอบแรกก่อน วิชาละหนึ่งห้องเรียนซึ่งจะรับนักเรียนได้ห้องละ 36 คน การเรียนก็จะเน้นหนักในวิชานั้นๆกับเด็กที่สอบได้ และการสอบคัดเลือกจะสอบเพียงวิชาเดียวเท่านั้น แต่วิชาเดียวนี่แหละ ต้องสอบถึงสามชั่วโมง แสดงว่าข้อสอบต้องยากมากๆ พ่อแม่โดยส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ลูกสอบ “gifted” ก่อนหนึ่งรอบ ซึ่งแม่แจ๋วเองก็คิดเหมือนๆคนอื่น ถือเป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจของลูกเป็นครั้งแรก แม้จะสอบไม่ติดในรอบนี้ก็ยังมีการสอบรอบที่สอง คือการสอบทั่วไปให้ได้แก้ตัวกันอีกครั้ง ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสแก่เด็กๆได้ชิมลางกับข้อสอบก่อน

เมื่อตกลงกันได้ก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง ถึงเวลาที่จะไปสมัครสอบรอบแรกคือ “gifted” นายจ๊อบยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสอบอะไรดี ดิฉันไม่ห่วงนักเพราะลูกเรียนได้ค่อนข้างดีทุกวิชา โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ อังกฤษและวิทยาศาสตร์ อันที่จริงในใจก็คิดไว้ว่าไม่อยากให้ลูกสอบติดรอบแรก หรือถ้าสอบติดก็คงจะแนะนำลูกให้สละสิทธิ์ และรอสอบรอบทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการเรียนแบบเน้นไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์นั้น ลูกอาจต้องเรียนแบบเคร่งเครียดเกินไป เพราะนอกจากเด็กที่สอบติดได้นั้นต้องเก่งมากๆแล้ว เวลาเรียนก็ต้องมีการแข่งขันกันสูงมากแน่นอน ซึ่งจะทำให้ลูกไม่มีความสุขกับการเรียน จนถึงวันที่ไปสมัครสอบลูกจึงตัดสินใจที่จะเลือกสอบ “gifted คณิตศาสตร์” พอแม่แจ๋วถามเหตุผลลูกว่าทำไมจึงเลือกเช่นนั้น คำตอบคือ

“เราไม่อยากดูหนังสือเยอะเกิน เพราะถ้าสอบ gifted วิทย์ ต้องดูหลายวิชามีทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และวิทย์ทั่วไป แต่สอบคณิตฯดูแค่วิชาเดียวก็พอ”

“แม่ว่าเหตุผลหนูมันแปลกๆอยู่นะ ฟังดูมันไม่ใช่เหตุผลอันสมควรยังไงก็ไม่รู้ มันกลายเป็นเรื่องขยันกับขี้เกียจไปซะยังงั้น”

นายจ๊อบนิ่งเฉยกับคำติงเตือนของแม่แจ๋ว แต่ดิฉันก็ไม่ได้เซ้าซี้ลูกแต่อย่างใด คิดว่าเมื่อให้เขาตัดสินใจเองแล้วก็ต้องเคารพความคิดและการกระทำของลูก อีกทั้งการสอบก็มีสองรอบ ดังนั้นการสอบรอบนี้ของลูก แม่แจ๋วจึงรู้สึกสบายๆ ถึงวันสอบจริง จำนวนเด็กที่ไปสอบมากขนาดเกือบสิบต่อหนึ่ง เกินความคาดหมายไปมาก แต่ก็ไม่วิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะในใจคิดแต่ว่าถึงลูกจะสอบติด ก็คงไม่อยากให้ลูกเรียน ดูแววแล้วมีแต่เด็กเก่งๆทั้งนั้น เวลาเรียนคงกดดันและแข่งขันกันมาก ก่อนลูกเข้าห้องสอบแม่แจ๋วกอดลูกและให้พรพร้อมกับขอให้ลูกตั้งสติให้ดี พอส่งลูกเข้าห้องสอบแล้ว ก็ไม่ได้นั่งรอลูกเหมือนผู้ปกครองท่านอื่นๆ ขับรถย้อนกลับไปที่สวนสาธารณะที่เคยออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อนฝูงเจ้าประจำรอกันเต็มสนาม สอบถามเรื่องการไปส่งลูก แม่แจ๋วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสสบายอกสบายใจ ได้แต่บอกเพื่อนๆว่า เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงครึ่งจึงจะขับรถกลับไปรับลูก

สองสัปดาห์ต่อมา พอผลสอบรอบแรกประกาศออกมาเท่านั้น แม่แจ๋วเริ่มเครียดทันที เพราะนอกจากลูกจะสอบไม่ติดแล้ว คะแนนที่ประกาศออกมาก็น้อยเกินความคาดหมาย ทำให้แม่แจ๋วเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาทันทีว่า ถ้าลูกจ๊อบจะไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์อย่างที่คิดซะแล้ว เพราะคะแนนของลูกออกมาน้อยเกินไปในความรู้สึกของแม่แจ๋ว แต่พอนึกได้ถึงข้อสอบที่ลูกได้สอบไปแล้วนั้น ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคะแนนสอบของลูก

ลูกจ๊อบมีนิสัยที่แก้ไม่หายอย่างหนึ่งคือ เขียนหนังสือตัวเล็กมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือ จะพูดว่าตัวกระจิ๋วก็ไม่ผิดเลยทีเดียว หลายครั้งที่แม่แจ๋วดูสมุดจดวิชาการเรียนของลูกยังอ่านตัวเลขหรือตัวหนังสือถูกๆผิดๆ ติงเตือนไปก็ทุกครั้ง แต่ลูกก็ไม่ยอมแก้ไข และการสอบครั้งนี้นอกจากจะมีข้อสอบปรนัยสามสิบข้อ ข้อละหนึ่งคะแนนแล้ว ยังมีข้อสอบอัตนัยคือการเติมคำตอบอีกยี่สิบข้อ ข้อละสองคะแนน ซึ่งการประกาศผลสอบก็แยกคะแนนทั้งสองส่วนอย่างชัดเจน ปรากฏว่าข้อสอบปรนัยลูกได้คะแนนค่อนข้างสูง แต่ข้อสอบอัตนัยกลับได้คะแนนต่ำมากจนไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่เมื่อลูกออกจากห้องสอบมา แม่แจ๋วได้ถามลูกแล้วว่าทำข้อสอบได้มั้ย ลูกเองก็ตอบว่าทำได้ไม่ยากเท่าไร แต่คะแนนที่น้อยเกินไป ทำให้เกินข้อกังขา จึงให้ลูกลองเขียนเลขหนึ่งถึงสิบตัวอาราบิคให้ดู แม่แจ๋วก็ถึงบางอ้อ เพราะนอกจากตัวเลขจะเล็กจิ๋วแล้ว เลขหนึ่งกับเจ็ดนั้นแทบไม่ต่างกัน เลขห้ากับเลขสามก็คล้ายกันมาก เลขเก้าไปตวัดหางจนคล้ายเลขสอง และเลขหกก็แทบมองไม่เห็นหัวกลมๆ มองเผินๆดูเป็นเลขหนึ่งไปก็ได้ เห็นอย่างนั้นแม่แจ๋วก็นึกโกรธลูก พูดขึ้นว่า

“จ๊อบแม่รู้แล้ว ทำไมลูกถึงได้คะแนนข้อสอบเติมคำน้อยนัก แม่ว่าสงสัยครูจะไม่ตรวจข้อสอบให้ลูกเลยก็ได้ หรือไม่ก็คุณครูอาจจะอ่านตัวเลขของหนูผิดไป หนูมาดูตัวเลขที่หนูเขียนซิ แม่เคยเตือนหลายครั้งแล้ว ทำไมลูกไม่แก้ไข นอกจากจะตัวเล็กจิ๋วแล้ว ยังต้องมานั่งเดาอีกว่าเลขที่หนูเขียนนั้นมันเลขอะไรกันแน่ ถ้าแม่เป็นครูที่ตรวจข้อสอบแม่คงกาผิดให้ลูกทุกข้อเลย เพราะขี้เกียจเสียเวลามานั่งเดาตัวเลข เด็กที่มาสอบก็มีเยอะแยะ เก่งๆทั้งนั้น เด็กคนไหนทำข้อสอบไม่ชัดเจนก็กากบาทไปเลย ไม่ต้องเสียเวลา นี่ดีนะเป็นสอบรอบแรก ยังมีรอบที่สองให้หนูได้แก้ตัวอีก แต่ถ้าหนูไม่แก้ไขตัวเอง ไม่มีใครช่วยลูกได้อีกแล้วนะ”

ดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายทั้งสองของลูกฟัง เขาทั้งสองก็อบรมน้องเป็นการใหญ่ พี่แจ๊คบอกว่า

“ตอนที่เฮียแจ๊คสอบเข้ามหาวิทยาลัย จำนวนคนสอบมากเป็นหลายๆหมื่น เฮียแจ๊คก็เขียนหนังสือและตัวเลขตัวโตๆและชัดเจนมาก เพราะกลัวว่าอาจารย์ดูไม่รู้เรื่องแล้ว อาจไม่ตรวจข้อสอบให้ นี่เขียนตัวขนาดนี้นี่” ว่าแล้วพี่แจ๊คก็คว้าปากกาและกระดาษมาเขียนให้น้องดู โดยเฉพาะตัวเลขตั้งแต่เลขศูนย์ถึงเก้า นายจ๊อบเองก็รับปากกับพี่ชายว่าจะปรับปรุงการเขียนของตนเองให้ดีขึ้น

การสอบรอบที่สองของลูกจะมีขึ้นในอีกประมาณสามสัปดาห์ข้างหน้า ช่วงนั้นการกวดวิชาค่อนข้างเข้ม เรียนกันทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงเย็น พอๆกับการเรียนในโรงเรียนใหญ่ เพื่อนๆผู้หวังดีหลายท่าน เมื่อรู้ว่าลูกแม่แจ๋วจะสอบเข้าบดินทร์ใหญ่ ต่างก็ให้คำแนะนำกันต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าให้ไปหาใครที่รู้จักในกระทรวง บ้างก็ว่าให้ไปรอพบผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อให้ท่านรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาไว้ บ้างก็ว่าให้ไปเสนอเงินบำรุงโรงเรียนไว้ก่อน ซึ่งตัวเลขเงินนั้นเป็นเลขหกหลักขึ้นไป บ้างก็ว่าไม่น่าต้องไปสอบให้เหนื่อย ให้หาโรงเรียนเอกชนดีๆให้ลูกไปเลย ยอมเสียเงินแพงๆเพื่ออนาคตของลูก แม่แจ๋วได้แต่ขอบคุณในข้อเสนอแนะต่างๆเหล่านั้น แต่ทำตามไม่ได้สักหนึ่งเรื่อง เหตุผลมีข้อเดียวคือ ทำไม่เป็นและไม่ทำ

ความคิดของแม่แจ๋วคือลูกต้องมานะบากบั่นด้วยตนเอง จะไม่ใช้เส้นทางลัดเพื่อเป็นการกรุยทางให้ลูก ลูกต้องช่วยตัวเองทุกคน แม่แจ๋วเองก็ได้รับการอบรมสั่งสอนแบบเดียวกันนี้จากเตี่ย ที่เคยเป็นครูสอนหนังสือที่เมืองจีนมาก่อน จำได้ว่าเตี่ยเข้มงวดมากกับการเรียนหนังสือของลูกๆทุกคน แม่แจ๋วเองก็ต้องบากบั่นอดตาหลับขับตานอนเพื่อดูหนังสือ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว และลูกชายคนโตทั้งสองของแม่แจ๋วก็เช่นกัน ดิฉันไม่เคยใช้เส้นทางลัดไม่ว่าเพื่อการใดๆทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องการทำมาหากิน ก็ตรงไปตรงมาตลอด ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ลูกทุกคนจะถูกสอนให้ใช้ความสามารถของตนเองเสมอมา

ดิฉันบอกนายจ๊อบว่า

“สอบคราวนี้เป็นการตัดสินแล้วนะ ลูกต้องตั้งใจให้ดี พยายามเขียนหนังสือและตัวเลขให้ตัวโตๆไว้ เพื่อคุณครูจะได้อ่านง่ายๆ ตอนนี้ต้องใส่เกียร์เดินหน้าอย่างเดียวแล้วนะ ขยันมากๆ ถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว เพราะแม่ไม่รู้จะไปหาโรงเรียนที่ไหนให้ลูกได้ มีเพื่อนแม่หลายคนที่ลูกสอบเข้าที่นี่เหมือนกัน แนะนำแม่ว่าถ้าลูกสอบไม่ได้ ให้ใช้วิธีไปนั่งเฝ้าผู้อำนวยการโรงเรียน และต้องนั่งเฝ้ากันทุกวัน บางคนก็นั่งเป็นเดือนๆหน้าห้อง ผอ. เพื่อขอความกรุณา บางคนก็ว่าต้องเตรียมเงินประมาณสองสามแสนเพื่อบำรุงโรงเรียน ขอบอกลูกไว้เดี๋ยวนี้เลยว่า แม่ไม่มีปัญญาไปนั่งเฝ้าผู้อำนวยการโรงเรียนเหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ และก็ไม่มีเงินมากขนาดเป็นแสนไปจ่ายให้โรงเรียน ลูกต้องขยันและใช้ความสามารถของตัวเองเท่านั้น เพราะเฮียแจ๊คและเฮียโจ๊กเองก็ต้องใช้ความสามารถตัวเองเหมือนกัน”

ลูกจ๊อบนิ่งเฉยไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ หลายวันต่อมาแม่แจ๋วก็พูดกับลูกอีกว่า

“อันที่จริง แม่ว่าถึงลูกจะสอบเข้าที่นี่ไม่ได้ ก็เรียนโรงเรียนอื่นก็ได้ เพราะแม่กับป๊าก็จบโรงเรียนต่างจังหวัดเหมือนกัน แล้วค่อยเข้ามาสอบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ”

ลูกจ๊อบถามว่า

“แม่เครียดหรือ แม่กลัวเราสอบไม่ได้หรือ”

แม่แจ๋วรีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“แม่ไม่เครียด! แม่กลัวลูกเครียดต่างหาก เลยรีบบอกลูกไว้ก่อนว่า ไม่ต้องเป็นบดินทร์ก็ได้ โรงเรียนอะไรก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้แม่ไม่รู้จะหาโรงเรียนที่ไหนให้ลูกเป็นที่สำรอง เพราะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเฮียแจ๊คหรือเฮียโจ๊ก แต่ไม่เป็นไรหรอก โรงเรียนที่ไหนๆก็เหมือนกัน อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก”

ฟังซุ่มเสียงของคนที่บอกว่าไม่เครียดนะ แทบจะจับความคำพูดตัวเองเกือบไม่ได้

ลูกจ๊อบถามต่อมาว่า

“เราไม่เครียด แต่เราว่าแม่นะแหละเครียด แม่ว่าต้องได้คะแนนเท่าไรถึงจะสอบติด”

“แม่ไม่รู้นี่ แม่ว่าคงสูงมากแหละ เพราะต้องเด็กเก่งเท่านั้นจึงจะกล้ามาสอบที่บดินทร์ใหญ่ ถามทำไมหนูรู้หรือว่าคะแนนเท่าไหร่ถึงจะสอบติด”

“ก็อาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชาบอกว่า ได้แค่แปดสิบคะแนนขึ้นไปก็สอบติดแล้ว”

“อะไรนะ! แค่แปดสิบเองเนี่ยนะ คะแนนเต็มเท่าไหร่” แม่แจ๋วถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อหู

“มีทั้งหมดห้าวิชาๆละสามสิบคะแนน คะแนนรวมก็ร้อยห้าสิบ อาจารย์บอกว่าปีก่อนๆที่ผ่านมา แค่แปดสิบก็ติดแล้ว”

แม่แจ๋วฟังแล้วชักใจชื้นขึ้นมา ถามลูกกลับไปว่า

“ก็แล้วคะแนนที่ลูกสอบที่โรงเรียนกวดวิชานะ หนูสอบได้วิชาละเท่าไรมั่งล่ะ”

“ถ้าวิชาไหนเต็มห้าสิบก็ได้สี่สิบกว่า ถ้าเต็มสามสิบก็ได้ยี่สิบกว่า”

“แล้วคนอื่นๆในห้องละ เขาได้เท่าไหร่กันมั่ง มีคนได้คะแนนมากกว่าหนูเยอะมั้ย” ซุ่มเสียงแม่แจ๋วแจ่มใสขึ้น

“ก็มีบ้างคนสองคน แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้ที่หนึ่งก็ที่สองมาตลอด”

แม่แจ๋วได้ฟังลูกตอบมาเช่นนั้นก็อึ้งไป ได้แต่คิดว่า เรานี่มันช่างวิตกซะจริงๆ จนแม้ลูกจ๊อบก็ยังจับได้ว่า แม่เครียดมากกับการสอบของลูกครั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับการสอบของลูกชายคนโตทั้งสองแล้ว ในตอนนั้นแม่แจ๋วจะเครียดน้อยกว่ามาก อาจเป็นเพราะในขณะนั้นยังทำธุรกิจอยู่ มีเรื่องให้วุ่นวายมากกว่า แต่พอมาถึงลูกจ๊อบ ตนเองก็แก่มากแล้ว ไม่ได้ทำงานอะไร นอกจากเลี้ยงลูกและทำงานบ้านเล็กน้อย เวลาว่างมีมากเกินไป จึงขี้วิตกกังวลโน่นนี่ร้อยแปด ทั้งๆที่อาจารย์เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาเคยบอกกับแม่แจ๋วแล้วว่า สำหรับนายจ๊อบถ้าสอบ gifted คณิตศาสตร์ อาจารย์ไม่แน่ใจ แต่ถ้าสอบทั่วไป รับรองติดแน่นอน แต่แม่แจ๋วก็ยังไม่วางใจอยู่ดี อาจเป็นเพราะมองไม่เห็นความกระตือรือร้นของลูกอย่างที่ตนเองอยากให้เป็น เพราะสมัยที่พี่ๆเขาสอบ ดูๆจะตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่านายจ๊อบมาก พอมาเห็นลูกจ๊อบดูหนังสือไม่มากเท่าที่เราอยากเห็น ก็เลยเกิดความปริวิตก

อันที่จริงพอมานั่งวิเคราะห์ดูตนเองจริงๆแล้ว กลับเป็นว่าแม่แจ๋วกลัวว่าตนเองจะต้องเดือดร้อนถ้าลูกสอบไม่ติด เพราะไหนจะต้องตระเวนหาโรงเรียนใหม่ให้ลูก ซึ่งก็ยังนึกไม่ออกว่า จะไปหาโรงเรียนที่ไหนทั้งใกล้บ้าน ทั้งชื่อเสียงเรื่องการเรียนก็โดดเด่น หรือถ้าหาโรงเรียนได้ เกิดเป็นโรงเรียนที่ไม่ดี ก็กลัวลูกจะคบเพื่อนไม่ดี หรือครูสอนไม่เก่งอาจทำให้ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ดูซิ! คิดไปไกลถึงปานนั้น พอเพื่อนๆมาแนะนำว่า ถ้าลูกสอบไม่ติดให้ไปนั่งเฝ้าผู้อำนวยการโรงเรียน แม่แจ๋วก็มองเห็นภาพตนเองที่ต้องไปวิ่งไล่ตามท่าน ผอ.ขึ้นมาทันที แค่นึกก็ขวัญเสียแล้ว เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ ช่วงเวลานั้นจิตใจปั่นป่วนเคร่งเครียดไปหมด แต่ก็พยายามสะกดกั้นไว้ไม่ให้ปรากฏชัดมากไป ถึงกระนั้นเพื่อนๆที่ใกล้ชิดก็ยังคงสังเกตเห็น จึงต้องบอกไปตามตรงว่า แม่แจ๋วเป็นอย่างนี้ทุกครั้งกับลูกทุกคนที่จะสอบเข้า มอ.1

เมื่อถึงวันที่ลูกจ๊อบไปสอบ พอขับรถเข้าประตูโรงเรียน ซึ่งจะต้องขับผ่านรูปปั้นของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา เห็นเด็กนักเรียนมากมายรวมทั้งผู้ปกครองด้วยต่างก็พากันซื้อดอกไม้ธูปเทียนไปจุดธูปขอพรท่านกันควันโขมง ดิฉันจอดรถไว้ใกล้สถานที่นั้น บอกให้ลูกจ๊อบลงจากรถไปกราบท่าน ลูกถามว่า

“แม่จะให้เราไปกราบขอให้ท่านช่วยให้สอบได้หรือ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก แม่ให้ไปกราบเพื่อระลึกถึงบุญคุณของท่าน ที่กรุณามอบสถานที่แห่งนี้ให้เป็นโรงเรียน และเมื่อเราเข้ามาในสถานที่นี้ เราก็ต้องเคารพเจ้าของสถานที่และขออนุญาตมาใช้ที่นี้เพื่อการสอบการเรียน ลูกก็พูดไปตามที่แม่บอกแหละ ไปกราบ เพื่อขอใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อการสอบครั้งนี้ ส่วนที่ลูกจะสอบได้หรือไม่ ไม่เห็นเกี่ยวกับท่านเลย มาจนถึงป่านนี้แล้ว จะสอบได้หรือไม่อยู่ที่ตัวลูกเองทั้งนั้น คนอื่นไม่เกี่ยวเลย ไม่ต้องใช้ดอกไม้ธูปเทียนหรอกลูก สิบนิ้วพนมแทนธูปเทียน จิตใจแทนดอกไม้ก็ใช้ได้แล้ว”

ลูกจ๊อบได้ฟังดังนั้นก็ลงจากรถไปนั่งลงกราบแต่โดยดี อันที่จริงคำพูดข้างต้น ดิฉันให้ลูกกระทำไปตั้งแต่การสอบคัดเด็กเก่งพิเศษเมื่อครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้ก็คงให้ทำแบบเดียวกัน เมื่อลูกลงไปกราบเสร็จแล้ว ดิฉันก็พาลูกไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารของโรงเรียน จนได้เวลาที่ลูกจะเข้าแถวเคารพธงชาติ ก็คว้าตัวลูกมากอดไว้และให้พรลูกขอให้ตั้งอกตั้งใจในการสอบ และมีสติรอบคอบ ลูกก็พนมมือรับพร คราวนี้ดิฉันคิดจะนั่งคอยให้ลูกจ๊อบเข้าห้องสอบก่อน แล้วจึงจะขับรถไปที่สวนออกกำลังกายที่เดิม สักสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับมารับลูกเมื่อสอบเสร็จเหมือนเดิม หลังการเคารพธงชาติและสวดมนต์คราวนี้ ต่างกับการมาสอบครั้งที่แล้ว เพราะท่านผู้อำนวยการโรงเรียนขึ้นกล่าวให้คำแนะนำในการสอบแก่เด็กๆ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น นอกจากนี้ท่านยังได้กล่าวพาดพิงไปถึงความรู้สึกและหัวอกของพ่อแม่ที่มีต่อการสอบเข้าเรียนชั้น มอ.1 ของลูกๆ และยังได้อธิบายถึงกฎระเบียบการสอบเข้า ซึ่งมีตอนหนึ่งในคำกล่าวของท่านที่ว่า

“ผมรู้ว่าพ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกของตัวเองได้เข้ามาเรียนที่นี่ ผมเองก็อยากจะรับไว้ทุกคน แต่เพราะโรงเรียนมีสถานที่เรียนจำกัด การรับนักเรียนจึงต้องจำกัดจำนวนไปด้วย จึงต้องมีการสอบคัดเลือกนักเรียนเกิดขึ้นมาอย่างวันนี้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ขอให้ผู้ปกครองทุกท่านสบายใจได้ แม้ว่าลูกของท่านจะสอบเข้าที่นี่ไม่ได้ แต่เด็กทุกคนจะมีที่เรียนแน่นอน เพราะจะมีการเกลี่ยนักเรียนไปยังโรงเรียนต่างๆในพื้นที่ที่ใกล้บ้านที่สุด โดยผู้อำนวยการโรงเรียนทุกแห่งต้องมาประชุมกัน หลังการประกาศผลสอบ เพื่อเกลี่ยพื้นที่แก่นักเรียนทุกคนให้มีที่ได้เรียนแน่นอน ขอให้มั่นใจว่า ในขณะนี้โรงเรียนต่างๆมีมาตรฐานการเรียนการสอนแบบเดียวกันหมด……….”

หลังจากนั้นท่านจะกล่าวอะไรอีก จำไม่ได้แล้ว เพราะแค่คำพูดของท่านผู้อำนวยการที่ดิฉันจำได้นั้น ก็ทำให้ความเครียด ความวิตกกังวลทั้งสิ้น ที่คุกรุ่นอยู่ในใจตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มลายหายสูญไปเป็นปลิดทิ้ง จิตใจโล่งโปร่งสบายขึ้นมาก นึกฉิวตนเองที่ช่างโง่เสียจริงๆ ไม่รู้จักศึกษาระบบระเบียบการสอบเข้าให้ชัดเจน จึงต้องมานั่งทุกข์ร้อนแสนสาหัส กลัวลูกจะสอบไม่ได้และไม่มีที่ให้เรียน เพียงแค่รู้ว่าลูกจะมีที่เรียนแน่นอน แม้จะสอบไม่ติดบดินทร์ใหญ่ แม่แจ๋วไม่เกี่ยงเลย เพราะคิดอยู่เสมอว่า ไม่สำคัญที่โรงเรียน แต่สำคัญที่ไม่ต้องไปตระเวนหาที่เรียนให้ลูก ไม่ต้องไปนั่งเฝ้าผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างที่ได้ยินได้ฟังมา ไม่ต้องไปจ่ายเงินเป็นแสนเพื่อซื้อที่นั่งเรียนให้ลูก เฮ้อ! สบายใจขึ้นมากจริงๆ เมื่อลูกเดินเข้าแถวเพื่อขึ้นห้องสอบ ดิฉันไปยืนดักรอลูก พอลูกเดินผ่านมา แม่แจ๋วก็ยิ้มให้ลูก และกล่าวอวยพรให้ลูกโชคดี ลูกยิ้มรับ ไม่มีทีท่าที่ตื่นวิตกแต่อย่างใด

ผลการสอบคราวนี้ ถูกประกาศในอีกสองสัปดาห์ต่อมา วันประกาศผลสอบ พี่แจ๊คกับแม่ช่วยกันลุ้น วันนั้นพี่โจ๊กไม่อยู่ ไปธุระกับเพื่อนที่นอกบ้าน เดี๋ยวนี้ทุกอย่างทันสมัยไปหมด แม้การประกาศผลสอบ ก็ใช้ดูได้ในอินเตอร์เน็ท ลูกสอบติดบดินทร์ใหญ่จริงๆ พอรู้ว่าลูกสอบได้ เราสามคนแม่ลูกไชโยเสียงลั่น กระโดดตัวลอยโหยง พากันกอดนายจ๊อบแสดงความยินดี แม่แจ๋วน่าจะดีใจมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก เที่ยวประกาศบอกเพื่อนฝูงทั่วไปหมด รวมทั้งพี่โจ๊กด้วย พี่แจ๊คก็สั่งการให้น้องโทรฯไปบอกคุณพ่อซึ่งขณะนั้นไปตรวจโรงงานอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก แม่แจ๋วแซวลูกจ๊อบว่า ที่ลูกสอบติดคราวนี้เป็นเพราะมีแต่ข้อสอบปรนัยทั้งหมด ถ้าขืนมีข้อสอบอัตนัยเหมือนครั้งก่อนลูกอาจสอบได้คะแนนไม่ดีอย่างนี้ การสอบครั้งนี้นายจ๊อบได้คะแนนค่อนข้างดีทุกวิชา แม้คะแนนคณิตศาสตร์ก็อยู่ในขั้นดี

เนื่องจากการประกาศผลสอบเรียงตามคะแนนที่สอบได้ และการคัดเด็กเข้าเรียนในห้องเรียนต่างๆ ก็คัดเรียงลำดับตามตามคะแนนที่สอบได้ ทำให้ลูกจ๊อบต้องเข้าเรียนกับเพื่อนๆที่สอบได้คะแนนค่อนข้างสูง ซึ่งอาจมีการแข่งขันในเรื่องการเรียนค่อนข้างมาก ดิฉันบอกลูกว่าอยากให้ลูกเรียนแบบมีความสุข ไม่ต้องแข่งขันกับคนอื่น ให้แข่งกับตนเองเท่านั้น ยังไม่อยากให้ลูกเคร่งเครียดกับการเรียนมากไป จึงยังไม่ต้องไปเรียนกวดวิชาตั้งแต่เริ่มเรียนปีแรก และต้องเล่นกีฬาเพื่อออกกำลังกายด้วย ซึ่งลูกก็เลือกเล่นบาสเก็ตบอล และเทเบิลเทนนิส มาตรการต่างๆที่เคยใช้กับพี่แจ๊คและพี่โจ๊ก ก็ถูกนำกลับมาใช้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่มีคำประกาศิตหนึ่งที่แม่แจ๋วบอกกับลูกว่า

“ถึงแม้แม่จะให้ลูกเรียนอย่างสบายๆ แต่เกรดต้องไม่ต่ำกว่า 3.5 ทำได้ใช่มั้ย” ลูกจ๊อบตอบสั้นๆว่า

“สบาย”

ขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่ นายจ๊อบผ่านการสอบเทอมแรกไปแล้ว วันที่มาบอกผลสอบ ซึ่งเป็นตอนที่แม่แจ๋วกำลังขับรถอยู่ ลูกบอกว่า

“แม่ให้เราทำสามจุดห้าใช่มั้ย”

“ใช่ ผลสอบออกแล้วหรือ เธอได้เท่าไรล่ะ” แม่แจ๋วหันมาถามเรียบๆ ลูกตอบว่า

“คาบเส้นพอดี สามจุดห้าสอง”

“แหม! เธอรักษาคำพูดซะตรงเป๊ะเชียวนะ จะให้เกรดมันสูงกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้รึไง” แม่แจ๋วพูดมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ลูกก็นิ่งไปไม่ตอบว่ากระไร ภายหลังเมื่อพี่แจ๊คมาถามเกรดของน้อง พอแม่บอกไป นายแจ๊คก็ว่า

“น้อยไปหน่อยนะแม่ อย่างต่ำควรเป็นสามจุดแปด”

“งั้นเรอะ อันที่จริงแม่เป็นคนขอน้องเองแหละ ไม่เป็นไรแม่จะลองพูดกับน้องดู” ภายหลังแม่แจ๋วเอาคำพูดพี่แจ๊คไปบอกน้อง นายจ๊อบก็นิ่งไป ไม่ตอบว่ากระไร แต่สังเกตเห็นว่าลูกขยันขึ้นมาก เลยลองถามลูกดู ลูกจ๊อบบอกว่าง่ายๆว่า

“เฮียแจ๊คบอกว่าได้เกรดน้อยไป ให้ทำอย่างต่ำสามจุดแปด”

แสดงว่าพี่น้องคงมีการพูดคุยกันแล้วเรื่องการเรียน แม่แจ๋วก็สบายใจไปด้วย เรื่องการสอบเข้า ม.1 ของนายจ๊อบคงจบลงเพียงเท่านี้ เวลายังอีกยาวไกลนัก สิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรคงที่เที่ยงแท้แน่นอน เพียงแต่ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเอง ทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ต้องวิตกกังวลได้อีก

อันที่จริงควรจะจบเรื่องทั้งหมดลงได้แล้ว แต่เผอิญได้พูดไว้ในเรื่องก่อนว่าจะเล่าเรื่องที่ลูกชายคนโตทั้งสองไป “ติดสินบน” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ ในช่วงที่ลูกสอบเอ็นทรานส์ เลยจำเป็นต้องมาต่อที่ท้ายเรื่องนี้ จะพูดไปแล้วก็ไม่ได้เป็นคนละเรื่องเดียวกันแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งที่มีการสอบไม่ว่าจะระดับชั้นไหน การรดน้ำมนต์ ขอพรพระ อ้อนวอนและติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิดขึ้นจนใครๆก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา บางคนอาจคิดว่าใช้คำว่า “ติดสินบน” นั้นมันแรงไป เลยแก้เกี้ยวมาใช้คำว่า “บน” เพื่อหลอกตัวเองให้ฟังดูดี ดูขลัง ความจริงเป็นเช่นไรก็คงรู้ๆกันอยู่ เวลาอยากได้ อยากมีหรืออยากเป็น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบใช้ทางลัดคือ “ติดสินบน” ขอให้ผู้อื่น สิ่งอื่นช่วยไว้ก่อน เรื่องช่วยตัวเองมักเอาไว้ทีหลัง เลยมักง่ายกันไปหมด

ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าลูกชายคนโตทั้งสอง ติดสินบนให้ตนเองสอบเอ็นทรานส์ได้ เพราะลูกเรียนหนังสือได้ดีระดับแถวหน้าๆ แม่แจ๋วไม่เคยวิตกกังวลแม้สักน้อยว่า ลูกจะสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่ง เพราะความใกล้ชิดลูกมาตลอด เห็นความขยันหมั่นเพียรที่สม่ำเสมอของลูก จึงไม่เคยคิดว่าลูกจะทำเรื่องชวนหัวแบบนี้ได้ นายแจ๊คสอบติดมหาวิทยาลัยแถวสามย่าน หลังจากที่จัดการเรื่องต่างๆกับทางมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่กี่วันต่อมาก็มาบอกแม่ว่า

“พรุ่งนี้แจ๊คจะไปเดินกับเพื่อนๆจากโรงเรียนถึงสามย่าน แม่ว่าต้องเดินทางไหนจึงจะใกล้ที่สุด”

“เดินทำไมลูก”

“เดินแก้บน” นายแจ๊คตอบมาเขินๆ

“อะไรนะ!” แม่แจ๋วถามเสียงหลง

“ก็เพื่อนๆกับแจ๊คบนกันไว้ว่า ถ้าสอบติดก็จะเดินเท้าจากโรงเรียนถึงมหาวิทยาลัย ไปกันหลายคนแม่ เดินสนุกๆ”

“พวกหนูทำอะไรแปลกๆนะ แม่จะรู้ทางได้ยังไง ไม่เคยเดินนี่ เคยแต่ขี่รถ ไปตามทางรถเมล์หรือ ตามทางรถยนต์ละพอบอกได้”

“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวเพื่อนๆก็ช่วยกันบอกทางเองแหละ เดินกันเยอะแยะสนุกดี”

แม่แจ๋วก็มึนไปหนึ่งรอบ คิดวาเป็นเรื่องของเด็กๆคงชอบสนุกอยากรู้เส้นทาง ก็แล้วแต่พวกเขา จึงไม่ได้พูดว่าอะไรไป หลังจากครั้งนั้นไม่นานวัน แม่แจ๋วก็ต้องมึนเป็นรอบที่สองและโวยเสียงลั่น ก็จะไม่ให้โวยได้ยังไง พอเดินเข้าบ้านมาเห็นซาลาเปากองอยู่เต็มไปหมด ทั้งบนโต๊ะอาหาร บนเก้าอี้ บนโซฟา แถมนายแจ๊คยืนทำหน้าปูเลี่ยนๆอยู่แถวๆนั้น จึงถามขึ้นว่า

“อะไรนี่แจ๊ค”

“แจ๊คกับเพื่อนๆบนซาลาเปาร้อยลูก ถ้าสอบได้ เลยไปแก้บน”

“บนทำไม ก็คราวก่อนเดินแก้บนไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วบนทำไมอีก แต่ละคนก็เรียนเก่งๆกันทั้งนั้น”

“ก็ไม่รู้ เพื่อนมันชวนให้บนเป็นเพื่อนมันก็ตามใจ เพื่อความมั่นใจนะแม่”

“มีอะไรทำให้ไม่มั่นใจรึไง แล้วทำไมไม่บนน้อยๆ บนตั้งร้อยลูกมันไม่มากไปหน่อยรึ”

“บนน้อยกลัวเอ็นฯไม่ติด”

“มียังงี้ด้วย แล้วทำไมซาลาเปามันเยอะแยะนัก ทำไมไม่แบ่งๆกันไป”

“เพื่อนๆมันก็แบ่งไปแล้ว คนละนิดหน่อย ที่เหลือมันไม่ยอมเอาไป มันบอกว่าบ้านมันคนน้อย สงสัยมันกลัวแม่มันว่า”

“อ้อ! แล้วแจ๊คไม่กลัวแม่ว่ารึไง เสียชื่อลูกนักปฏิบัติธรรมจริงๆ แม่ว่าแม่ไม่เคยสอนให้ลูกงมงายกับเรื่องแบบนี้นะ แม่เห็นหนูขยันจะตาย ดูหนังสือตั้งตีสองตีสาม ไม่เห็นต้องทำเรื่องไร้สาระแบบนี้เลย”

“ช่างมันเถอะแม่ ก็ทำไปแล้ว วันหลังแจ๊คไม่ทำก็แล้วกัน”

ได้ยินอย่างนั้น แม่แจ๋วก็เสียงอ่อนลง

“แล้วนี่จะทำยังไง ซาลาเปาตั้งเยอะแยะ กินกันหมดที่ไหน บ้านเราก็มีแค่ห้าคนเอง จะกินได้คนละกี่ลูกเชียว”

“ก็เอาใส่ตู้เย็นไว้ก่อน ทยอยกินไปเรื่อยๆ ซาลาเปาเจ้าอร่อยนะแม่”

“ตู้เย็นคงใส่ไม่หมด เอาใส่ไว้เท่าที่อยากจะกินก็พอ ที่เหลือเอาไปให้พวกพี่ที่โรงงานก็แล้วกัน”

เรื่องนายแจ๊คก็ผ่านไป จนแม่แจ๋วลืมไปแล้วว่าลูกทำวีรกรรมอะไรไว้บ้าง สองปีต่อมาเป็นวาระที่นายโจ๊กต้องสอบเอ็นทรานส์บ้าง ลูกคนนี้เรียนสายศิลป์คำนวณ ชอบทำกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน ผลการเรียนแม้จะเป็นรองพี่ชาย แต่ก็เอาใจใส่การเรียนพอสมควร เมื่อได้เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ดูหนังสือมุ่งมั่นจริงจัง ไม่ต่างกับนายแจ๊คพี่ชายอย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้ว เมื่อสอบเอ็นทรานส์โดยตรง จึงได้ติดเข้าไปที่มหาวิทยาลัยแถวท่าพระจันทร์ แต่ต้องไปเรียนที่วิทยาเขตรังสิต พอจัดการเรื่องต่างๆกับทางมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็กระมิดกระเมี้ยนมาถามแม่แจ๋วว่า

“แม่ โจ๊กบนไว้ว่าถ้าสอบติดมหาวิทยาลัย จะไปรำวงถวาย…..(ลูกเอ่ยชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียน) แต่โจ๊กอายเพื่อน ไม่กล้าไปรำ ทำยังไงดีแม่”

“เออดี! แล้วบนทำไม”

“โจ๊กกลัวเอ็นฯไม่ติด ก็ต้องหาความมั่นใจก่อน”

“ก็แล้วทำไมต้องบนประหลาดๆอย่างนี้ด้วย”

“เพื่อนๆบนกันเยอะแยะ โจ๊กกลัวว่าถ้าบนไม่แปลก อาจจะเอ็นฯไม่ติด”

เฮ้อ! แม่แจ๋วถอนใจเฮือกใหญ่

“ลูกหนอลูก แม่อุตส่าห์เข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรม เสียชื่อลูกนักปฏิบัติธรรมจริงๆ ใครรู้เข้าหัวเราะตาย หนูก็รู้แม่เลิกไหว้เจ้าไหว้ผีมาตั้งนานแล้ว แถมลูกก็บวชเณรมาแล้วด้วย ยังมาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้อีกทำไม เป็นอะไรกันไปหมด ต้องไปหาความมั่นใจจากสิ่งที่มองไม่เห็น”

“ก็จะทำยังไงดีล่ะแม่ มันทำไปแล้ว แม่พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าโจ๊กจะไปตอนดึกๆไม่มีคนดี แม่ไปส่งหน่อย โจ๊กก็ไปรำๆซักสองสามรอบ” นายโจ๊กเริ่มเกิดความคิด

“เสียใจย่ะ ฉันไม่เสียเวลาไปทำอย่างนั้นหรอก เอาอย่างนี้ซิ หนูก็ไปจุดธูปบอกท่านว่า โจ๊กขอโทษที่บนในสิ่งที่ไม่เหมาะสม หนูยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ขอให้ท่านยกโทษให้ และขอเปลี่ยนการแก้บนด้วยการรำวง มาเป็นการทำสังฆทานถวายพระ หรือทำความดีที่เป็นสาธารณประโยชน์”

“เปลี่ยนได้ด้วยหรือแม่ ท่านไม่โกรธเอาหรือ” นายโจ๊กถามมาอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาเป็นประกาย

“ท่านจะโกรธทำไม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องใจดีมีเมตตาซิ ก็เราเอาสิ่งที่ดีกว่าเหมาะสมกว่าไปแลกเปลี่ยน ท่านจะยิ่งดีใจไม่ว่า ท่านคงอยากเห็นหนูทำความดี มากกว่าไปทำสิ่งที่ไม่มีสาระอย่างนั้น”

นายโจ๊กนิ่งไป มีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แบบคนที่คิดได้แล้ว ไม่มีวี่แววของความวิตกกังวลเหมือนในตอนแรก หลังจากวันนั้นมาน่าจะนานพอสมควรแม่แจ๋วนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็ถามลูกโจ๊กว่าได้จัดการไปอย่างไรบ้าง ลูกบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย ได้แต่อธิษฐานในใจบอกท่านไป แต่นั้นต่อมาดิฉันก็ไม่เคยถามลูกเรื่องนี้อีก เมื่อเรียนในมหาวิทยาลัย ลูกทำกิจกรรมที่หลายอย่างเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่นการออกค่ายอาสาสมัครทุกปิดเทอม และอื่นๆอีกมากมาย จนหลายครั้งดิฉันเองต้องเตือนลูกว่า ให้เพลาๆลงบ้าง เพราะผลการเรียนจะเป็นตัวตัดสินว่าลูกจะได้งานที่ดีทำหรือไม่ จากนั้นจนบัดนี้ ลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยและได้งานที่ลูกถนัดและพอใจทำอย่างมีความสุข

สำหรับนายจ๊อบเมื่อครั้งลูกไปสอบเพื่อเข้าโรงเรียนนั้น ขอบอกว่าแม่แจ๋วไม่ได้ให้ลูก “ติดสินบน” รูปปั้นสักการะท่านเจ้าพระยาบดินทร์เดชาฯ ผู้เป็นต้นตระกูลสิงหเสนี ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนของลูก เพียงแต่วันแรกที่ลูกเข้าโรงเรียนเมื่อสอบได้แล้วนั้น ดิฉันจอดรถให้ลูกลงไปกราบท่าน บอกลูกว่าเพื่อเป็นการรำลึกพระคุณของท่านที่กรุณาเสียสละที่ดินผืนนี้ให้เป็นที่เรียนของลูกและเด็กอื่นๆอีกหกปี แต่ในวันนี้กลับมีผู้มากราบท่านเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ต่างกับวันที่มาเพื่อสอบเข้าทั้งสองครั้ง ในวันสอบแข่งขัน ทั้งผู้ปกครองและลูกๆนักเรียนเยอะแยะมากมาย เบียดเสียดกันเพื่อนั่งกราบท่าน ขออะไรต่อมิอะไรกันเป็นนานสองนาน พวงมาลัยดอกไม้กองพะเนิน กลิ่นธูปควันเทียนตระหลบอบอวลไปหมด

ก่อนจบเรื่องนี้แค่จะบอกคุณๆว่า เมื่อได้เวลานายจ๊อบจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกหกปีข้างหน้า สิ่งแรกที่แม่แจ๋วจะขอลูกว่าอย่าทำเลยก็คือ “การติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์”