9. ลูกสอนแม่

อย่าตกใจเมื่อเห็นชื่อเรื่อง อย่าสงสัยว่าลูกคนไหนของแม่แจ๋วนะที่กล้า “สอนแม่” เมื่อคิดจะเล่าเรื่องของลูกแล้ว ก็คงต้องพูดกันให้หมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องจะเป็นเช่นไร ขอเพียงว่าเรื่องดังกล่าวนั้น เป็นประโยชน์ต่อคุณๆได้จริงๆ และลูกๆเองก็อนุญาตให้แม่ “แฉ” เรื่องของตนเองแล้ว จะให้แม่แจ๋วเล่นบทคุณแม่แสนดีอยู่คนเดียวได้ยังไง มันจะผิดธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดามากไปหน่อย ถ้ายอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีทั้งดีและเลว เรื่องต่างๆที่แม่แจ๋วเล่าให้ฟัง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย คุณๆไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องกับการกระทำของ“แม่แจ๋ว” หลายท่านเมื่อประสบเหตุการณ์เดียวกัน อาจมีวิธีจัดการได้ดีกว่ามาก เพียงแต่ท่านมิได้เอ่ยออกบอกมาเท่านั้น

ดิฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดได้กับทุกครอบครัว เพียงแต่คุณจะได้สังเกตและยอมรับหรือไม่เท่านั้น อันที่จริงลูกเองก็ไม่ได้ตั้งท่าและตั้งใจที่จะสอนแม่หรอกค่ะ เพียงแต่คำพูดของลูกที่เอ่ยออกมานั้น เข้าไปสะกิดใจแม่ค่อนข้างแรง จนทำให้ต้องหวนกลับมาใคร่ครวญในสิ่งที่พวกเขาพูด และพิจารณาคำพูดและการกระทำของตนเองให้ถ่องแท้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเล่าเรื่องต่างๆต่อไป ดิฉันอยากทำความเข้าใจกับคุณๆก่อนว่า เรื่องที่พูดให้ฟังมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันทางเวลา ดิฉันจะจับเอาเรื่องหลักของลูกคนใดคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังก่อน และในขณะที่เขียนไปนั้น เกิดนึกได้ถึงเรื่องของลูกคนอื่นๆที่พ้องกัน ก็จะหยิบมาเล่าให้ฟัง ดังนั้นถ้าคุณได้อ่านมาแต่ต้นก็จะเห็นว่า เรื่องที่ดิฉันเล่าให้ฟัง ประเดี๋ยวลูกก็โตแล้ว ประเดี๋ยวก็กลับไปเป็นเด็กเล็กอยู่ ขอให้ถือเอาการพูดคุยอบรมสั่งสอนลูกเป็นสำคัญ แต่สำหรับเรื่องนี้กลับกันกับทุกๆเรื่องคือ ลูกกำลังสอนแม่ ส่วนจะสอนในลักษณะใดนั้น คุณต้องติดตามต่อไป

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ลูกจ๊อบเรียนชั้นอนุบาล กำลังซนมาก ทุกวันเสาร์คุณอาของลูก ซึ่งมีลูกชายอายุมากกว่าลูกจ๊อบสามปี จะพาลูกมาไว้ที่บ้านดิฉันเสมอ แล้วตัวเธอก็จะเลยไปทำงาน เด็กๆก็จะเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนบางทีถึงเวลากินข้าว แม้เรียกอย่างไรก็แทบจะไม่ยอมเลิกเล่น วันนั้นก็เช่นกัน เมื่อได้เวลาอาหารกลางวัน ดิฉันเรียกลูกๆมากินข้าว เด็กๆคงเล่นกันเฉยไม่สนใจ เสียงเรียกก็ชักดังขึ้นเรื่อยๆ

“จ๊อบ พี่ซัน กินข้าวได้แล้ว ได้ยินมั้ย”

เด็กๆคงเฉย วิ่งไล่กันสนุก

“จ๊อบเลิกเล่น มากินข้าวเดี๋ยวนี้” เสียงดังขึ้นอีก เด็กๆยังสนุกต่อ คราวนี้แม่แผดเสียงลั่นบ้าน

“ไอ้จ๊อบ! ถ้ายังไม่มากินข้าว แม่จะตีให้เลือดออก”

ทุกคนหยุดวิ่ง “พี่ซัน” ลูกของคุณอา รีบเดินไปที่โต๊ะอาหาร ส่วนลูกจ๊อบเดินมาที่ดิฉันและพูดว่า

“วันหลังแม่พูดกับเราดีๆก็ได้ ไม่ต้องพูดเสียงดัง เราก็ฟังรู้เรื่อง”

“ก็แม่เรียกแล้วทำไมเธอไม่รีบมา ต้องให้แม่เรียกเสียงดังทำไม”

“ก็แม่อยากพูดไม่ดีกับเราทำไม”

ว่าแล้วลูกก็เดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

ดิฉันไม่ได้ต่อความกับลูก และไม่ใส่ใจกับคำพูดของลูกในวันนั้น ช่วงนั้นดิฉันยังไม่ได้เริ่มศึกษาพระธรรม และยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม จึงเป็นคนฉุนเฉียวและหงุดหงิดง่าย สองสัปดาห์ต่อมา จำได้ว่าเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว เรียกลูกจ๊อบให้อาบน้ำ แต่ลูกทำเฉย เสียงเรียกดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนเคย ลูกคงดูทีวีเฉยอยู่ เรียกครั้งสุดท้ายพร้อมไม้บรรทัดในมือ

“จ๊อบ! แม่บอกให้ไปอาบน้ำ” พอพูดจบ ไม้บรรทัดในมือก็ฟาดเผี๊ยะไปที่ขาของลูก เสียงลูกร้องไห้ เอามือคลำขาที่ถูกตี พร้อมกับพูดว่า

“แม่! ตีเราทำไม เราเจ็บนะ ฮือๆๆ”

“ถูกตีก็ต้องเจ็บซิ ตีไม่เจ็บแม่จะตีทำไม ก็หนูอยากเรียกไม่ฟังทำไมล่ะ”

“ก็แม่ทำไมไม่พูดกับเราดีๆล่ะ แม่พูดกับเราดีๆก็ได้ เราก็ฟังรู้เรื่องแล้ว ฮือๆๆ ต่อไปนี้ ถ้าแม่พูดกับเราไม่ดีและตีเราอีก เราจะไม่เชื่อฟัง แล้วเราจะไม่ทำตามคำสั่งของแม่อีกด้วย”

ลูกไปอาบน้ำด้วยความเสียใจและน้อยใจอย่างยิ่ง ส่วนแม่นิ่งอึ้งแบบคาดไม่ถึงกับวาจาของลูกน้อยอายุยังไม่ถึงห้าขวบดี คืนนั้นดิฉันเก็บเอาคำพูดของลูกไปคิด พิจารณาตนเองทั้งวาจาและการกระทำ ก็มองเห็นข้อบกพร่องของตนเองดังที่ลูกได้ “อบรมสั่งสอน” ดิฉันคงพูดไม่ดีมากๆกับลูกๆเสมอมา ลูกๆคงสังเกตเห็นกันทุกคน แต่ลูกที่โตๆแล้วคงไม่กล้าบอกแม่ ส่วนนายคนเล็ก เนื่องจากยังไร้เดียงสาอย่างมาก จึงพูดอย่างที่ตนเองคิดได้ทุกคำพูด

อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ช่วงนั้นดิฉันยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นคนหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย คุณสังเกตดูเถิดคนเจ้าอารมณ์วาจามักก้าวร้าว แสดงความยโสโอหัง สำเนียงไม่ไพเราะแถมยังไม่เสนาะหูคนฟังอีกด้วย พอพูดบ่อยๆเข้าสำเนียงแบบน่าเกลียดนั้นก็ราวกับเป็นเอกลักษณ์ของคนเจ้าอารมณ์นั้น โดยที่เจ้าตัวเองก็หารู้ตัวไม่ คิดว่าตนเองก็พูดด้วยคำพูดธรรมดาเหมือนคนอื่น การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆที่ไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดก็ยังพอทำเนา เพราะต้องคอยระมัดระวังคำพูดและการกระทำ เนื่องด้วยมารยาทในสังคม หรือแม้บุคคลอื่นได้ยินสำเนียงที่ไม่ไพเราะ ก็คงไม่มีใครกล้าเตือนเราตรงๆ แต่กับคนใกล้ชิดแบบครอบครัวเดียวกัน แม้จะสำเหนียกได้ชัดเจนถึงความก้าวร้าวของสำเนียงพูดของแม่ อาจด้วยความเคยชินหนึ่ง หรืออาจด้วยความเกรงใจหนึ่ง จึงไม่มีใครกล้าเตือนแม่ตรงๆ

ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวเล็กมาพูดสะกิดดังนี้ ดิฉันจึงคิดหนัก และเริ่มปรับบทบาทของตนเองใหม่ เริ่มระมัดระวังการพูดและการกระทำของตนเองมากขึ้น จนภายหลังเมื่อเริ่มฟังเทศน์ ฟังธรรม ศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมมากขึ้น จิตใจอ่อนโยนลง คำพูดจาและการกระทำก็เริ่มอ่อนลงไปด้วย จนวันหนึ่งที่ลูกโจ๊กพูดว่า “แม่ไปทำอะไรมา ทำไมแม่ดูเปลี่ยนไป” (รายละเอียดเรื่องนี้หาอ่านได้ในเรื่อง”โจ๊กอยากได้กีตาร์ราคาแพงๆ”) ดิฉันถึงได้รู้ตัวว่า ตนเองต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆจนเห็นได้ชัดเจน ลูกจึงได้ทักแม่ขึ้นมาแบบนั้น

พอพูดถึงเรื่องนี้ก็พลอยทำให้คิดถึงเรื่องอื่นๆ ที่ลูกๆเคยสะกิดแม่ด้วยคำพูดที่ออกมาจากใจของเขา ครั้งนี้เป็นคำพูดของลูกชายคนโต เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่ลูกคนโตทั้งสองเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่น และลูกจ๊อบยังเล็กนัก

ช่วงนั้นเป็นมรสุมชีวิตที่ดิฉันกับคุณพ่อของลูกมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยมากๆ อันที่จริงเรื่องราวต่างๆที่เราทั้งสองคนมีปัญหากันนั้น ดำเนินมานานหลายปีมาก แต่ในช่วงนั้นเกิดความแตกร้าวกันครั้งใหญ่แบบที่ไม่มีใครคิดจะอดทนกันอีกต่อไป ดิฉันจึงขอแยกทางกับคุณพ่อของลูก โดยกล่าวกับเธอว่า

“ชั้นไม่อยากทนที่จะมีชีวิตแบบนี้อีก คิดว่าเราควรแยกทางกัน ตอนนี้ลูกก็โตพอที่จะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว ให้ลองถามลูกดูว่า ลูกจะเลือกอยู่กับใคร ถ้าลูกเลือกคุณ ชั้นจะเป็นฝ่ายไปจากบ้านหลังนี้ แต่ถ้าลูกเลือกชั้น คุณต้องเป็นฝ่ายไป และชั้นจะอยู่กับลูกที่นี่”

คุณพ่อของลูกพยักหน้าบอกให้เรียกลูกทั้งหมดมาคุยกัน ดิฉันจึงเรียกลูกทั้งสามคนมานั่งในห้องนั่งเล่น และเริ่มกล่าวกับลูกว่า

“ลูกๆ ป๊ากับแม่มีเรื่องสำคัญมากจะบอกหนู ขอให้ลูกรู้ไว้ด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ครอบครัวต่างๆต้องแตกแยกกัน เพราะเกือบหกเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ของครอบครัวในเมืองไทย ที่พ่อแม่แยกทางกันอยู่ด้วยหลายๆสาเหตุ และวันนี้เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นในครอบครัวของเราแล้ว แม่กับป๊าจำเป็นที่จะต้องแยกกันอยู่ จึงต้องเรียกลูกมาถามว่า ลูกจะเลือกอยู่กับใคร ถ้าลูกเลือกป๊า แม่รู้ว่าลูกๆรักบ้านหลังนี้มาก พวกหนูกับป๊าจะได้อยู่บ้านหลังนี้ แม่จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านนี้ไป แต่ถ้าหนูเลือกแม่ พวกหนูกับแม่จะได้อยู่บ้านหลังนี้และป๊าเป็นฝ่ายไป หนูต้องตัดสินใจแล้วว่าหนูจะเลือกใคร”

ลูกๆร้องไห้กันทุกคน ดิฉันก็พลอยร้องไห้ไปกับลูกด้วย มีเพียงคุณพ่อของลูกเท่านั้นที่นั่งดูทีวีเฉยอยู่ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด ทั้งหมดนิ่งกันไปครู่ใหญ่ ลูกแจ๊คก็พูดขึ้นด้วยเสียงสะอื้น น้ำตานองหน้าว่า

“ไม่เลือกไม่ได้หรือ”

ดิฉันตอบลูกไปว่า

“ถ้าไม่เลือก หนูจะทนได้หรือที่ป๊ากับแม่ทะเลาะกันทุกวัน”

ลูกแจ๊คพูดขึ้นทันทีว่า

“ถึงทนไม่ได้ก็ต้องทน”

ดิฉันได้ยินดังนั้น ก็สะอึกนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ลูกโจ๊กร้องไห้เสียงดังไม่พูดอะไร ลูกจ๊อบเห็นทั้งแม่และพี่ร้องไห้ก็ร้องตาม โดยที่ลูกเองก็คงไม่ทราบเรื่องอะไรด้วย แต่ด้วยสัญชาตญาณลูกอาจรู้สึกได้ถึงความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัว โดยไม่มีใครกล่าวว่าอะไรอีก ทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ของลูกๆ ดิฉันเดินหลีกออกจากที่นั้น ขึ้นบันไดไปยังห้องนอน นั่งขัดสมาธิบนเตียง พิจารณาลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดของลูก ถามตัวเองว่า

“นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังบังคับลูกให้ทำอะไร เรามีลูกมาทำไม เราเต็มใจและตั้งใจที่จะมีลูกหรือเปล่า เรารักลูกหรือเรารักตัวเองกันแน่ เพียงเพราะพ่อแม่มีปัญหากัน เมื่อแก้ไขกันเองไม่ได้ ด้วยความเห็นแก่ตัวของเราทั้งคู่ เรากลับโยนปัญหานั้นให้ลูกต้องเป็นผู้รับบาป ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจเลือกใคร เราทั้งสองคนก็เป็นฝ่ายผิดทั้งสิ้น เพราะเราเป็นผู้บังคับให้เขาเลือก ตอนนี้ลูกเลือกแล้วคือ ยอมทุกข์ทรมานแม้พ่อแม่จะทะเลาะกันอีก แต่ต้องการอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ แล้วเราล่ะ เราเป็นแม่แบบไหนกันนี่”

ถ้าเช่นนั้น“เราควรจะทำอย่างไรดี” หลังจากทบทวนอยู่นานถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นว่า ปัญหาเหล่านั้นมาจาก “ทิฐิมานะ อัตตาตัวตนและความเห็นแก่ตัว” ของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น เมื่อมีมากความไม่ยอมลงแก่กันก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนถึงขั้นทำร้ายทำลายกันทั้งด้านร่างกายและจิตใจ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของลูกๆ ต่างฝ่ายต่างจ้องจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ทุกครั้งและทุกเรื่องเท่านั้น เรื่องแบบนี้ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลง เราจะไปหวังให้ใครมาเปลี่ยนแปลงเพื่อเราหรือเพื่อลูกได้เล่า นอกจากเราต้องเปลี่ยนตัวเองเท่านั้น และเราต้องทำให้ได้ ถามตัวเองว่าเรารักลูกหรือเปล่า ขนาดลูกยังยอมทนทุกข์ ยอมร้อนหูร้อนใจ แม้พ่อแม่จะสร้างความเดือดร้อนให้ ขอเพียงได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ถ้าเราไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง ก็หมายความว่า เราไม่รักลูกและยังเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด

คำเตือนสติของลูกแจ๊ค ทำให้ได้คิด ดิฉันตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไปโดยไม่มีใครต้องแยกออกไปตามที่ลูกต้องการ และตัดสินใจทันทีที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อความสุขของลูกและความสงบในครอบครัว โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงใครอื่นทั้งสิ้น หลังจากนั้นมาดิฉันพยายามสงบปากคำของตนเองอย่างที่สุด หันหน้ามาศึกษาพระธรรมในพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และพยายามปฏิบัติขัดเกลาตนเองทั้งกาย วาจาและจิตใจ คิดเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะต้องใช้เวลาเป็นหลายๆปีก็ตาม

ในช่วงที่กำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองอยู่นั้น ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่คราวนี้ลูกโจ๊กเป็นผู้ “สอนแม่”อีกแล้ว

คุณๆก็รู้ว่า การคิดเปลี่ยนแปลงตนเองนั้น ใช่ว่าพอเริ่มกระทำแล้วก็จะเห็นผลทันตาในเร็ววัน ต้องใช่ทั้งความเพียรและความอดทนอย่างยิ่งยวด อีกทั้งต้องตั้งสติให้ดีกับทุกการกระทบไม่ว่าจะเป็น“ทางตา” ที่มองเห็นภาพที่ไม่น่าพอตา หรือ“ทางหู”ที่ได้ยินเสียงที่ขัดหู ซึ่งจะส่งผลกระทบไป“ทางใจ” โดยตรง ทำให้เกิดความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด โลภ เศร้า เสียใจ ดีใจ หรือหดหู่เศร้าหมองอันก่อให้เกิดทุกข์ได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งความคิดหรือความรู้สึกที่อยากให้คนอื่นเขาเป็นคนดีอย่างที่เรา“อยาก” ให้เขาเป็น ก็ก่อผลกระทบทางใจได้ไม่แตกต่างกัน

เป็นธรรมดาของผู้ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เมื่อได้พบความสุขสงบเย็น ก็อยากให้คนอื่นๆโดยเฉพาะผู้ใกล้ชิด ได้รับรสแห่งความสุขเย็นแบบนั้นบ้าง ดังนั้นเมื่อครั้งคราใดที่มองเห็นคนใกล้ตัว กระทำสิ่งใดที่ตนเองรู้สึก“ขัดใจ” ก็จะอยากพูดอยากเตือนให้“เขา” แก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างเราบ้าง ดิฉันเองรู้สึกว่าจะเป็นดังที่กล่าวข้างต้นมากไปหน่อย จึงบังอาจไปแนะนำตักเตือนคุณพ่อของลูก พอเธอไม่พอใจโต้ตอบกลับมาแรงๆ ก็เลยทุกข์หนัก เมื่อนำเอาเรื่องดังกล่าวไปคุยกับลูกโจ๊ก (เคยบอกไว้เสมอว่า แม่แจ๋วกับลูกคุยกันทุกเรื่อง เรียกว่าใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไร ก็จะพูดคุยกันในเชิงปรับทุกข์หรือปรึกษาหารือ) ดังนั้นเมื่อลูกฟังเรื่องทั้งหมดแล้วจึงพูดขึ้นว่า

“แม่หวังอะไรที่ไปพูดอย่างนั้นกับป๊า” นั่นซินะ เราหวังอะไร จึงบังอาจไปตักเตือนแนะนำคุณพ่อของลูก

“แม่ก็อยากให้ป๊าเขาเลิกเห็นแก่ตัว แล้วหันมาฟังในสิ่งที่แม่คิดว่าเป็นเรื่องดี”

“แล้วแม่คิดว่าป๊าเขาจะฟังแม่หรือ” ดิฉันนิ่งอึ้งไป ลูกโจ๊กพูดต่อไปว่า

“เวลาแม่พูดธรรมะให้เพื่อนแม่ฟัง พวกเขาฟังแม่หรือเปล่า”

“ฟังซิ บางคนฟังจากแม่แล้วไปปฏิบัติได้ดีกว่าที่แม่เคยบอกเขาซะอีก”

“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็เอาสิ่งดีๆนั้นไปพูดกับคนอื่นที่เขาอยากจะฟังแม่ ดีกว่ามาพูดให้ป๊าฟัง เพราะแม่ก็รู้ว่าเมื่อป๊าไม่ฟังและมีเรื่องกัน แม่ก็จะทุกข์ทุกครั้ง สำหรับป๊าเอาไว้โจ๊กจะเป็นคนพูดคนบอกเอง” ลูกหยุดพูดชั่วครู่เพื่อดูปฏิกิริยาของแม่ เมื่อเห็นว่าแม่นั่งนิ่งไม่โต้ตอบแต่อย่างใด ก็พูดต่อไปว่า

“โจ๊กว่าแม่รีบๆปฏิบัติธรรมให้มากๆ เพื่อให้พ้นทุกข์ไปเลยดีกว่า แม่ไม่ต้องห่วงใครอีกแล้วไม่ว่าจะเป็นป๊าหรือลูกๆ โจ๊กว่าที่แม่ยังต้องวนเวียนมาเกิดอีก ก็เพราะแม่คอยห่วงที่จะให้สามีเป็นคนดี คอยห่วงที่จะให้ลูกเป็นคนดี แม่เลยไปไหนไม่รอดสักที แม่รู้มั้ย! แม่ไม่ได้มีสามีแค่ป๊าคนเดียวนะ แม่มีมาเป็นแสนๆคนแล้ว ลูกก็เหมือนกัน แม่ก็ไม่ได้มีลูกแค่สามคนคือแจ๊ค โจ๊กและจ๊อบเท่านั้นนะ แม่มีลูกมาเป็นแสนๆคนแล้วเหมือนกัน แล้วแม่ก็คอยห่วงที่จะให้พวกเขาเป็นคนดีอย่างที่แม่อยากให้เป็น แม่ก็เลยต้องเวียนเกิดเวียนตายนับแสนๆชาติ แม่วางซะทีซิ แม่ปล่อยได้แล้ว อย่าห่วงใครอีกเลย แม่เชื่อเถิดสิ่งที่แม่สั่งสอนลูกๆมา แม่ได้ทำดีที่สุดแล้ว คนเรามาคนเดียว และไปได้คนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครสามารถพาใครไปด้วยได้หรอกนะแม่ ถ้าเขามองไม่เห็นและไม่พากเพียรของเขาเอง”

จบคำพูดของลูกโจ๊กซึ่งมีอายุเพียงสิบแปดปี เปรี้ยง! ปรากฏเหมือนมีแสงสว่างจัดจ้าส่องไปทั่วบริเวณ สะเก็ดดาวระยิบระยับล่วงหล่นจากฟากฟ้ามากมายนับเป็นพันๆดวง ดิฉันเงยหน้ามองลูกอย่างตื่นตะลึงกับคำพูดที่ไม่เคยคาดคิดว่าลูกจะพูดได้อย่างนี้ ใบหน้าลูกพร่าเลือน ได้คิดกับคำพูดสะกิดเตือนใจของลูก แม่ตาสว่างขึ้นทันที อะไรบางอย่างที่เป็นก้อนหนักๆกระเด็นหลุดออกไปจากใจของแม่ทั้งยวง ร่างกายเบาหวิว โอ้! ลูกรัก ขอบคุณมากจริงๆ

นับจากนาทีนั้นเป็นต้นมา ดิฉันไม่ทุกข์กับการกระทำของคุณพ่อของลูกอีกเลย คงทำหน้าที่ของตนไปตามปกติ การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวหรือแม้กับบุคคลทั่วๆไป ก็เฝ้าดูใจของตนเองทุกๆการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นกรรม (การกระทำ) ที่เกิดขึ้นทาง “กาย” “วาจา” และ “ใจ” เพียงหวังที่จะให้ใจของตนได้รู้จักการ ละ ลด ปลด วาง ทุกสิ่งลงเท่านั้น