6. ส่งจ้าวขึ้นสวรรค์
อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าแม่แจ๋วเปลี่ยนอาชีพจากแม่บ้านธรรมด๊า ธรรมดาไปเป็นหมอดู หรือหมอเข้าทรงแต่อย่างใด เรื่องมันมีและมันก็มีเรื่องนะแหละ แม่แจ๋วถึงต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ใครอยากรู้ว่าดิฉันส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ด้วยวิธีไหน ต้องติดตามอ่านต่อไปอย่างไม่กระพริบตา
อันที่จริงก่อนที่ดิฉันจะมาศึกษาพุทธธรรมอย่างจริงจัง ก็เป็นพวกชอบดูหมอบ้าง เชื่อเรื่องผีสางเทวดาบ้าง ดูฤกษ์ยามเวลาย้ายบ้านหรือเดินทางไปไหนๆไกลๆ เวลาไปไหว้พระไม่ว่าจะเป็นพระแบบที่เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เขาลือกันว่า”เด็ด” หรือเป็นพระพุทธรูป ก็มักจะขอนั่นขอนี่อยู่เสมอ ประเภท ทำบุญแค่ร้อยแต่ขอเป็นล้าน เหมือนๆพวกคุณๆทั้งหลายนะแหละ ยอมรับซะดีๆว่าพวกคุณก็เป็นแบบแม่แจ๋วเหมือนกัลล์… งั้นอย่าเสียเวลา จะเล่าเรื่องย้ายขึ้นบ้านใหม่ให้ฟังก่อนสักเรื่องก็แล้วกัน เพราะก่อนจะส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ ก็เกิดจากการที่จะย้ายเข้าบ้านใหม่นี่ล่ะ
ดิฉันกำลังจะขึ้นบ้านใหม่ พอเพื่อนๆที่เป็นชาวจีนรู้ดังนั้น ก็พากันช่วยแนะนำว่า น่าจะไปดูฤกษ์ยามว่าจะเข้าบ้านวันไหนจึงจะดี และควรจะต้องตั้งศาลพระภูมิ หรือไม่ก็ตั้ง ”ศาลเจ้าที่” ไว้ในบ้าน (ศาลเจ้าที่ก็คือ ตี่จู๋เอี๊ย ตามสำเนียงของคนจีน) ดิฉันสอบถามก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าต้องทำอย่างไร หลายคนแนะนำว่าการตั้งศาลพระภูมิเป็นเรื่องใหญ่ ไม่น่าทำเพราะจะยุ่งยากมาก ให้ตั้งตี่จู๋เอี๊ยก็พอแล้ว ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่ดี เพราะไม่เคยทำมาก่อน เนื่องจากบ้านนี้เป็นบ้านหลังแรกในชีวิต เพื่อนผู้หวังดีท่านหนึ่งจึงช่วยสงเคราะห์ โดยพาดิฉันไปพบหมอเข้าทรงแถวๆย่านไชน่าทาวน์ของเมืองไทยนะแหละ เพื่อให้ดูว่าบ้านหลังที่จะเข้าไปอยู่นั้นเป็นอย่างไร และควรจะเข้าไปอยู่วันไหนจึงจะถือว่าเป็นฤกษ์ที่ดีเพื่อว่าอยู่แล้วจะมีความสุข ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยเงินทองไหลมาเทมา และเวลาจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ คนทรงจะแนะนำได้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องใช้อะไรในการประกอบพิธีนั้นบ้าง ดิฉันเห็นเพื่อนกระตือรือร้นมาก ก็ยิ่งรู้สึกว่าควรอย่างยิ่งที่จะต้องไปพบหมอเข้าทรงตามที่เขาแนะนำ
จำได้ว่าเมื่อพบคนทรงซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคน รูปร่างอวบท้วม หน้าตาเป็นแบบลูกจีนที่เกิดในประเทศไทย และพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัดเจน แต่สำเนียงแบบ “คงทายร้อยปูเซ็ง” เขาถามถึงวันเดือนปีเกิดของดิฉัน เมื่อดิฉันบอกไปแล้ว เขานั่งหลับตานับนิ้วสักครู่ เปิดตำราเพื่อเปรียบเทียบวันเดือนปีเกิด ถามดิฉันขึ้นว่า
“หน้าบ้านหันไปทิศไหน”
“ทิศเหนือ หลังบ้านเป็นทิศใต้” ดิฉันตอบไป
“ตามดวงของลื้อหน้าบ้านต้องหันทิศตะวันออกถึงจะดี”
พอได้ยินหมอดูหรือคนทรงพูดดังนั้น ดิฉันก็คิดในใจว่า ไม่น่าบอกไปก่อนเล้ยว่าหน้าบ้านเราหันทิศไหน น่าจะให้เขาบอกมาก่อนว่า ตามดวงเราหน้าบ้านควรหันทิศไหน แต่เมื่อปากไวบอกไปแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พูดว่า
“หน้าบ้านหันตะวันออก หลังบ้านก็ต้องหันตะวันตก แล้วลมจะเข้าทางไหนล่ะ ไม่ร้อนแย่หรือ” ดิฉันท้วงไปโดยอาศัยหลักของทิศทางลมเป็นสำคัญ
“ก็ตามดวงลื้อต้องหันตะวันออกถึงจะดี” คนทรงตอบมาห้วนๆ ถึงตอนนี้ในขณะที่เขียนเล่าเรื่องนี้อยู่ ดิฉันก็คิดไปว่า ถ้าตอนแรกบอกว่าหน้าบ้านหันด้านตะวันออก พี่แกคงต้องบอกว่า บ้านเราควรจะหันเหนือใต้ซะล่ะมั่ง
“แต่ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านก็เป็นหน้าต่างนะ หน้าต่างเยอะด้วย พอจะช่วยได้มั้ย” ดิฉันต่อรองราวกับว่าคนทรงจะช่วยอะไรได้
“ไม่ได้ ไม่เหมือนกัน” คนทรงตอบเสียงดัง
“อ้าว! แล้วจะทำยังไงล่ะ ไม่ต้องรื้อบ้านแล้วทำประตูใหม่เหรอ” ดิฉันถามกลับไปแบบไม่รู้เรื่องจริงๆ คนทรงหน้าเครียดขึ้นมาทันที คงคิดว่าดิฉันกำลังพูดกวนหรืออะไรซักอย่าง เพื่อนคนที่พามาเห็นดังนั้น ด้วยความชำนาญและรู้ว่าดิฉันช่างไม่รู้เรื่องอะไรเอาซะเลย จึงช่วยเจรจาขึ้นว่า
“ก็ลื้อจะแนะนำให้เขาทำพิธีแก้ได้มั้ยล่ะ”
“ก็มีทางแก้แหละ แต่เขาจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ” คนทรงหันหน้ามาทางดิฉันและพูดขึ้นแบบหยั่งเชิง ดิฉันจึงตอบไปว่า
“ก็จะให้ทำยังไงมั่งล่ะ ลองบอกมาซิ”
หญิงเข้าทรงก็บอกว่า ตามดวงของดิฉันแล้ว ต้องเข้าอยู่วันที่เท่าไร เดือนอะไร และวันที่จะเข้าไปอยู่นั้น ต้องทำพิธีเข้าบ้าน โดยต้องเตรียมอาหาร ขนม น้ำและอะไรจิปาถะเพื่อไหว้เจ้าที่ ขออนุญาตให้ดิฉันและครอบครัวเข้าอาศัยอยู่ในบ้านนั้นอย่างมีความสุข (บ้านเราเองปลูกเอง จ่ายเองด้วยเงินที่ทำมาหากินอย่างเหนื่อยยาก แต่ทำไมต้องไปขออนุญาตสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อขอเข้าอยู่บ้านตัวเองก็ไม่รู้ งงจริงๆ) ดิฉันก็จดไปตามที่เขาบอกมา อย่าถามนะว่ามีอะไรบ้าง จำไม่ได้แล้วค่ะ เพราะตอนที่เล่าเรื่องนี้เห็นเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว เลยลืมไปหมดแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง จำได้แต่ว่าวันที่คนทรงบอกมานั้น บ้านยังเสร็จไม่ทัน คนทรงบอกว่าให้ไปทำพิธีและเข้านอนก่อนหนึ่งคืน ก็ถือว่าได้เข้าอยู่ในบ้านนั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจะตกแต่งบ้านนานแค่ไหน และเข้าอยู่จริงเมื่อไรก็ไม่สำคัญแล้ว (เอาเป็นว่าไปทำพิธี หลอกจ้าว ก่อนว่ายังงั้นเถิด) ดิฉันก็บ้าจี้ไปตามที่เขาว่ามา ตกลงวันนั้นหมดค่าคำแนะนำของคนทรงแปดร้อยบาท น่ารวยจริงๆใช้เวลาหลับตาและพูดๆแค่ไม่เกินสามสิบนาทีก็ได้เงินง่ายๆ จากความงมงายของมนุษย์อย่างดิฉันที่ช่างไร้สติปัญญาเสียจริงๆ
ยัง ยังไม่พอ เพื่อนผู้หวังดีท่านนั้นยังพาไปซื้อ “ศาลเจ้าที่” ที่เป็นลังไม้ทาสีแดงๆ คุณๆคงนึกออก และเกือบทุกบ้านคงมีลังไม้สีแดงแบบต่างๆกันไป แล้วแต่ศรัทธามากน้อย สำหรับดิฉันเองวันนั้นหมดค่าศาลเจ้าที่ไปอีกสองพันแปดร้อยบาท เมื่อกลับถึงบ้านก็ไปสั่งช่างที่ตกแต่งบ้านว่าให้เร่งมือ เพราะจะเข้าอยู่บ้านวันที่ที่กำหนด(ตามคำของคนทรง) ซึ่งก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่เกินสิบห้าวัน ช่างบอกว่าทำไม่ทัน ดิฉันก็ว่าไม่เป็นไรได้แค่ไหนเอาแค่นั้น แต่ให้ทาสีห้องนอนก่อน เพราะต้องเข้าอยู่ตามฤกษ์ที่ไปดูมา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ช่างทำบ้านรู้ดีอยู่แล้ว ใครๆที่ไหนในประเทศนี้ก็ต้องดูฤกษ์ยาม ในการย้ายเข้าบ้านใหม่กันเกือบทั้งนั้น จากนั้นดิฉันก็ไม่ได้เข้าไปดูช่างตกแต่งบ้าน เพราะงานที่บริษัทยุ่งมาก ได้แต่คิดว่าเมื่อสั่งช่างแล้วก็คงจะเรียบร้อย พอใกล้ถึงวันที่กำหนดประมาณสามสี่วัน แม่แจ๋วเข้าไปดูว่าช่างทำงานไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่ายังไม่ได้ทาสีห้องนอน จึงสั่งช่างให้รีบเปลี่ยนงานมาทาสีห้องนอนก่อน แต่ห้องนอนค่อนข้างใหญ่จึงต้องใช้เวลาทาสีห้องถึงสามวัน เสร็จทันวันที่ดิฉันต้องไปทำพิธีขึ้นบ้านใหม่พอดี และวันนั้นเมื่อไหว้เจ้าแล้วก็ต้องเข้านอนก่อนหนึ่งคืน ตามฤกษ์ของคนทรง ที่อุตส่าห์ไปเสียเงิน “ดู”มาแล้ว
เย็นนั้นเมื่อรับลูกๆกลับจากโรงเรียน ทานข้าวอาบน้ำกันที่ “บ้านเก่า” เรียบร้อยแล้ว ก็พากันไปนอนที่ “บ้านใหม่” แต่คุณสามีไม่ร่วมมือด้วย บอกว่าจะนอนเฝ้าบ้านเก่าให้ เราแม่ลูกจึงไปกันตามลำพัง เด็กๆดีใจมากที่จะได้นอนบ้านใหม่ ไปถึงบ้านใหม่ก็เกือบสองทุ่ม ที่บ้านนี้ยังไม่มีทีวี แต่ติดแอร์คอนดิชั่นในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว เพราะกลัวลูกๆจะนอนกันไม่ได้ เด็กสมัยนี้ต้องหลับไปกับเสียงเบาๆของเครื่องทำความเย็น ไม่อย่างนั้นเป็นนอนไม่หลับ การตกแต่งบ้านใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงทำให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่ขึ้น เด็กๆตื่นเต้นดีใจกันมาก พากันกระโดดโลดเต้นกันบนโซฟาร์ และเที่ยววิ่งวุ่นไปดูไปชมห้องนั้นห้องนี้ พอลูกๆเห็นอ่างอาบน้ำในห้องน้ำใหญ่ที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน ก็พากันโวยวายว่าแม่ไม่น่าให้อาบน้ำก่อน จะได้มาอาบน้ำที่อ่างอาบน้ำบ้านนี้ ดิฉันบอกลูกๆไปว่า ใครอยากอาบน้ำอีกรอบก็ได้เพราะแม่เตรียมผ้าเช็ดตัวมาให้แล้ว หรือใครจะรอไว้อาบพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนก็ได้ ลูกๆได้ยินดังนั้นก็ร้องเฮเสียงดังลั่น พากันถอดเสื้อผ้าลงไปทำท่าว่ายวนในอ่างอาบน้ำแคบๆอย่างสนุกสนาน
สักครึ่งชั่วโมงแม่แจ๋วไล่ลูกๆให้ขึ้นจากอ่างน้ำ แต่งตัวกันเสร็จก็ขึ้นนอนในห้องนอนซึ่งเปิด”แอร์”เย็นฉ่ำรอท่าไว้แล้ว เด็กๆพากันวิ่งเข้าไปกระโดดโลดเต้นในห้องนอนกันอีกพักใหญ่ พอให้หายตื่นเต้นแล้ว ดิฉันก็ปิดไฟบอกให้นอนได้ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน ช่วงเวลานั้นเป็นเดือนพฤษภาคม โรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมใหม่ เด็กๆพากันนิ่งเงียบอย่างว่าง่าย และหลับไปในไม่ช้า (ใครที่เพิ่งอ่านเรื่องของแม่แจ๋วเป็นครั้งแรก อย่าได้นึกชมเป็นเด็ดขาดว่าลูกแม่แจ๋วทำไม “ว่าง่าย” จัง ถ้าอยากรู้ว่าทำไมลูกๆจึงนอนเงียบง่ายนัก ต้องไปอ่านเรื่องแม่ช่างคุยตอนอื่นๆดูซะก่อน จึงจะรู้ว่าแม่แจ๋วมีวิธีปราบลูกอย่างไร ถึงยอมนอนกันได้ง่ายนัก) ลูกๆหลับแล้ว แม่แจ๋วพลิกไปพลิกมาสักครู่ก็งีบไปด้วยความอ่อนเพลีย ต้องบอกว่าหลับไปเพราะหมดแรงจริงๆ เนื่องจากวันนี้ตื่นนอนตั้งแต่ประมาณสามนาฬิกา เพื่อเตรียมทำอาหารเซ่นไหว้ และทำพิธีตามคำบอกของคนทรง เสร็จพิธีแล้วก็เก็บกวาดเช็ดถูบ้านเป็นการใหญ่ เพราะบ้านยังตกแต่งไม่เรียบร้อย จึงยังมีข้าวของระเกะระกะไปหมด กว่าจะเสร็จงานบ้านก็ได้เวลาไปรับลูกกลับจากโรงเรียน จากนั้นก็จัดการเรื่องของลูกๆต่อ ไม่มีเวลาได้พักแม้สักแค่ห้านาที
จำได้ว่าตนเองงีบไปได้ครู่เดียวก็ต้องตื่นขึ้นแบบงงๆ ใจเต้นแรง หายใจถี่เร็ว ลมหายใจขัดๆเหมือนหายใจได้ไม่เต็มที่ แม่แจ๋วตกใจว่าทำไมตนเองจึงมีอาการผิดปกติอย่างนี้ พยายามตั้งสติสักครู่ เปิดไฟกลางห้องให้สว่างขึ้น พิจารณาดูรอบๆ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ยกเว้นเสียงลูกๆที่นอนพลิกกระสับกระส่าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติอย่างมากคือ “กลิ่นสีทาบ้าน” รุนแรงมาก เหม็นจนแม่แจ๋วเวียนหัวไปหมด อันที่จริงตอนเดินเข้ามาในห้องนอนเมื่อหัวค่ำ ดิฉันก็ได้กลิ่นสีอยู่แล้ว แต่คิดว่าพอเปิดแอร์แล้ว สักพักกลิ่นคงหมดไป ตอนพาลูกเข้านอนเห็นความตื่นเต้นของลูกๆก็ลืมเรื่องกลิ่นสีไปเลย แต่ตอนนี้กลิ่นสีทาบ้านเหม็นคละคลุ้งไปหมด
ดิฉันเดินไปที่เตียงของลูกๆ จับเนื้อจับตัวลูกให้หลับในท่าที่สบายขึ้น ลูกๆไม่ตื่นแต่ก็นอนเหมือนคนหลับไม่สนิท ไม่เหมือนกับการนอนแบบมีความสุขทุกๆคืนที่บ้านเก่า อาจเป็นเพราะกลิ่นสีทาบ้านที่รบกวนอย่างรุนแรง เด็กๆหลับง่าย และเมื่อหลับแล้วยังไม่ถึงเวลาตื่น ถ้าไม่ถูกปลุกก็จะไม่ตื่นได้ง่ายๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่หลับยากและตื่นง่าย แม่แจ๋วคิดว่าคงเป็นเพราะกลิ่นสีทาบ้านนี่เองที่ทำให้ตนเองต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ผิดปกติอย่างมาก และลูกๆก็หลับแบบไม่สบาย จึงเดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอนเกือบทุกบาน โชคดีที่มีลมพัดมาจากด้านหลังของตัวบ้านเป็นครั้งคราว ดิฉันไม่กล้าปิดแอร์ กลัวลูกจะตื่นนอนเพราะร้อนเกินไป ดูนาฬิกาเพิ่งได้เวลาเที่ยงคืนเท่านั้น จะย้ายไปนอนห้องนอนอื่นก็ไม่ได้เพราะยังไม่มีห้องไหนเรียบร้อย ง่วงก็ง่วง เหม็นก็เหม็น เดี๋ยวก็งีบหลับเพราะความเหนื่อยอ่อน เดี๋ยวก็ตื่นเพราะเหม็นสี สลับกันไปทั้งคืน จนได้เวลาประมาณสี่นาฬิกา ทนต่อไปไม่ได้แล้ว แสบตาและจมูกไปหมด จึงลุกออกจากห้องนอน ไปเดินรอบๆชั้นล่างของตัวบ้าน เดินไปก็คิดไปว่า ทำไมเรานี่โง่จัง ไปเชื่อคนทรงให้ย้ายเข้ามานอนก่อนตามฤกษ์ เพียงเพื่อจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ตามคำบอกของคนที่เราไม่เคยรู้จัก แถมยังไม่เคยมาเห็นบ้านเราด้วย แต่แค่มานอนคืนแรก ก็ต้องทุกข์ทรมานอย่างมากกับกลิ่นสีทาบ้าน หาความสุขไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่คิดว่าต่อไปนี้จะไม่ยอมเชื่อเรื่องอะไรที่ไร้สาระแบบนี้อีกแล้ว เข็ดจริงๆ
จากนั้นดิฉันก็ไปจัดเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆสำหรับลูกๆ พอใกล้หกนาฬิกา ปลุกลูกๆให้ตื่นนอนเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน เด็กๆตื่นขึ้นอย่างไม่สดชื่น พอลืมตาขึ้นเต็มที่แล้ว ก็พากันถามว่า เหม็นกลิ่นอะไร เมื่อคืนนอนไม่สบายเลย แม่แจ๋วบอกลูกว่าเป็นกลิ่นสีทาบ้าน เพราะเพิ่งทาสีเสร็จใหม่ๆ แต่คืนนี้จะกลับไปนอนกันที่บ้านเก่า รอให้บ้านใหม่เรียบร้อยกว่านี้ก่อน แล้วค่อยย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
หลังจากนั้นมาอีกเกือบสองเดือน บ้านจึงตกแต่งได้สมบูรณ์เรียบร้อย พวกเราย้ายเข้ามาอยู่กันทั้งหมด ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นสีทาบ้านอีกแล้ว ดิฉันก็ยังคงเซ่นไหว้ศาลเจ้าที่เกือบทุกวันพระ ที่ต้องใช้คำว่า “เกือบ” เพราะบางทีก็จำไม่ได้ ของที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ก็เป็น ผลไม้ ขนม และน้ำชาสำหรับวันพระ แต่ถ้าเป็นวันตรุษหรือสารท ก็จะทำอาหารคาวหวานเพิ่มอีกสองสามอย่าง ทุกครั้งที่ลืมไหว้เจ้าที่ ดิฉันมักรู้สึกเสมอว่า ตนเองมีภาระเพิ่มแบบไม่ค่อยจำเป็น แต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่ทำไหว้เสียทีเดียว ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ตอนนั้นคำว่า “ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่” ยังมีอิทธิพลที่ทำให้เป็นคน ”ไม่กล้า” กับสิ่งที่มองไม่เห็น จะไม่ทำไหว้ก็กลัว แต่พอทำไหว้ก็รู้สึกว่าเป็นภาระ และทุกครั้งที่ทำอาหารไหว้เจ้าที่ ก็จะขอนั่นขอนี่อยู่เสมอ การขอก็คงจะคล้ายๆกับคุณๆทั้งหลาย คือขอให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ขอให้ทำมาค้าขึ้น รวย รวย รวย อภิมหารวย อะไรแบบนั้น
หลังจากที่ดิฉันได้ศึกษาพุทธธรรมและเริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว ก็ชักมองเห็นว่าหลายๆเรื่องที่เคยทำ ช่างเป็นเรื่องที่งมงายเสียจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูหมอ การดูฤกษ์ยามเพื่อเดินทางหรือย้ายบ้าน การขอหวย ขอให้รวย รวมทั้งการขออะไรต่อมิอะไรจากพระพุทธรูป หรือแม้การทำอาหารเซ่นไหว้เจ้าที่ที่อาศัยอยู่ในลังไม้เล็กๆทาสีแดง ฯลฯ พักหลังๆการทำเรื่องเซ่นไหว้ก็ไม่ได้ทำแบบจริงจัง และไม่ได้คิดกลัวแบบเดิมๆอีก ภายหลังเมื่อจะย้ายโรงงาน ย้ายบ้าน หรือเดินทางไปไหนก็ตาม ดิฉันจะถือฤกษ์ “สะดวก” เป็นสำคัญ แม้แต่คำว่า ”ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่” ก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ แม้กระนั้นก็ตามดิฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับศาลเจ้าลังไม้สีแดงที่ยังอยู่ในบ้าน จนวันหนึ่งจำได้ว่าเป็นวันก่อนตรุษจีน น่าจะซักหกหรือเจ็ดวันหรืออย่างไรก็จำไม่ได้ถนัด มีเพื่อนที่มาออกกำลังกายที่สวนด้วยกัน ทักดิฉันขึ้นว่า พรุ่งนี้เป็นวันไหว้เจ้าที่เรียกว่า “ซิ้งเจียที” ได้เตรียมของที่จะเซ่นไหว้หรือยัง ดิฉันก็ถามกลับไปว่าวันที่เขาบอกมานั้นมีความหมายว่าอย่างไร เพื่อนก็ตอบว่า
“เป็นวันส่งจ้าวที่ ที่อยู่ในบ้านเราขึ้นสวรรค์”
“อ้าว! ทำไมต้องส่งจ้าวที่ขึ้นสวรรค์ด้วยล่ะ” แม่แจ๋วถามเพื่อนด้วยความสงสัย ก็บอกแล้วว่าไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยจริงๆ เพื่อนท่านนั้นหัวเราะและพูดว่า
“บ้านพี่ไหว้จ้าวไม่ใช่เหรอ พี่ก็เป็นคนจีนทำไมไม่รู้ว่าที่ต้องส่งจ้าวที่ขึ้นสวรรค์ ก็เพื่อให้จ้าวที่ในบ้านเราจะได้ไปรายงานเง็กเซียนฮ่องเต้ว่า คนในบ้านเรานั้นเป็นคนดี แล้วท่านก็จะได้บันดาลให้เราและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข มีชีวิตที่ดี ร่ำรวย มีสุขภาพดี ฯลฯ รวมทั้งเมื่อตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ด้วย”
“งั้นเรอะ! แล้วเค้าต้องทำยังไงกันมั่งล่ะ” แม่แจ๋วชักอยากรู้
“พี่ก็ต้องเตรียมอาหาร ขนม ผลไม้ กระดาษเงินกระดาษทองฯลฯ ให้เยอะๆไว้ เพื่อจะได้ให้จ้าวพอใจมากๆ และมีของเหลือติดไม้ติดมือไปฝากเง็กเซียนฮ่องเต้ด้วย จ้าวที่ก็จะได้รายงานว่าบ้านเรามีแต่คนดีๆทั้งนั้น มีของอย่างนั้นอย่างนี้มาถวายเยอะแยะไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้ก็จะบันดาลให้เราได้สมความปรารถนาทุกประการ เรื่องอย่างนี้ต้องทำทุกปี พี่ไม่เคยรู้เลยหรือไง”
“ฮื่อ! ไม่เคยรู้เรื่องเลยจริงๆ ฟังๆแล้วเหมือนกับเป็นการติดสินบนจ้าวยังไงก็ไม่รู้” ดิฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เพื่อนค้อนขวับตอบทันทีว่า
“พี่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก เค้าเรียกว่าเป็นคนมีน้ำใจต่างหาก”
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของดิฉัน จึงถามเพื่อนขึ้นว่า
“แล้วของที่เธอว่านั้นจะหาซื้อได้ที่ไหน มีอะไรบ้างบอกมาซิ เดี๋ยวพี่ขอจดไว้และไปหาซื้อ พรุ่งนี้จะได้ไหว้แต่เช้า”
เพื่อนก็ตอบมาแบบผู้มีน้ำใจดีว่า
“เดี๋ยวหนูพาพี่ไปก็ได้ เป็นทางผ่านพอดี ร้านนี้เขามีครบทุกอย่าง ถ้าไม่รู้อะไรเจ้าของร้านก็จะแนะนำให้ได้”
เมื่อออกกำลังกายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็ขับรถพาเพื่อนท่านนั้นไปตามที่เขาบอก และซื้อของทุกอย่างตามที่เขาแนะนำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นึกกระหยิ่มในใจว่าคราวนี้จะได้ปลดภาระลงซะที เช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันตื่นตั้งแต่สี่นาฬิกา จัดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อมสรรพตามคำแนะนำของเพื่อน กว่าจะเตรียมของได้เรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบตีห้าครึ่ง จัดแจงจุดธูปเก้าดอก คุกเข่าลงที่ตรงหน้าศาลเจ้าที่ลังไม้สีแดง กล่าวในใจขึ้นว่า
“จ้าวที่ค่ะ วันนี้เป็นวันส่งท่านขึ้นสวรรค์เพื่อไปพบเง็กเซียนฮ่องเต้ ขอให้ท่านกินให้อิ่มและเอาของเซ่นไหว้ไปทั้งหมด เพื่อไปถวายเง็กเซียนฮ่องเต้ และท่านก็หาที่อยู่บนสวรรค์เพื่อปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมต่อไป ไม่ต้องลงมาอีก และไม่ต้องเป็นห่วงคนที่บ้านนี้ เราจะดูแลกันเองโดยธรรม และมีศีลห้าที่มั่นคง รวมทั้งจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุธรรมยิ่งๆขึ้นต่อไป ขอขอบพระคุณสำหรับหลายปีทีผ่านมา ที่ท่านได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาคนในบ้านนี้ บัดนี้ดิฉันได้ศึกษาธรรมะ และเริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า จะดีหรือเลว จะสุขหรือทุกข์ จะรวยหรือจน ไม่มีใครสามารถดลบันดาลให้เราได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเองทั้งนั้น สำหรับลูกๆ ดิฉันก็จะอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มั่นคงในศีลห้า เพราะรู้ว่ามีแต่ศีลห้าเท่านั้น ที่จะคุ้มครองให้ลูกของดิฉันปลอดภัยได้ในสังสารวัฏนี้”
จากนั้นดิฉันก็ปักธูปลงในกระถางห้าดอก และไปปักไว้ที่ข้างประตูใหญ่หน้าบ้านข้างละดอก หลังพิธีส่งจ้าวขึ้นสวรรค์วันนั้น ดิฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ต้องมีภาระและกังวลในทุกๆวันพระหรือทุกวันตรุษวันสารทอีก เมื่อเล่าเรื่องส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ให้เพื่อนๆฟัง หลายคนตีหน้าปูเลี่ยนๆ มองดิฉันแปลกๆ บางคนที่พอเข้าใจก็หัวเราะแต่ก็บอกกลับมาว่า เขาไม่กล้าทำอย่างดิฉัน กลัว พอถามว่ากลัวอะไร บางคนก็ตอบว่า
“ไม่รู้ว่ากลัวอะไร แต่ก็ไม่กล้าทำอย่างพี่”
บางคนหนักข้อกว่านี้อีกก็บอกว่า
“กลัวจ้าวมาหักคอ”
“กลัวจ้าวจะไม่ทำให้เราและครอบครัวร่ำรวย และมีความสุข”
เฮ้อ! อยากจะถามจริง จริ๊ง เคยเห็นจ้าวมั้ยเนี่ยะ จ้าวร้ายกาจและไม่มีเมตตาหรือไงถึงจะมาหักคอเราได้ จ้าวทำการค้าเก่งหรือไง ถึงจะทำให้ครอบครัวเราร่ำรวยและมีความสุขได้
ดิฉันยังคงเล่าเรื่องนี้มาอีกหลายปีด้วยปากเปล่า บางคนที่ฟังแล้วมีคำพูดเด็ดๆว่า
“นี่คุณคงไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ” ดิฉันเลยถามกลับไปว่า
“นับถือพุทธแล้วต้องไหว้จ้าวหรือ และถ้าไม่ไหว้จ้าวแปลว่าไม่นับถือศาสนาพุทธใช่มั้ย แล้วการที่ดิฉันฟังธรรมเป็นประจำ มั่นคงในศีลห้า ไม่ทำชั่ว พยายามทำแต่ความดี มีจิตใจที่ผ่องใส จะนับว่าเป็นชาวพุทธได้มั้ย” เธอผู้นั้นค้อนขวับและเลิกคุยกับดิฉันไปเลย
บางคนที่อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับดิฉันหรือเปล่าหลังจากส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ แต่ไม่กล้าถามตรงๆ ก็จะใช้คำถามแบบเลี่ยงๆว่า
“คุณทำแบบนี้มานานหรือยัง หลังจากนั้นเป็นยังไงบ้าง”
ดูสิ! แม้กระทั่งคำพูดว่า ส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ เขายังไม่กล้าให้หลุดออกจากปากของตนเอง ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของผู้ถาม จึงตอบไปว่า
“ประมาณสามสี่ปีมาแล้ว และที่ส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ก็เป็นช่วงก่อนที่ลูกชายทั้งสองคนสอบเอ็นทรานส์ ลูกเรียนหนังสือได้ดีและขยัน จึงสอบติดมหาวิทยาลัยทั้งคู่ ไม่มีจ้าวที่ไหนมาช่วยให้ลูกสอบติดมหาวิทยาลัยได้ พอถึงช่วง ”ไอเอ็มเอฟ” ที่เกิดวิกฤตทางการเงินของประเทศ ธุรกิจของเราก็ไม่กระเทือน กลับกลายเป็นขายดีกว่าเดิม ลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น ต้องหาสินค้าใหม่ๆมาขายมากขึ้น เพราะมีธุรกิจที่เลิกกิจการไปด้วยวิกฤตนี้เยอะ อันที่จริงน่าจะเป็นเพราะครอบครัวเรามั่นคงในศีลห้า และระมัดระวังการใช้จ่ายด้วย จึงทำให้เราปลอดภัยจากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัว คุณเชื่อเถิด ไม่มีใครที่ไหน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด อาจสามารถบันดาลให้คุณสมประสงค์ได้ ด้วยการวอนไหว้และร้องขอหรอก ทุกสิ่งต้องทำด้วยตนเองทั้งสิ้น และก็จะไม่มีจ้าวที่ไหนมาทำร้ายทำลายคุณได้หรอก หากคุณมั่นคงในศีลห้า
หลังจากนั้นมาอีกนานพอสมควรกว่าที่ดิฉันจะมีโอกาสจัดการกับศาลเจ้าที่ลังไม้สีแดง แรกๆก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี จนวันหนึ่งขับรถเข้าไปในซอยใกล้บ้าน ผ่านต้นไม้ใหญ่ที่มีศาลเจ้าที่กองอยู่มากมาย จึงเกิดความคิดว่าเราน่าจะนำเอาศาลเจ้าที่ในบ้านเราที่ตั้งเกะกะอยู่มาทิ้งไว้ที่นี่บ้าง พอดีน้องชายคนหนึ่งแวะมาเยี่ยม ได้โอกาสขอให้เขาช่วยยกใส่รถกระบะของเขาไปทิ้งให้หน่อย พอได้ยินดังนั้น น้องชายก็ผงะร้อง “เฮ่ย!” ออกมาทันทีและพูดว่า
“จะดีรื้อ”
ดิฉันก็ถามกลับไปว่า
“ทำไมล่ะไ
“เดี๋ยวจ้าวโกรธเอานะไ น้องชายเสียงอ่อยๆ
“เธอเคยเห็นจ้าวหรือ หน้าตาเป็นยังไง” น้องชายนิ่งเงียบ ทำหน้าคิดๆไม่พูดอะไร ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ดิฉันจึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า
“ไม่ต้องกลัวหรอกถึงจะมีก็ต้องตัวเล็กมาก เพราะบ้านของจ้าวหลังเล็กนิดเดียวเป็นแค่ลังไม้ เธอตัวใหญ่กว่าจ้าวตั้งเยอะจะกลัวอะไร ฉันส่งจ้าวขึ้นสวรรค์ไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจ้าวมาทำอะไรซักที แม้แต่ฝันถึงก็ยังไม่เคยเลย แถมทุกวันนี้ก็ยังอยู่เย็นเป็นสุขดี ทำมาค้าขึ้น เงินทองไม่เคยขาดมือ ทุกๆคนในบ้านก็มีความสุขดี ลูกๆชั้นเรียนเป็นยังไง เธอก็เห็นๆอยู่ อย่าคิดมาก มา มาช่วยยกลังออกไป ชั้นรับผิดชอบเอง ถ้าจ้าวจะทำอะไร เธอก็บอกว่าชั้นเป็นคนสั่ง เข้าใจ๊”
น้องชายทำท่ากลัวๆ ยกมือไหว้ลังไม้ปะหลกๆ ทำปากขมุบขมิบพึมพำๆอยู่ครู่หนึ่ง จึงก้มลงยกศาลเจ้าที่แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก ดิฉันนั่งรถไปกับเขาด้วยเพื่อบอกทาง พอถึงที่หมายดิฉันชี้ให้เขาดูศาลเจ้าที่ที่คนอื่นนำมาทิ้งไว้กองก่ายเกะกะเต็มไปหมด เขาอุทานว่า
“อ้าว! ทำไมคนเขาเอาศาลเจ้ามากองทิ้งกันเยอะแยะ”
“คนอื่นก็คงคิดคล้ายๆชั้นมั่งแหละ หรือไม่ก็คงย้ายบ้านใหม่ หาศาลเจ้าใหม่ หรือไม่ก็เปลี่ยนใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม หรืออาจมีอย่างชั้นก็ได้ขี้เกียจไหว้ก็เลยส่งขึ้นสวรรค์ซะเลย” น้องชายหัวเราะ สีหน้าค่อยดีขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวลังไม้มากเหมือนเมื่อสักครู่ เมื่อช่วยกันยกลงไปวางไว้ที่โคนไม้แล้ว ดิฉันเดินไปนั่งรอในรถ น้องชายขยับลังไม้ให้ตั้งขึ้นใหม่ ยืนพนมมือไหว้และพึมพำๆอะไรอยู่สักครู่ ก็เดินกลับมาขึ้นรถ ดิฉันถามเขาว่าเมื่อกี้ทำอะไร เขาตอบว่า
“ขยับศาลเจ้าที่ให้ตั้งสวยๆ และไหว้เจ้าที่บอกว่าไม่ได้เจตนาเอามาทิ้ง ทำไปตามคำสั่งของเจ๊ ถ้าเจ้าที่จะโกรธให้ไปโกรธเจ๊ อย่ามาลงโทษผม”
“เออดี เธอเข้าใจทำ”
บริเวณบ้านตรงส่วนที่เคยตั้งศาลเจ้าที่ลังไม้สีแดงโล่งสบายตาขึ้น ลูกคนโตเพียงแต่ถามว่าแม่เอาเจ้าที่ออกแล้วหรือ พอแม่ตอบรับลูกๆก็ไม่ถามต่ออีก เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา เวลาเซ่นไหว้เจ้าที่ แม่แจ๋วไม่เคยเรียกให้ลูกๆมาจุดธูปไหว้เลยสักครั้ง เพราะต้องทำพิธีเซ่นไหว้แต่เช้ามืด จัดการเรียบร้อยก่อนลูกตื่นนอนทุกครั้งไป ลูกๆจะได้รู้ว่าแม่ไหว้จ้าวก็ต่อเมื่อได้กินอาหารหรือขนมที่เป็นพิเศษกว่าทุกวัน ส่วนเจ้าตัวเล็กลูกจ๊อบถามว่าแม่เอาบ้านเล็กๆออกไปทำไม แม่แจ๋วตอบลูกว่า
“แม่ส่งจ้าวที่อยู่ในบ้านเล็กๆไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ท่านจะได้อยู่สบายขึ้น บ้านของท่านบนสวรรค์น่าจะใหญ่กว่าบ้านเล็กๆหลังนี้มาก จ้าวที่ทำดีๆต้องมีวิมานสวยๆใหญ่โตบนฟ้าโน้น ต้องไม่มาอยู่ในลังไม้เล็กๆแคบๆ ไม่มีที่จะให้นอน นั่งได้อย่างเดียว แถมไม่ค่อยจะได้กินอะไรได้อิ่มท้อง ต้องรอให้แม่ทำอาหารหรือขนมมาไหว้ก่อนถึงจะได้กิน ถ้าแม่ลืมไหว้จ้าวก็ต้องอดกินไปเลย ให้จ้าวขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนสวรรค์ พอท่านบรรลุธรรม ท่านก็จะมีความสุขเอง ส่วนพวกเราก็ต้องปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ต้องมีศีลห้าอย่างที่แม่สอนรู้มั้ย”
เจ้าตัวเล็กฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกๆในเชิงเห็นด้วย คำว่าศีลห้ามั่นคง ห้ามผิดศีล ปฏิบัติธรรม บรรลุธรรม มีสติ ไร้สติ ฯลฯ เป็นคำพูดที่แม่แจ๋วจะนำมาใช้จนลูกชินหูแล้ว โดยเฉพาะลูกจ๊อบจะได้ยินบ่อยมาก เพราะต้องร่วมฟังธรรมกับแม่บ่อย จากแผ่นซีดีหรือวิทยุ หลายท่านอาจสงสัยว่า แล้วแม่แจ๋วไหว้พระหรือเปล่า ไหว้ค่ะ แม่แจ๋วเป็นพุทธแท้ๆนะค่ะ ลูกๆเองก็ถูกสอนให้รู้จักศีลห้ามาตั้งแต่เล็กๆ ส่วนการไปไหว้พระไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ลูกๆจะถูกสอนให้ไหว้เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ไม่ใช่การไหว้เพื่อขอนั่นขอนี่ แต่พอลูกโตขึ้น เมื่อจะสอบเอ็นทรานส์ก็กลับกลายเป็นว่าลูกชายคนโตทั้งสองคน “บน” สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้ตนเองสอบได้ แต่จะเอาไว้เล่าให้ฟังในตอนที่จะเล่าเรื่อง “ลูกจ๊อบสอบเข้า มอ.1” แม่แจ๋วยังมีเรื่องที่เป็นความงมงายอีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง สั้นๆไม่ยาวหรอกค่ะ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนที่เผอิญแม่แจ๋วเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าลูกชายของเพื่อนดิฉันจะบวชพระเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ก่อนแต่งงาน ซึ่งก็ถือเป็นประเพณีที่นิยมทำกันในประเทศเรา เพื่อนท่านนั้นก็มาปรึกษาดิฉัน เพราะเห็นว่าดิฉันไปวัดบ่อยๆ บางทีก็ไปปฏิบัติธรรมนับเป็นสิบวัน น่าจะรู้เรื่องดี และเธอบอกว่าเธอพูดกับพระไม่เป็น กลัวพูดไม่ถูกต้อง อยากให้ดิฉันไปช่วยซักถาม ก็ไม่รู้ว่าเธอผู้นั้นคิดถูกหรือผิด ฟังต่อไปเดี๋ยวก็รู้เอง ดิฉันรับปากยินดีช่วย เราพากันไปดูวัดใกล้บ้านเพื่อนท่านนั้น เพื่อว่าเวลาพระมาบิณฑบาต จะได้สะดวก เมื่อสอบถามรายละเอียดเรื่องการบวช การเข้าอยู่ ได้ความคร่าวๆแล้ว เพื่อนท่านนั้นก็นำความนั้นไปปรึกษากันในครอบครัว เมื่อตกลงใจว่าเป็นวัดนั้นแล้ว เรื่องการจัดเตรียมอะไรต่างๆนั้น ลูกชายเพื่อนคนที่จะบวชนั้นได้พูดคุยกับพระแล้ว ท่านแนะนำให้ทุกอย่าง ไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไร ก็จัดเตรียมกันไป แต่พอใกล้วันบวชจริง เพื่อนท่านนั้นก็วิ่งโร่มาหาดิฉันให้ช่วยไปฟังพระหน่อย เธอว่าเธอฟังไม่เข้าใจ พระท่านต้องการให้ทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงอะไรก็ไม่รู้ เตรียมไม่ถูกกลัวจะผิดพิธีเขา ดิฉันเองพอฟังจากเพื่อนก็งงๆ เซ่นไหว้อะไร เอ้า! ไปฟังให้เขาหน่อย จึงพากันขับรถไปที่วัดนั้น อย่าให้เอ่ยชื่อวัดเลย เดี๋ยววัดจะเสียชื่อและไม่เป็นมงคลกับพระที่เป็นผู้แนะนำ
เมื่อไปถึงวัดเพื่อนก็พาไปที่กุฏิพระซึ่งเป็นที่ติดต่อสำหรับผู้มาวัด เนื่องจากเธอโทรศัพท์มานัดไว้แล้ว พอเปิดประตูเข้าไป ก็พบพระภิกษุนั่งรออยู่สามรูป เป็นภิกษุสูงอายุรูปหนึ่ง อีกรูปวัยกลางคน และอีกรูปค่อนข้างหนุ่ม อายุน่าจะไม่เกินสามสิบปี เมื่อเรากราบพระแล้ว ดิฉันก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“เพื่อนดิฉันไม่เข้าใจว่าท่านให้จัดเตรียมอะไร เลยให้ดิฉันมาช่วยฟัง เพื่อจะได้ทำได้ถูกต้อง”
พระภิกษุสูงอายุก็กล่าวขึ้นว่า
“อ้อ! ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ว่าเช้าวันที่จะบวชนั้นให้มาเช้าหน่อย เพื่อมาทำพิธีเซ่นไหว้ขออนุญาตกับเจ้าแม่…..ให้ลูกชายคุณโยมเขาได้บวช”
“ฮ่ะ! เจ้าแม่อะไรนะ” ดิฉันอุทานเสียงดัง ทั้งๆที่พระยังพูดไม่จบ พระท่านคงคิดว่าดิฉันฟังไม่ถนัด พระภิกษุวัยกลางคนจึงพูดเสียงดังฟังชัดขึ้นว่า
“ก็ศาลเพียงตาเจ้าแม่…..ที่อยู่ท้ายกุฏินี่ไง ไปขอพรท่านให้ท่านอนุญาตให้ลูกของคุณโยมเขาบวช จะได้มีความสุขความเจริญ เสร็จแล้วก็มาขอขมาลาโทษโยมพ่อโยมแม่ แล้วถึงจะไปทำพิธีบวชได้”
ดิฉันนิ่งอั้นไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงดังๆว่า
“พระคุณเจ้าเจ้าค่ะ ในศาสนาพุทธยังมีอะไรสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าพระรัตนตรัยอีกหรือเจ้าค่ะ ทำไมถึงต้องเซ่นไหว้เจ้าแม่เพื่อขออนุญาตบวช ถ้าไม่ขอแล้วบวชไม่ได้หรือเจ้าค่ะ”
พระภิกษุทั้งสามรูปก็นิ่งงันไป ทำหน้าเลิ่กลั่กมองตากันสักครู่พระภิกษุสูงอายุก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆว่า
“เขามีประเพณีทำกันมาแบบนี้ ก็เลยจะให้ทำตามพิธีเขา คุณโยมจะไม่ทำก็ได้ เอาแค่ทำพิธีขอสมาลาโทษพ่อแม่ก็พอ”
“พิธีแบบนี้เป็นไสยศาสตร์ไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ ไม่ใช่พุทธแท้ๆนี่ ทำไมท่านยังปล่อยให้พวกเขาทำจนเป็นประเพณีประหลาดๆไปได้”
ตอนนี้เพื่อนดิฉันชักร้อนใจ จึงสะกิดและบอกกับดิฉันว่า
“นี่คุณ ไม่เป็นไรหรอก พระท่านว่าอย่างไรก็ทำไปตามนั้น จะได้ไม่เสียพิธีเขา”
ดิฉันไม่ฟังเสียง ตอนนั้นหูอื้อไปหมดแล้ว ความรู้สึกโกรธพลุ่งขึ้นมากลางอกเป็นริ้วๆ กำลังอ้าปากจะพูดอะไรออกไป ภิกษุสูงอายุก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“ถ้าทุกคนรู้เหมือนคุณโยมก็ดีซิ จะได้ไม่ต้องทำพิธีประหลาดๆอย่างนี้ แต่รายอื่นๆพอไม่ทำพิธีก็มาต่อว่าว่าทำไมไม่ไปไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าป่าเจ้าเขาก่อน เดี๋ยวลูกเขาจะบวชอย่างไม่ถูกต้อง และเกิดพวกท่านไม่พอใจ ก็จะบันดาลให้ลูกเขาได้รับเคราะห์กรรมได้ แต่พอจะทำพิธี คนที่รู้เรื่องพุทธจริงๆอย่างคุณโยมก็มาคัดค้าน ก็แล้วแต่นะไม่เป็นไรหรอก ไม่ทำพิธีเซ่นไหว้ก็ได้”
ได้ยินดังนั้นดิฉันก็เข้าใจ จึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบร้อยขึ้นว่า
“ดิฉันว่าเป็นหน้าที่ที่พระภิกษุอย่างท่าน จะต้องทำความเข้าใจกับบรรดาโยมทั้งหลายว่า อะไรคือพุทธแท้ๆ อะไรที่ไม่ใช่พุทธและเป็นไสยศาสตร์”
“มันก็พูดยากนะ โยมบางคนรู้ดีกว่าพระซะอีก บางคนยังมาสอนพระด้วยซ้ำไปว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง บางคนก็เอาคนที่เป็นจ้าวพิธีมาทำพิธีบวงสรวงเทวดาซะใหญ่โตก็มี พวกโยมส่วนใหญ่บอกสอนยาก พูดอะไรมากไปก็มาโกรธพระอีก จะมีที่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรไม่ใช่พุทธอย่างคุณโยมนั้นแทบไม่มี ศาสนาพุทธก็เลยชักเพี้ยนๆไปอย่างที่คุณโยมเห็นนี่แหละ”
คราวนี้ดิฉันเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไป ชักเห็นใจพระภิกษุอยู่ครามครันว่า พระท่านต้องอาศัยโยมอย่างมาก ยิ่งวัดใหญ่ขนาดนี้ก็ยิ่งต้องอาศัยโยมมากขึ้น ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารและอื่นๆอีกมากมาย ถ้าทำอะไรขัดใจโยมทั้งหลาย ก็จะขาดผู้อุปถัมภ์ จึงต้องตามใจโยมถ้าเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากนัก
เพื่อนดิฉันรีบเอ่ยตัดบทขึ้นว่า
“นี่คุณ พี่โชติ(นามสมมติ)ที่เคยบวชมาตั้งหลายพรรษาที่วัด….. ก็บอกมาอย่างนี้เหมือนกัน พี่ว่าจะให้เขาช่วยทำพิธีให้ พระคุณเจ้าช่วยบอกว่าต้องใช้อะไรในการทำพิธีบ้าง โยมจะจดไว้”
ดิฉันเลยต้องสงบปากคำ ไม่พูดอะไรต่อไปอีก เพราะผู้ที่จะบวชคราวนี้ไม่ใช่ลูกแม่แจ๋ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรแทนทั้งสิ้น เลยขอตัวลุกออกไปนั่งนอกกุฏิ ปล่อยให้เพื่อนดิฉันและพระภิกษุทั้งหลายตกลงกันเองว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ถึงตอนนี้เพื่อนดิฉันคงได้คิดแล้วว่าชวนคนผิดมาคุยกับพระ แทนที่จะได้เรื่องก็เกือบเสียเรื่องซะแล้ว หลังจากนั้นจนถึงวันบวชลูกชาย เพื่อนท่านนั้นก็ไม่มาปรึกษาดิฉันอีกเลย และพี่โชติก็เป็นผู้ทำพิธีไหว้ผีสางนางไม้และอื่นๆให้ในวันบวชจริง งานบวชก็ราบรื่นเรียบร้อยดีตามประเพณีของวัดนี้ โชคดีที่เพื่อนไม่ปล่อยให้ดิฉันช่วยจัดการต่อ เพราะไม่เช่นนั้นอาจต้องย้ายไปบวชที่วัดอื่น
คงต้องขอจบเรื่องเท่านี้ก่อน อันที่จริงมีเรื่องที่คล้ายๆกันนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเล่าให้ฟังในวันนี้พร้อมกัน คุณๆทั้งหลายอาจเครียดมากขึ้น เพราะแม่แจ๋วทะเลาะมาตั้งแต่คนทรงเจ้า ให้จ้าวที่ออกจากบ้านไปอยู่บนสวรรค์ แถมด้วยการ ”จิก” พระอย่างไม่ไว้หน้า อยากรู้มั้ยว่าหลังจากนั้นแม่แจ๋วเป็นอย่างไรบ้าง ยังสุขสบายดีทั้งกายและใจ ครอบครัวราบรื่นเรียบร้อย ลูกๆยังดีอยู่ทุกคน กิจการในครอบครัวก็ไม่มีปัญหา ขอบอกให้รู้ว่า ถ้าอะไรเป็นความ “ถูกต้อง” ที่ไม่ผิดศีลและธรรมตามที่ได้ยินมาจากคำสอนของหลวงปู่ชา แม่แจ๋วจะทำทันที โดยไม่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นว่าจะมาทำร้ายหรือทำลายเราได้ โดยยึดหลัก 3 ประการตามคำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโชว่า
1. ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น
2. ต้องไม่เบียดเบียนตนเอง
3. ทำแล้วมีความสุข ………..เอวังฯ
Leave a Reply