3. เรื่อง….ข้าวคนละชาม

เห็นชื่อเรื่องแล้ว หลายท่านที่เคยอ่านเรื่องของแม่แจ๋วคงแปลกใจว่า แม่แจ๋วกำลังจะมาพูดเรื่องอะไรกันอีกล่ะ จะสอนทำกับข้าวหรืออย่างไร อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด เพราะแม่แจ๋วทำกับข้าวได้อร่อยเพียงอย่างเดียว คือ แกงจืด ลูกๆเคยชมว่า “แกงจืดแม่อร่อย จืดสนิทสมชื่อ ซดคล่องคอดี” ไม่รู้ว่าลูกชมหรือประชด แต่แม่แจ๋วคิดแง่ดีไว้ก่อนเสมอว่านั่นเป็นคำชม

คุณๆก็รู้ อย่างแม่แจ๋วจะพูดเรื่องอะไรได้ นอกจากเรื่อง(นินทา)ลูกเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลูกๆโตกันแล้ว กำลังอยู่ในวัยทำงาน เมื่อได้คุยกัน เห็นว่าเรื่องนี้น่าเอามาเล่าสู่กันฟังก็เลยมานั่งละเลงอยู่นี่ไงล่ะ ถ้าอ่านแล้วคิดว่าพอเป็นประโยชน์ก็เอาไปเล่าสู่ลูกๆของคุณหรือเพื่อนๆฟังก็ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

แม่แจ๋วจำได้ว่าวันนั้นได้พูดเรื่อง “ข้าวคนละชาม” ให้ลูกชายคนโตสองคนคือ แจ๊คกับโจ๊กฟังคนละที แต่เป็นวันเดียวกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ ลูกแจ๊คทำงานแล้ว ไม่มีปิดเทอม ส่วนนายโจ๊กยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยกำลังจะขึ้นปีสี่ เพิ่งกลับจากการไปออกค่ายทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เมื่อกลับมาก็ต้องหางานทำช่วงปิดเทอมตามกฎของแม่ คือลูกจะอยู่ว่างช่วงปิดเทอมไม่ได้ ต้องหางานพิเศษทำ แต่หากลูกจะอยู่บ้านเฉยๆ แล้วเอาแต่เล่นเกมหรือดูทีวี แม่จะไม่ให้เงินใช้ แถมจะไม่มีข้าวให้กินด้วย แม่แจ๋วใจร้ายชะมัด

คุณๆที่เคยอ่านเรื่อง “แม่ช่างคุย” ตอน “ใครเล่นเกมไม่มีข้าวให้กิน” คงรู้ดีว่า แม่แจ๋วจัดการกับลูกๆเมื่อตอนยังเรียนอยู่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมอย่างไร เมื่อลูกเรียนระดับมหาวิทยาลัย ทุกคนก็ยังคงต้องหางานทำช่วงปิดเทอมทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อนายโจ๊กกลับจากการออกค่ายกิจกรรม ก็ต้องทำงานที่ได้สมัครไว้ก่อนที่จะไปเข้าค่ายฯ แต่เผอิญมาติดเอาช่วงสงกรานต์ ดิฉันต้องพาลูกจ๊อบไปเยี่ยมคุณย่าและคุณยายที่ต่างจังหวัด ส่วนลูกคนโตทั้งสองไม่อยากไปด้วย เพราะนัดเพื่อนไว้ นายโจ๊กขอเงินเที่ยวสงกรานต์ ส่วนนายแจ๊คทำงานแล้ว ไม่เดือดร้อนกระเป๋าสตางค์ของแม่ ดิฉันให้เงินลูกโจ๊กไปจำนวนหนึ่ง มากพอที่จะใช้ได้ถึงสิบวัน แต่หลังจากนั้นเพียงห้าหรือหกวัน เมื่อกลับมาบ้าน นายโจ๊กขอเงินเพิ่ม เพราะจะเริ่มไปทำงานแล้ว ดิฉันถามลูกว่า

“โจ๊ก โจ๊ก แม่ให้เงินไว้ตั้งเยอะแยะก่อนแม่ไปเยี่ยมอาม่า ทำไมเงินหมดเร็วจัง”

“แหมแม่! นี่มันสงกรานต์นะ ก็ต้องใช้เงินมากเป็นธรรมดา” ลูกโจ๊กโอดครวญ

“มันเกี่ยวอะไรกับสงกรานต์หรือไม่สงกรานต์ด้วย แล้วเงินที่หนูเคยบอกไว้ว่าทำงานพิเศษได้ตั้งเยอะแยะเป็นหมื่นนะ ไปไหนหมด”

คงต้องเล่าเรื่องการทำงานพิเศษของลูกให้ฟังหน่อย ลูกโจ๊กได้งานพิเศษทำช่วงที่กำลังเรียนอยู่ เป็นงานที่รุ่นพี่ที่รู้ฝีมือกันดีหาเอามาให้ทำ เนื่องจากลูกคนนี้ไม่ชอบงานนั่งโต๊ะขีดเขียน แต่ชอบงานที่ลุยๆ ยิ่งเป็นงานที่ใช้ความคิดวางแผน วิเคราะห์วิจัยหรือติดต่อพบปะพูดคุยกับผู้คน ยิ่งถูกสเป็ค (แม่แจ๋วใช้ศัพท์ของลูก) ลูกโจ๊กได้งานนี้มาทำ โดยต้องใช้ทีมงานที่มีทั้งเพื่อนและรุ่นน้องช่วยกัน เวลาที่ทำงานประมาณ 2 เดือน โดยไม่เบียดบังเวลาเรียน เมื่องานสำเร็จ ลูกได้รับเงินส่วนแบ่งมาก้อนหนึ่ง ด้วยความดีใจ จึงเสนอตัวเลี้ยงอาหารเลิศหรูให้แก่พ่อแม่ พร้อมทั้งพี่แจ๊คและน้องจ๊อบ แต่ถึงแม้จะเลี้ยงอาหารแล้ว ก็ยังคงมีเงินเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่งที่มากพอควร เมื่อลูกมาขอเงินเพิ่ม ดิฉันจึงได้ถามถึงเงินก้อนนั้นของลูก นายโจ๊กตอบมาว่า

“ก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย เกือบหมดแล้ว”

“หนูใช้เงินซื้ออะไรหนักหนานะลูก ยังเรียนหนังสืออยู่แท้ๆ ทำไมใช้เงินเปลืองนัก” ลูกนิ่งไม่ตอบว่าอะไร ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ลูกรู้มั้ย คนเราทุกคนเมื่อเกิดมา ฟ้าได้ประทานข้าวมาให้คนละหนึ่งชาม ซึ่งจะกินได้พอดีจนตลอดอายุขัย ถ้ารู้จักกินใช้อย่างประหยัดหรือแค่พอดี แต่ถ้าหนูรีบๆใช้ รีบๆกินหมดเสียตั้งแต่ยังหนุ่มๆอยู่ จะไม่มีข้าวเหลือให้ลูกได้ใช้กินยามแก่เฒ่า หนูดูอย่างน้าเขียวและน้าห้อยซิ เพราะใช้เงินเปลืองตั้งแต่ยังหนุ่ม ทั้งใช้ทั้งกินมากกว่ารายได้ของตนเอง ตอนนี้ก็ต้องลำบาก หาเงินแทบไม่พอเลี้ยงครอบครัว”

ลูกโจ๊กนิ่งเหมือนไม่ตั้งใจฟัง อาจเพราะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ ดิฉันเองก็คิดว่าลูกคงไม่ใส่ใจฟังสักเท่าไรนัก เนื่องจากตอนที่พูดเรื่องนี้กันนั้น ดิฉันกำลังขับรถไปส่งลูกให้ขึ้นรถตู้ เพื่อต่อไปยังหอพักแถวสะพานพระปิ่นเกล้าย่านฝั่งธนบุรี และรถก็เผอิญถึงที่หมายพอดี แต่ก็คิดไว้ว่า เมื่อมีโอกาสในวันข้างหน้า ดิฉันคงต้องคุยกับลูกเรื่องนี้อีกครั้ง

การณ์กลับปรากฏว่านายแจ๊คได้คุยเรื่อง “ข้าวคนละชาม”กับแม่ภายในค่ำวันเดียวกันนั้นเอง อันที่จริงเป็นเรื่องบังเอิญ เนื่องจากลูกแจ๊คมาแจ้งว่าต้องการใช้ทะเบียนบ้านและสมุดคู่ฝากเงินธนาคารของตนเอง และดิฉันเป็นผู้ที่เก็บเอกสารสำคัญของคนในบ้านทุกคนไว้ ดังนั้นหากใครต้องการเอกสารอะไร จึงต้องมาขอจากแม่ ดิฉันจึงได้ทราบว่าลูกจะใช้เพื่อทำเครดิตการ์ด

“หนูจะทำเครดิตการ์ดไปทำไม”

“ก็เผื่อแจ๊คจะใช้เงินซ่อมรถบ้าง จะได้ไม่ต้องรอเก็บเงินจากเงินเดือน และเอาเงินจากตรงนี้ไปใช้ได้เลย”

“อันที่จริงถ้าลูกจำเป็นต้องใช้เงินอะไร ก็บอกแม่ได้นี่นา แม่ให้ยืมก่อนก็ได้ แล้วค่อยผ่อนใช้คืนแม่”

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ จะได้สะดวก แจ๊คทำเครดิตแค่ห้าหกหมื่นเอง”

“ดอกเบี้ยเท่าไรล่ะ” ดิฉันถามอย่างอยากรู้

“ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“อื้อฮือ! ทำไมแพงจัง” แม่แจ๋วอุทานด้วยความตกใจ

“แต่ถ้าแจ็คคืนเขาภายในกำหนดไม่เกินห้าสิบห้าวัน ก็ไม่เสียดอกเบี้ยหรอกแม่” ลูกรีบตอบมา และพูดต่อว่า

“แจ๊คคงไม่ใช้ทั้งก้อนหรอกแม่ เพราะไม่รู้จะเอาเงินตั้งเยอะแยะไปทำอะไร อย่างมากก็ครั้งละห้าหกพันบาท”

“แล้วมีเหรอที่เราเอาเงินเขามาใช้แล้ว เขาไม่คิดดอกเบี้ยเรา แม่ว่าเขาน่าจะคิดเป็นวันๆด้วยซ้ำไป”

“ไม่คิดหรอกแม่ แจ๊คถามพวกพี่ที่เขาเคยใช้แล้ว เขาบอกว่าถ้าไม่เกินกำหนด ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แม่ไม่ต้องห่วงหรอก แจ๊คไม่ซี้ซั้วใช้ไม่เป็นเรื่องอยู่แล้ว”

“ก็แล้วแต่นะ ลูกโตแล้วพิจารณาได้เองแล้วว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควร แม่ก็ได้แต่เตือนหนู อย่างวันนี้แม่ก็เพิ่งพูดกับโจ๊ก โจ๊กไปเมื่อตอนบ่าย เรื่องการใช้เงินของเขา แม่บอกน้องว่า มนุษย์เราเกิดมาทุกคน ฟ้าประทานข้าวมาให้คนละหนึ่งชาม สำหรับให้เราใช้กินจนตลอดอายุขัย” ดิฉันทำมือเป็นเหมือนถ้วยข้าวถ้วยหนึ่งให้ลูกดู เห็นลูกฟังอย่างสนใจ จึงพูดต่อว่า

“ชามข้าวนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรหนูรู้มั้ย ก็เกิดจากการที่ชาติก่อนหนูทำเอาไว้ ทุกสิ่งมาแต่เหตุ ไม่มีอะไรบังเอิญนะลูก อย่างที่หนูและน้องๆมาเกิดเป็นลูกแม่กับป๊าก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะเราทั้งหมดมีบุญสัมพันธ์กันมา ถึงมาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันในชาตินี้ เมื่อหนูเกิดมาก็จะเหมือนมีข้าวติดมาให้หนึ่งชาม เป็นชามข้าวของลูกเอง แม่ก็มีชามข้าวของแม่เองหนึ่งชาม ป๊าหนูก็มีชามข้าวของตัวเองหนึ่งชาม โจ๊กกับน้องจ๊อบก็จะมีชามข้าวของตัวเองคนละหนึ่งชามเหมือนกัน ถ้าจะพูดก็เหมือนว่า มนุษย์ทุกคนมีข้าวติดมาคนละหนึ่งชาม อยู่ที่ว่าเรารู้จักกินใช้อย่างไรจึงจะเพียงพอให้เรามีกินมีใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

“หนูเห็นน้าเขียวกับน้าห้อยมั้ย ตอนหนุ่มๆเขาสุรุ่ยสุร่ายมาก ใช้เงินสิ้นเปลืองเปล่าๆกับสิ่งอันไร้สาระและอบายมุขทั้งหลาย แถมยังเอาชามข้าวของชาติหน้ามาใช้ล่วงหน้าอีก คือเที่ยวกู้หนี้ยืมสินเขาไปทั่ว จนป่านนี้ยังไม่มีปัญญาจะใช้คืนให้ใคร ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ก็รู้ๆกันอยู่ แล้วหนูว่าถ้าเกิดชาติหน้า เขาจะเป็นอย่างไร ลูกพอมองออกมั้ย” ลูกแจ๊คพยักหน้าอย่างนึกเห็นภาพ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“แล้วหนูดูป๊ากับแม่ซิ เราทั้งสองคนกินอยู่อย่างสมถะมาตั้งแต่ตอนเรายังหนุ่มๆสาวๆอยู่ ไม่เคยสุรุ่ยสุร่าย ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่มั่วสุมอบายมุขทั้งหลาย ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน แม้กับลูกๆ แม่ก็ไม่เคยให้ใช้ของที่แพงๆหรือกินอย่างเลิศหรู คงใช้แต่ของพื้นๆธรรมดาๆ จนเดี๋ยวนี้ แม้เราจะมีธุรกิจใหญ่โตขึ้นมาก แต่เราก็ยังคงมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จะมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ถึงตอนนี้หนูอาจจะเห็นว่าป๊าเริ่มใช้เงินเปลืองขึ้น แบบนี้ต้องถือว่า ป๊ามีสิทธิ์ใช้เงินแล้ว เพราะชามข้าวของป๊าเพิ่มพูนขึ้นมากแล้ว”

“เมื่อลูกๆยังเล็กอยู่ ป๊ากับแม่มีหน้าที่รักษาชามข้าวให้ลูก และสอนลูกให้รู้จักรักษาชามข้าวของตนเอง ก็โดยการให้การศึกษา อบรมสั่งสอนอย่างที่แม่ทำมาตลอด แต่ตอนนี้ลูกโตแล้ว ลูกต้องรู้จักรักษาชามข้าวของตัวเองแล้ว ต้องรู้ว่าอะไรควรซื้อควรจ่าย หรืออะไรไม่สมควร แม่คงเข้าไปก้าวก่ายอะไรลูกไม่ได้ ได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆ และคอยเตือนๆบ้างก็เท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกจะใช้อะไรไม่ได้เลย เมื่อถึงวันหนึ่งที่ชามข้าวของลูกเพิ่มพูนขึ้น หมายความว่าลูกร่ำรวยแล้ว เหมือนที่ป๊าหนูเป็นอยู่ตอนนี้ ลูกก็มีสิทธิ์ที่จะใช้เงินนั้นได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ลูกยังต้องรู้จักที่จะทำเผื่อชาติหน้าอีกด้วยนะ ลูกรู้มั้ย การทำเผื่อชามข้าวของชาติหน้าคือทำอย่างไร” ลูกแจ๊คส่ายหน้าพร้อมกับถามว่า

“ทำอย่างไรครับแม่”

“ก็เมื่อหนูมีแล้ว ชามข้าวเพิ่มพูนแล้ว ลูกก็ต้องรู้จักที่จะเป็น ผู้ให้ ไงล่ะ ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น อย่างที่แม่ทำอยู่ทุกวันนี้ แม่สอนเพื่อนๆหรือผู้สูงอายุทั้งหลายออกกำลังกาย โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ว่าจะในรูปเงินทองหรือสิ่งของก็ตาม แต่ลูกรู้มั้ย สิ่งที่แม่ได้กลับคืนมาคืออะไร ความสุขและความแข็งแรงทั้งทางกายและทางใจ ซึ่งสิ่งที่แม่ได้รับนั้น แม้เงินมากมายเท่าไรก็หาซื้อไม่ได้ และอย่างนี้ถ้าจะถือว่าแม่กำลังทำชามข้าวของแม่เผื่อชาติหน้าก็ได้ หนูว่าจริงมั้ย”

ลูกพยักหน้ารับว่าเป็นจริงอย่างที่แม่พูด ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ลูกลองคิดดูนะ ผู้สูงอายุส่วนมาก เมื่อลูกหลานไปทำงานแล้ว ต้องอยู่บ้านคนเดียว นั่งหลับๆตื่นๆอยู่หน้าทีวี วันเวลาแต่ละวันช่างยาวนานเหลือเกิน แถมกลางคืนยังนอนไม่ค่อยหลับ บางคนเป็นโรคเครียดไปเลย แต่พอได้มาออกกำลังกายกับแม่ ได้มาสะบัดพัดพรึบพรับ ทำอะไรได้เหมือนคนหนุ่มๆสาวๆเขาทำได้กัน มันน่าสนุกและภูมิใจขนาดไหน แถมกลับบ้านกลางคืนยังหลับสบาย แม่ได้ฟังจากคุณป้าหลายๆคนบอกว่า มาออกกำลังกายกับแม่แล้ว กลางคืนได้นอนหลับยาวขึ้น แม่ฟังแล้วก็มีความสุขชะมัด” ดิฉันเล่าให้ลูกฟังแล้วก็ยิ้มเป็นปลื้มกับเรื่องของตนเอง ทำเอาลูกพลอยพยักยิ้มไปกับความสุขของแม่ด้วย จากนั้นดิฉันก็พูดต่อไปว่า

“ลูกเองก็เหมือนกัน พอถึงเวลาหนึ่งก็ต้องเป็นผู้ให้บ้าง และต้องให้แบบไม่หวังผลเช่นกัน แล้วลูกจะรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า เรามีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน มีบ้านกี่หลัง มีรถกี่คัน มีเงินมากแค่ไหน”

ลูกแจ๊คพยักหน้ารับ มีแววตาที่บอกความเข้าใจในเรื่องที่แม่กำลังพูดอยู่ ดิฉันจึงกล่าวต่อไปว่า

“มีครั้งหนึ่งแม่จำไม่ได้แล้วว่า พูดคุยกับป๊าหนูเรื่องอะไรกันอยู่ ที่รู้ๆก็เป็นเรื่องของลูกๆนี่แหละ และที่จำได้แม่นคือแม่ถามป๊าว่า ป๊าภูมิใจลูกชายตัวเองบ้างมั้ย ทั้งโจ๊กและแจ๊คนะ ตอนนั้นรู้สึกว่าหนูใกล้จะจบมหาวิทยาลัยแล้ว และโจ๊กก็สอบเอ็นทรานส์ได้แล้วด้วย ป๊าหนูนิ่งไม่ตอบ แม่ก็เลยพูดต่อไปว่า”

“ป๊าไม่ต้องตอบออกมาก็ได้ แค่คิดในใจก็พอ ถ้าป๊าภูมิใจ ก็ขอให้รู้ไว้ว่า นั่นคือแม่เป็นคนเลี้ยงและอบรมลูกด้วยตนเอง แต่ถ้าไม่ภูมิใจ ก็ขอให้รู้ว่า แม่เลี้ยงลูกได้ดีที่สุดเท่านี้ และไม่สามารถที่จะเลี้ยงให้ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ทำไมแม่ไม่ถามป๊าหนูว่า รักลูกมั้ย เพราะแม่รู้ว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมรักลูกอยู่แล้ว แต่รักลูกแล้ว จำเป็นต้องภูมิใจในตัวลูกด้วยมั้ย” ลูกแจ๊คส่ายหน้า

“ใช่แล้วลูก พ่อแม่ที่รักลูกอาจไม่ภูมิใจในลูกของตนเองเลยก็ได้ เพราะลูกคนนั้นอาจจะทำตัวไม่ดี สร้างแต่ความเดือดร้อนและหาแต่ความทุกข์มาให้พ่อแม่ของตน แต่สำหรับแม่แล้ว ขอบอกว่าแม่ภูมิใจในลูกแม่ทั้งสามคน ทั้งแจ๊ค โจ๊ก และจ๊อบด้วย แค่คำว่าภูมิใจคำเดียวนี่ มันรวมถึงความรักและความสุขของพ่อแม่ด้วยนะ หนูเข้าใจใช่มั้ยลูก”

ลูกแจ๊คพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววแห่งความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ลูกคนนี้ไม่ค่อยช่างพูด มักเป็นฝ่ายนั่งฟังนิ่งๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ไม่เหมือนนายโจ๊ก ขานั้นช่างพูด ช่างคุย ในตอนที่ดิฉันคุยกับพี่แจ๊คอยู่นั้น นายจ๊อบลูกชายคนเล็กเดินไปเดินมา ก็ได้รับฟังไปด้วยเช่นกัน ดิฉันถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะลูกได้ยินสิ่งที่แม่กับพี่คุยกัน เขาคงซึมซับได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ดิฉันได้เล่าเรื่องที่พูดคุยกับพี่แจ๊คให้นายโจ๊กฟัง คราวนี้ลูกฟังอย่างตั้งใจ ปกติลูกโจ๊กชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ดิฉันจึงบอกว่า เรื่อง “ข้าวคนละชาม” นั้นแม่เอาเค้าเรื่องมาจากหนังสือชื่อ “อาหารกำหนดชะตากรรมของท่าน” เขียนโดยท่าน นัมโบกุ มิซูโน ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ที่เขียนไว้เมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว และดิฉันก็เล่าให้ลูกฟังคร่าวๆว่า

ท่านนัมโบกุ มิซูโน เป็นบรมครูด้านวิชานรลักษณ์ หรือที่เราเรียกกันเป็นสามัญว่า “โหงวเฮ้ง” ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในญี่ปุ่นเมื่อสองร้อยปีมาแล้ว ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2300 และมรณะเมื่อปี 2368 มีอายุยืนได้ 68 ปี ทั้งๆที่ตามลักษณะโหงวเฮ้งดั้งเดิม ท่านอาจารย์ผู้นี้จะต้องตายตั้งแต่อายุก่อน 30 ปี การดูโหงวเฮ้งในสมัยโบราณมิใช่การทำนายโชคชะตา หากเป็นการดูเพื่อการรักษาโรคเป็นสำคัญ และโดยนัยนั้นก็รวมไปถึงเคราะห์กรรมและสภาพชีวิตเบ็ดเสร็จ

ท่านมิซูโนสามารถทำนายชะตาชีวิตของคนนับหมื่น โดยไม่พลาดแม้แต่รายเดียว แต่กระนั้นท่านก็บอกว่า โหงวเฮ้งของคนไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว มันเปลี่ยนไปได้ แล้วแต่การกินของคนๆนั้นเป็นสำคัญ คนที่กินอย่างมักน้อยเจียมตน หากเป็นคนจน ก็จะมีทรัพย์สินและมีความผาสุกในบั้นปลายแห่งชีวิต หากเป็นคนที่ร่ำรวยอยู่แล้วแต่กินด้วยความถ่อมตน ก็จะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ภูมิใจของลูกหลาน……..คำสอนของท่านมิซูโนออกจะเป็นคำสอนที่ประหลาดและเหลือเชื่อ แต่หากสามารถปฏิบัติตามได้ ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ปฏิบัติ ตรงกันข้าม มันรังแต่จะให้ผลดีแก่สุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ และที่สำคัญคือในด้านเศรษฐกิจ

ท่านนัมโบกุศึกษาวิชาการดูโหงวเฮ้ง ด้วยการศึกษาจากผู้ชายและเด็กชายในคุก ทั้งจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม เพื่อศึกษาการเคลื่อนไหวของผู้คน ฝึกหัดเป็นช่างตัดผมเพื่อศึกษาโครงสร้างของกะโหลกศีรษะ ใบหน้าและมือของผู้คน ถัดมาท่านได้ไปทำงานเป็นพนักงานรับใช้ในโรงอาบน้ำสาธารณะ ขัดนวดถูหลังถูไหล่ให้คนที่มาอาบน้ำ ในเวลาเดียวกันก็สนทนาไต่ถามเรื่องราวของชีวิตไปด้วย ในที่สุดท่านก็ศึกษาโครงสร้างของกระดูกและกายวิภาคของคนด้วยการเข้าทำงานที่สถานฌาปนกิจ เป็นเวลา 3 ปี ด้วยการจัดการกับศพและเผากระดูกเพื่อศึกษา

หลังจากที่เฝ้าสังเกตสังกาอย่างถี่ถ้วนมาเป็นเวลาเก้าปี ท่านนัมโบกุได้ค้นพบว่า ชะตากรรมของคนนั้นกำหนดอยู่ด้วยอาหารประจำวันของเขา ระเบียบอันมหัศจรรย์ในชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ไม่ตายตัว หากเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของอาหารที่กินเข้าไป และท่านยังกล่าวไว้อีกว่า

“ทุกคนที่เกิดมา ฟ้าได้ประทานอาหารมาให้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นจงกินในปริมาณที่ฟ้าประทานมาให้ ตามสัดส่วนของฐานะของแต่ละคน หากผู้ใดกินอย่างอ่อนน้อมเจียมตน อาหารส่วนของเขาที่ฟ้าประทานมาให้ก็จะยืดออกไป เขาก็จะมีอายุยืนและประสบความผาสุกในบั้นปลาย”

“ ชีวิตทุกชีวิตมีอาหารของตน ในจำนวนแน่นอนที่ฟ้าจัดมาให้แล้ว….

….หากคนที่โหงวเฮ้งไม่ดี แต่กินอาหารปริมาณน้อยกว่าที่ฟ้ากำหนดมาให้เขา เขาก็จะโชคดีในชีวิต เขาสามารถประสบความรุ่งเรืองและมีอายุยืนยาว ในยามชราเขาจะมีความสุข

….หากคนที่มีโหงวเฮ้งดี แต่กินมากกว่าที่ฟ้ากำหนดประทานมาให้ เขาก็จะพบความยุ่งยากมากมายในชีวิต…..ความเหนื่อยและความเครียดจะรบกวนอยู่ตลอดชีวิต ยามชราจะทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง.”

ดิฉันได้นำหนังสือนั้นมาให้ลูกโจ๊กในบ่ายวันเดียวกัน ปรากฏว่าลูกรีบอ่านทันทีที่ได้รับหนังสือ หากท่านใดประสงค์จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอบอกรายละเอียดดังนี้ หนังสือชื่อว่า “อาหารกำหนดชะตากรรมของท่าน” แปลจากภาษาญี่ปุ่นโบราณเป็นภาษาอังกฤษโดย มิชิโอะ & อเวลีน คูชิ และอเล็กซ์ แจ๊ค และแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยโดย อุดร ฐาปโนสถ