8. แม่! เราหยิบกระเป๋าผิดมา
หลายคนคงแปลกใจเมื่อเห็นชื่อเรื่องนี้ การหยิบกระเป๋าหนังสือเพื่อนผิดมาของลูกๆ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นแม่แจ๋วจะต้องมาเล่าให้ฟังให้เมื่อยเลย เมื่อหยิบผิดมา ก็เอาไปเปลี่ยนคืนในวันรุ่งขึ้นก็หมดเรื่องแล้ว นี่แม่แจ๋วเล่นหยิบมาเล่าเป็นเรื่องได้เลยหรือนี่ คุณๆคงสงสัยแล้วล่ะ ถ้างั้นก็อ่านต่อไป
เดี๋ยวนี้เกือบทุกโรงเรียนจะทำแบบเดียวกันหมด คือนักเรียนต้องใช้กระเป๋าหนังสือที่เป็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนเท่านั้น ห้ามใช้กระเป๋าที่โรงเรียนไม่อนุญาตให้ใช้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นนักเรียนจะโดนตักเตือนและทำโทษ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีหลายประการ คือเป็นการประหยัด เพราะนักเรียนจะไม่ซื้อกระเป๋าหลายใบหรือแพงๆเพื่อมาอวดกัน เนื่องจากทุกคนต้องใช้แบบเดียวกัน สีเดียวกันเท่านั้น ข้อต่อมาคือเมื่อนักเรียนถือกระเป๋าไปที่ไหน แค่เห็นกระเป๋าก็รู้แล้วว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนไหน หากหนีเรียนหรือไปทำผิดอะไร ก็จะติดตามไปที่โรงเรียนได้โดยง่าย แต่ข้อเสียก็มีคือ ถ้ารีบร้อนหน่อยนักเรียนก็จะหยิบกระเป๋าผิดได้ง่ายเช่นกัน ดังนั้นนักเรียนจึงต้องใช้พวงกุญแจที่เป็นรูปตุ๊กตุ่นตุ๊กตาที่ตนชื่นชอบ มาห้อยแขวนเป็นสัญลักษณ์ไว้เพื่อจดจำ หรือติดสติ๊กเกอร์รูปต่างๆ รวมทั้งเขียนชื่อ ชั้นเรียนและเบอร์โทรฯติดไว้ตามตำแหน่งที่ตนเองต้องเป็นผู้จดจำ
โรงเรียนของนายตัวเล็กก็เช่นกัน บังคับให้ใช้กระเป๋าใส่หนังสือที่เป็นกระเป๋าหนังหรือย่ามสะพายสีดำ ตามกฎระเบียบของโรงเรียน ตอนที่จะซื้อกระเป๋าเมื่อลูกขึ้นเรียนชั้นปอ.หนึ่งนั้น ดิฉันได้สอบถามลูกว่า ชอบกระเป๋าแบบไหน ถ้าเป็นกระเป๋าหนัง จะมีช่องชั้นให้ใส่หนังสือได้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่า เวลาหยิบหรือเก็บหนังสือก็สะดวก แต่เวลาถือกระเป๋า ต้องใช้มือหิ้วอย่างเดียวเท่านั้น เพราะสะพายไม่ได้ ถ้ามีหนังสือมากกระเป๋าก็จะหนักหิ้วลำบาก ส่วนย่ามสะพายไม่มีชั้นช่อง เมื่อใส่หนังสือหรือเครื่องเขียนก็จะรวมอยู่ในที่เดียวกัน เวลาหยิบหาของหรือหนังสือที่ต้องการใช้ ก็ต้องควานหาลำบากหน่อย แต่ดีที่มีสายพาดไหล่ทั้งสองข้าง ถ้าของเยอะกระเป๋าหนักก็จะสะพายได้ ไม่รู้สึกหนักมาก ทั้งพี่แจ๊คพี่โจ๊กก็แนะนำให้ใช้ย่ามสะพาย บอกว่าน้องจะได้ไม่เดินไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง คงเพราะพี่ๆมีประสบการณ์มาแล้วในการเรียนชั้นประถม ตกลงซื้อย่ามสะพายใส่หนังสือ เมื่อซื้อแล้วดิฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นสัญลักษณ์พิเศษให้ลูก เพราะไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่ลูกจะหยิบกระเป๋าผิดมา และด้วยความไม่รู้นี่เอง เหตุการณ์ตามชื่อเรื่องจึงเกิดขึ้น
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากโรงเรียนเปิดเทอม เย็นวันนั้นดิฉันไปรับลูกตามปกติ พอไปถึงลูกจ๊อบกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ เมื่อเห็นแม่มารับ ด้วยความรีบร้อนลูกจ๊อบวิ่งไปหยิบเอาย่ามใส่หนังสือที่วางกองรวมไว้กับของเพื่อนๆขึ้นมาใบหนึ่ง สะพายแล้วก็วิ่งมาหาดิฉัน เมื่อกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำกินข้าวแล้ว เปิดกระเป๋าจะทำการบ้าน ปรากฏว่าไม่ใช่กระเป๋าหนังสือของตัวเอง จึงร้องบอกดิฉันว่า
“แม่! เราหยิบกระเป๋าผิดมา”
“อ้าว! แล้วกัน ทำไมไม่ดูให้ดีล่ะ”
“ก็เรานึกว่าของเรา แล้วกระเป๋าเราก็ไม่ได้ห้อยพวงกุญแจ ไม่ได้ติดสติ๊กเกอร์เหมือนของเพื่อนๆ แม่! กระเป๋านี้มีชื่อด้วย เป็นของพี่ปอ.สี่ แล้วมีเบอร์โทรศัพท์ด้วย แม่โทรฯปบอกพี่เขาหน่อย ให้เขาเอามาคืนให้เราด้วย”
“ได้ไง เธอเป็นคนหยิบผิดมาเอง เธอก็โทรเองซิ”
นายตัวเล็กหน้าเสีย เริ่มเบะปากจะร้องไห้ ดิฉันไม่พูดอะไรมองลูกเฉยอยู่ นิ่งกันไปครู่ใหญ่ๆ ลูกก็พูดขึ้นเสียงอ่อยๆแบบพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ว่า
“แม่ โทรฯให้เราหน่อย เราพูดไม่เป็น”
“งั้นแม่จะสอนให้ เธอกดเบอร์โทรฯเป็นมั้ย”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“พี่เขาเขียนชื่อไว้ที่กระเป๋าว่าอะไรล่ะ”
“ชื่อวันชัย”ลูกอ่านชื่อที่กระเป๋าแล้วบอกมา (นามสมมติค่ะ)
“เอาละ พอเธอได้ยินเสียงพูดมา เธอก็พูดว่าสวัสดีครับ ผมชื่อธนินทร์ครับ ผมหยิบกระเป๋าของพี่ผิดมา ผมขอโทษ พรุ่งนี้ผมจะเอาไปคืนที่ห้องพี่นะครับ เธอรู้จักห้องพี่เขาหรือเปล่าล่ะ”
ลูกจ๊อบพยักหน้ารับ มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะวางโทรศัพท์ แต่ยังไม่กดเบอร์โทรฯ นั่งนิ่งอีกครู่ใหญ่ ดิฉันก็นั่งดูทีวีเฉยอยู่ ไม่พูดอะไรอีก เมื่อลูกเห็นว่าแม่ไม่โทรฯให้แน่แล้ว จึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์ เมื่อมีเสียงทางนั้นพูดมา ลูกสะดุ้งเล็กน้อย พูดตะกุกตะกักไปว่า
“สวัสดีครับ ผมขอโทษครับ ผมหยิบกระเป๋าผิดมา พรุ่งนี้จะไปคืนให้ครับ” ลูกหยุดพูด เสียงทางปลายสายพูดมายืดยาว เห็นลูกพยักหน้า บอกชื่อตัวเองและชั้นเรียนด้วยเสียงเครือๆคล้ายกับจะร้องไห้ แต่พยายามกลั้นไว้ แล้วพูดครับ ครับอยู่หลายครั้ง สักครู่ลูกก็หันมาที่ดิฉัน พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นมาบ้าง
“แม่ คุณแม่พี่เขาบอกว่าจะพูดกับแม่”
ดิฉันลุกไปรับกระบอกโทรศัพท์จากลูก กล่าวสวัสดีกับผู้พูดที่ปลายสาย และขอโทษเธออีกครั้ง ที่ลูกชายหยิบกระเป๋าผิดมา ทำให้ต้องวุ่นวาย เธอตอบมาว่าไม่เป็นไร และเธอยังกล่าวต่อไปว่า ที่ต้องขอพูดกับดิฉันเพราะกลัวลูกดิฉันจะไม่เข้าใจว่า เธอฝากกระเป๋าไว้กับยามที่หน้าประตูโรงเรียน และบอกกับยามว่าเผื่อดิฉันจะย้อนกลับไปเอากระเป๋าอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ย้อนมารับ ยามจะเอาไปคืนให้ที่ห้องของลูกดิฉันในวันพรุ่งนี้แต่เช้า ส่วนกระเป๋าของลูกเธอนั้น ลูกชายเธอจะไปรับเองที่ห้องเรียนของลูกจ๊อบ แล้วเธอก็ถามถึงเวลาที่ดิฉันจะส่งลูกไปโรงเรียนในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว เราต่างก็กล่าวสวัสดีและวางหูโทรศัพท์ เมื่อดิฉันหันกลับมาถามลูกว่า ได้คุยอะไรกับคุณแม่ของพี่เขาบ้าง ก็ปรากฏว่าลูกตอบได้เหมือนกับที่ดิฉันพูดคุยกับคุณแม่ท่านนั้นไปแล้วอย่างไม่ผิดเพี้ยน สุ่มเสียงและหน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ส่อแววขลาดกลัวเหมือนในตอนแรก
เล่าให้ฟังมาถึงตอนนี้ หลายคนคงสงสัย ก็เรื่องธรรมดาแท้ๆ ไม่เห็นมีอะไรที่พิเศษหรือน่าตื่นเต้นที่ไหน ลองถามตัวคุณเองว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ในขณะที่ลูกเพิ่งเรียนชั้นปอ.หนึ่ง คุณจะทำอย่างไร ดิฉันเคยถามคุณแม่หลายคน ทุกคนจะเป็นผู้ที่จัดการให้กับลูกทั้งสิ้น คือเป็นผู้โทรศัพท์ไปเอง เจรจาเองจนเรียบร้อย โดยมีคุณลูกนั่งดูทีวีสบายใจเฉิบ แถมบางคนยังต่อว่าดิฉันด้วยว่า ลูกยังเล็กอยู่ทำไมถึง“โหดร้าย”กับลูกนัก ให้เด็กๆโทรฯเอง จะไปรู้เรื่องอะไร เดี๋ยวทางฝ่ายนั้นเขาจะว่าได้ว่าเป็นแม่ยังไง ปล่อยให้ลูกตัวเล็กๆจัดการเรื่องเอง พูดผิดๆถูกๆ อายเขาตาย
เรื่อง “อายเขาตาย” นี่ออกจะได้ยินบ่อยๆ จากคุณแม่หลายท่าน จำได้ว่าดิฉันตอบไปว่า ดิฉันไม่อายใครทั้งนั้น เพราะมองไม่เห็นเรื่องที่ควรจะต้องอาย แต่จะฝึกลูกให้มีความรับผิดชอบ และระมัดระวังมากขึ้น ถ้าเขารู้ว่าต่อไปเขาไม่ระวัง เขาต้องเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดของเขาเอง และอีกอย่างคือลูกไม่ยอมรับโทรศัพท์หรือพูดคุย แม้ในขณะที่แม่กำลังเตรียมอาหารวุ่นวายอยู่หน้าเตา เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นครั้งไร บอกให้ลูกช่วยรับโทรศัพท์หน่อย ลูกจะตอบคำเดียวว่า“เราพูดไม่เป็น” แม้จะบอกว่ามาลองโทรฯดู แม่จะสอนให้ ลูกก็ไม่ยอม เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องความเดือดร้อนของเขาโดยตรง ดิฉันจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส คือฝึกลูกหัดใช้โทรศัพท์ให้เป็น และฝึกความรอบคอบ เพราะเมื่อเขาต้องจัดการเรื่องความสะเพร่าด้วยตัวเขาเอง เขาย่อมจดจำได้ดี เขาจะรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น ดิฉันจึงไม่ยอมจัดการเรื่องให้ ต้องปล่อยให้เขาช่วยตัวเอง โดยมีเราคอยสอนแบบ“อารมณ์เย็น” เรียกว่ายิงทีเดียวได้นกหลายตัว
เมื่อลูกได้รับกระเป๋าคืนแล้ว เย็นวันนั้นก็มาขอให้แม่หาพวงกุญแจให้เพื่อติดที่ห่วงซิปรูด และเขียนชื่อตัวเองไว้ที่หลังกระเป๋า ตั้งแต่นั้นมาลูกก็รอบคอบมากขึ้น ตรวจดูกระเป๋าของตนเองทุกครั้งก่อนที่จะหยิบขึ้นมาสะพาย
ยังมีอีกเรื่องของเจ้าตัวเล็ก เรื่องความไม่รอบคอบเช่นกัน คราวนี้เป็นเรื่องที่ต้องโทรศัพท์คุยกับคุณครูประจำชั้น เย็นวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ก่อนโรงเรียนปิดเทอมเล็กน้อย โรงเรียนจะมีกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น เมื่อดิฉันไปรับลูกจ๊อบกลับถึงบ้านแล้ว นายตัวเล็กเกิดคิดได้ว่า ไม่รู้วันพรุ่งนี้ต้องเอาหนังสือไปโรงเรียนหรือเปล่า จึงมาบอกให้แม่ช่วยโทรฯถามคุณครูให้หน่อย ดิฉันจึงถามลูกว่า
“ให้โทรฯถามว่าอะไร ทำไมไม่โทรฯเอง”
“เราไม่กล้า เรากลัวครูด่า”
“แล้วครูจะด่าหนูเรื่องอะไร”
“ก็ตอนที่คุณครูบอกว่า พรุ่งนี้โรงเรียนจะมีงาน เราไม่ได้ฟังว่าต้องเรียนหนังสือครึ่งวันหรือเปล่า หรือว่ามีงานทั้งวัน ถ้ามีงานทั้งวัน เราจะได้ไม่เอากระเป๋าหนังสือไป แต่ถ้าต้องเรียนครึ่งวัน แล้วเราไม่เอากระเป๋าไป เดี๋ยวครูจะทำโทษเรา”
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องโทรฯเอง เพราะเธออยากไม่ตั้งใจฟังเวลาคุณครูพูด เธอมีเบอร์โทรฯของครูใช่มั้ย จัดการเองเลย”
ลูกจ๊อบได้ฟังก็นิ่งอึ้ง น้ำตาคลอทำท่าจะร้องไห้ ดิฉันทำทีไม่สนใจ หันไปทำงานอื่น สักครู่ลูกก็เดินเข้ามาพูดกับแม่ว่า
“แม่ช่วยสอนเราพูดหน่อยว่า เราจะพูดกับคุณครูว่ายังไงดี”
“อ๋อ! เธอก็พูดสวัสดีคุณครู แล้วถามว่าคุณครูครับ พรุ่งนี้ที่โรงเรียนมีงาน ยังต้องเรียนหนังสือหรือเปล่า ถ้าคุณครูบอกว่า ต้องเรียนก่อนครึ่งวัน เธอก็จัดตารางเรียนไป ก็แค่นั้นไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวซักนิด”
ดิฉันบอกสอนลูกไปด้วยเสียงเรียบๆ แบบให้ลูกรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือน่ากลัวแต่อย่างใด ลูกจึงถามอีกว่า
“แล้วถ้าคุณครูด่าเราว่าทำไมไม่ตั้งใจฟัง เราจะตอบว่ายังไงดี”
พอได้ยินลูกพูดดังนั้น ดิฉันก็นึกขำ อันที่จริงลูกก็คงจะพูดเองได้อยู่หรอก แต่ที่เกี่ยงให้แม่โทรฯให้ เพราะกลัวคุณครูจะดุว่าที่ไม่ตั้งใจฟังนี่เอง จึงบอกลูกไปยิ้มๆว่า
“ถ้าคุณครูว่าเธอ เธอก็บอกว่า ผมขอโทษครับที่ไม่ได้ตั้งใจฟังคุณครู แต่คราวหน้าถ้าครูพูดอะไร ผมจะตั้งใจฟังให้ดี จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนี้อีก พูดได้มั้ย”
คราวนี้เจ้าตัวเล็กยิ้มแป้น พยักหน้าหงึกหงัก แล้วรีบเดินไปกดโทรศัพท์ทันที พูดคุยกับคุณครูอยู่สักครู่ก็วางโทรศัพท์ หันมายิ้มอย่างกว้างขวางกับแม่แล้วพูดว่า
“แม่ คุณครูบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องเอากระเป๋าไป เพราะไม่ต้องเรียนหนังสือ แต่ให้เอากระดาษเปล่ากับดินสอไปด้วย เผื่อจะเล่นเกม แล้วคุณครูก็ไม่ด่าเราด้วย”
“ก็นั่นนะซิ เรื่องแบบนี้คุณครูต้องรู้ดี และไม่ดุด่าเด็กนักเรียนพร่ำเพรื่อหรอก หนูคิดไปเองว่าคุณครูจะด่า ก็เลยกลัวไม่กล้าโทรฯ แต่จริงๆแล้วก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิดกลัวล่วงหน้าซักกะหน่อย อย่างนี้เขาเรียกว่า “คิดแทนคนอื่น” รู้มั้ย”
เจ้าตัวเล็กยิ้มรับ พยักหน้าแบบเห็นด้วยกับแม่เต็มที่ แล้วขอตัวไปอาบน้ำอย่างสบายใจ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกจ๊อบไม่กลัวโทรศัพท์อีก ถ้าแม่จะใช้ให้โทรฯเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆ ลูกจะพูดคุยได้ทันที แต่ถ้าเป็นเรื่องยากๆ ลูกจะถามวิธีการพูดและลำดับการพูดให้เรียบร้อยก่อนจึงจะใช้โทรศัพท์
เมื่อพูดถึงเรื่องความรอบคอบแล้ว ก็เลยนึกได้ถึงเรื่องของลูกโจ๊ก จำได้ว่าตอนนั้นลูกโจ๊กเรียนชั้นมอ.หนึ่งที่โรงเรียนใกล้บ้าน วันนั้นเป็นวันที่ลูกไปโรงเรียนแล้วเพิ่งเปิดเทอมได้เดือนกว่าๆ ประมาณเก้าโมงสิบโมงเช้า ลูกโทรฯมาที่บ้านบอกให้ดิฉันหยิบสมุดหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ แล้วช่วยขับรถเอาไปให้ที่โรงเรียนหน่อย ดิฉันถามลูกว่าเอาโทรศัพท์ที่ไหนใช้ ลูกบอกว่าใช้ตู้สาธารณะที่อยู่หน้าประตูโรงเรียน จึงถามต่อว่า ทำไมต้องให้แม่เอาไปให้ด้วย ลูกบอกว่าลืม ดิฉันเลยถามลูกว่า
“แล้วหนูไม่ได้จัดตารางเรียนหรือ”
“จัดแล้วแม่ แต่โจ๊กลืม แม่ช่วยเอามาให้หน่อย เพราะโจ๊กต้องส่งครูวันนี้แล้ว”
“โจ๊ก โจ๊ก ขนาดเรื่องสำคัญที่หนูต้องส่งครูวันนี้ ยังลืมได้ อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะถือว่าไม่รอบคอบ เอาอย่างนี้ วันนี้แม่จะเอาไปให้หนู แต่จำไว้นะแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ต่อไปถ้าหนูลืมอีก แม่จะไม่เอาไปให้อีกแล้วนะ แล้วอย่ามาอ้างว่าครูตีหรือหักคะแนนล่ะ”
วันนั้นเมื่อนัดแนะสถานที่พบกับลูกแล้ว ดิฉันก็ขับรถเอาสมุดหนังสือที่ลูกต้องการไปให้ ประมาณสิบห้านาทีก็ไปถึง เมื่อส่งหนังสือให้ลูกแล้วก็ยังคงกำชับลูกว่า ให้รอบคอบอย่าลืมอีก เพราะแม่จะไม่ขับรถมาด้วยเรื่องแบบนี้อีกแล้ว คุณๆลองทายซิคะว่าลูกโจ๊กลืมอีกมั้ย ใช่ค่ะ ลืมอีก
ประมาณหนึ่งเดือนถัดมา คราวนี้ดิฉันไม่ขับรถเอาไปให้ ลูกโอดครวญว่าต้องโดนครูตีแน่ๆ เพราะมีเขาคนเดียวที่ยังไม่ได้ส่งครู จำได้ว่าดิฉันตอบลูกไปว่า
“อย่างนี้ยิ่งต้องปล่อยให้คุณครูตีให้เข็ด โจ๊ก โจ๊ก แม่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า แม่จะเอาไปให้หนูแค่ครั้งเดียว และแม่ก็เตือนแล้ว แต่หนูก็ยังคงไม่รอบคอบอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นหนูต้องยอมรับโทษ ไม่อย่างนั้นหนูก็จะต้องลืมไม่สิ้นสุด”
เสียงลูกเงียบไปสักครู่ก็วางโทรศัพท์ลง ดิฉันวางโทรศัพท์ลงแบบจิตใจที่เป็นกังวลและสงสารลูก แต่ก็ต้อง ทำ “ใจแข็ง” คุณๆคงสงสัย ทำไมเรื่องแค่นี้ แม่แจ๋วถึงได้โหดร้ายกับลูกนัก ก็แค่ขับรถเอาของไปส่งให้ลูก ปกติของดิฉันคือ ถ้าจะสอนลูกอย่า“แค่พูด” แต่ต้องกระทำด้วยและต้องทันทีนั้น เข้าทำนองตีเหล็กเมื่อร้อน เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเรา“ใจแข็ง” ที่จะจัดการ เขาจะจดจำได้ดี และก็เป็นดังคาด ลูกโจ๊กไม่เคยลืมอะไรอีกเลย ไม่เคยร้องขอให้แม่เอาสมุดหนังสือไปส่งให้อีก จนแม้เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ดิฉันเคยดูลูกจัดเตรียมของที่จำเป็นใช้เมื่อต้องเดินทาง ไม่ว่าจะระดับชั้นมัธยมหรือมหาวิทยาลัย แม้จะไปเที่ยวต่างจังหวัด เตรียมเข้าอยู่หอพัก หรือไปออกค่ายช่วงปิดเทอม เขาจะเอาของที่จำเป็นมากองเตรียมไว้ และตรวจนับเรียบร้อย ก่อนจัดใส่กระเป๋าหรือถุงหรือกล่องที่เตรียมไว้ และไม่เคยบ่นว่าตนเองลืมนั่นลืมนี่อีกเลย
เมื่อพูดแล้วก็ต้องเลยไปถึง“ลูกคนอื่น” อย่าเพิ่งคิดว่าแม่แจ๋วเอาเรื่องลูกใครมานินทาเลย ให้คิดว่าเป็นเรื่องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพราะดิฉันไม่ได้เอ่ยชื่อใครทั้งสิ้น หากเรื่องนั้นจะก่อความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่เป็นเรื่องที่พ้องกับเรื่องนี้และเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ ก็เอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น คุณๆก็รู้ว่าพวกแม่ๆมักชอบคุยเรื่องลูก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดี แต่ก็มีแม่หลายคนที่ชอบโทรฯมาคุยกับแม่แจ๋วเกี่ยวกับ “ความไม่ค่อยจะดี” ของลูกๆตนเสมอ แม่แจ๋วก็แนะไปบ้างตามที่คิดว่าน่าจะดี ส่วนเขาจะนำไปปฏิบัติหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันจะต้องกังวล เพราะคุณๆที่รับคำปรึกษาจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจดีที่สุด คำแนะนำนั้นก็เป็นเพียงแค่อีก “หนึ่งความคิด” ที่คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมของทุกคนต่างกัน
เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับเรื่องที่ลูกโจ๊กลืมของ คุณแม่ท่านนั้นมีลูกชายอายุไล่เลี่ยกับนายโจ๊ก เรียนระดับชั้นมัธยมเหมือนกัน แต่คนละโรงเรียน และโรงเรียนของลูกเธอก็ไกลจากบ้านมาก ลูกเธอจะลืมสมุดหนังสือประจำ และเมื่อลูกโทรฯไปขอให้แม่เอาของที่ลืมไปให้ คุณแม่ท่านนั้นก็จะยอมขับรถไปให้ทุกครั้ง ทั้งๆที่เธอต้องดูแลร้านค้า บางทีก็ยุ่งมาก แต่ก็ต้องทิ้งเรื่องอื่นๆทั้งหมด เพื่อเอาของไปให้ลูก เธอโทรฯมาคุยกับดิฉันและถามว่า ลูกๆดิฉันลืมสมุดหนังสือหรือสิ่งของอะไรที่เกี่ยวกับการเรียนบ้างไหม และดิฉันทำอย่างไร ดิฉันก็เล่าให้เธอฟังเรื่องลูกโจ๊ก เธอถามว่าแล้วไม่กลัวลูกโดนครูทำโทษ และลูกเสียใจหรือ ทำไมลูกขอร้องแค่นี้ก็ไม่ช่วยจัดการให้ ทั้งๆที่เป็นแม่บ้านมีเวลาว่างมากกว่าเธอเสียอีก ดิฉันบอกกับเธอไปว่า ลูกคงโดนทำโทษไปแล้วตั้งแต่ที่ดิฉันไม่ได้เอาของไปให้ลูกในครั้งที่สองตามที่ลูกขอร้อง และไม่กลัวลูกเสียใจด้วย เพราะเป็นหน้าที่ที่ลูกต้องดูแลเรื่องการเรียนของตนให้ดี ถ้าเขาไม่รอบคอบเขาก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ ซึ่งก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว คุณแม่ท่านนั้นเธอว่าดิฉันทำเหมือนไม่รักลูก เธอบอกว่าเธอทำใจให้เพิกเฉยกับเรื่องของลูกไม่ได้ เรื่องเรียนของลูกสำคัญมาก เมื่อลูกลืมของควรต้องรีบเอาไปให้ลูก เพื่อการเรียนของลูกจะได้ราบรื่นไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องการลืมของเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวโตขึ้นเขาก็รู้เอง
จำได้ว่าดิฉันตอบเธอไปว่า ดิฉันคงไม่รอให้ลูกรู้เองตอนโต วิธีของดิฉันคือ ลูกควรจะรู้ตั้งแต่ตอนนี้ที่เขายังเด็กอยู่ เพื่อว่าตอนโตแล้วจะได้ไม่มีปัญหา ผลปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ลูกของคุณแม่ท่านนั้นเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังคงลืมของและต้องขับรถกลับมาเพื่อเอาของที่ลืม หรือบางทีก็ให้คนที่ร้านหรือคุณแม่เอาของไปส่งให้อยู่บ่อยๆ
อาจมีหลายคนสงสัย แล้วนายแจ๊คพี่ชายคนโต ไม่มีปัญหาลืมของบ้างเลยหรือ ดิฉันจำได้ว่าเมื่อลูกแจ๊คเรียนระดับชั้นมัธยม ไม่เคยร้องขอให้ดิฉันเอาของไปให้ที่โรงเรียน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อลูกขอให้แม่ไปส่งเพื่อต่อรถเมล์ไปขึ้นรถไฟฟ้า มีหลายครั้งที่ขับรถออกปากซอยได้นิดเดียว ลูกจะต้องบอกให้แม่จอดรถก่อนเพราะลืมของ ทั้งๆที่ก่อนออกจากบ้านก็วิ่งเข้าวิ่งออกเพื่อหยิบของที่ลืมไปแล้วสองรอบ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า พอครั้งต่อไปที่ลูกขอให้ไปส่ง ดิฉันมักจะถามลูกว่า
“วิ่งเข้าวิ่งออกครบสามรอบหรือยัง ถ้ายังไม่ครบก็ทำให้ครบซะ จะได้ไม่ต้องให้แม่จอดรถวิ่งจากปากซอยเข้ามาในบ้านอีก”
ลูกก็จะยิ้มเขินๆ ไม่พูดว่าอะไร แต่ลดจำนวนวิ่งเข้าวิ่งออกเหลือเพียงหนึ่งหรือสองรอบ แสดงว่ารอบคอบขึ้นแต่ยังไม่เพียงพอ ดิฉันก็ได้แต่เตือนลูกว่าก่อนออกจากบ้าน ของสามอย่างที่ต้องใส่ใจ หรือท่องให้ขึ้นใจคือ กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือ และกุญแจห้องพัก (ลูกอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย) แต่ลูกก็ยังคงลืมอยู่ดี นี่จะโทษอะไรดี “รีบร้อนจนขาดสติ” หรือ “นิสัยขี้ลืม”แล้วจะแก้ไขอย่างไรได้ ดิฉันเองก็จนปัญญา จนกระทั่งวันหนึ่ง จำได้ว่าลูกเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแล้ว ขอร้องให้แม่ไปส่งที่เดิมเพื่อต่อรถไฟฟ้า คราวนี้ดิฉันไม่ได้เตือนลูกเหมือนทุกครั้ง เราแม่ลูกคุยกันมาตลอดทาง ดิฉันเป็นคนขับ จนเกือบถึงจุดที่ลูกจะต้องลงต่อรถแล้ว ทันใดนั้นลูกก็สะดุ้งและพูดขึ้นว่า
“คราวนี้เรื่องใหญ่เลยแม่”
“ลืมกระเป๋าตังค์หรือกุญแจห้องล่ะ” ดิฉันถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเรียบนัก ชักหงุดหงิดลูกที่ไม่ตั้งสติให้ดีก่อนออกจากบ้าน ลูกตอบด้วยสียงอ่อยๆว่า
“กุญแจห้อง แม่! เพื่อนไม่อยู่ด้วย ถ้าไม่มีกุญแจก็เข้าห้องไม่ได้”
“ของสำคัญมากนะลูก ทำไมไม่ตรวจดูก่อนออกจากบ้าน แม่พูดหลายทีแล้วนะ เรื่องให้ดูให้รอบคอบก่อนออกจากบ้าน คราวนี้แม่ว่าจะต้อง “ทำโทษ” ให้หนูจดจำบ้าง เอาอย่างนี้นะ ยังไงคงต้องขับรถกลับ แต่แม่จะไม่มาส่งหนูถึงตรงนี้อีกแล้ว เพราะเสียเวลามาก เมื่อได้กุญแจแล้ว แม่จะส่งแค่ปากซอย หนูต้องต่อรถเอง”
ลูกนิ่งไป คงคิดทบทวนเรื่องที่ต้องขึ้นรถหลายต่อกว่าจะถึงหอพัก เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว อันที่จริงดิฉันก็อยากไปส่งลูกอีกรอบ แต่ก็ตัดใจคิดว่า ถ้าไม่ทำให้ลูกหลาบจำก็คงจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ตั้งแต่นั้นมาดิฉันพยายามที่จะไม่เตือนลูกทุกครั้งที่ลูกจะออกจากบ้าน คงปล่อยให้เขาจัดการกับตนเอง ปรากฏว่าเมื่อไม่มีคนคอยเตือน ลูกต้องคอยคิดและจดจำเองว่าตนต้องเอาอะไรไปบ้าง กลับกลายเป็นว่าลูกเริ่มรอบคอบขึ้น และระมัดระวังที่จะตรวจดูของสำคัญด้วยตนเองก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
อ่านกันมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งไชโยกับแม่แจ๋วว่า จัดการกับลูกได้สำเร็จอีกแล้ว คุณๆก็รู้ว่า “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง” ลูกๆยังต้องเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย ดิฉันบอกไม่ได้จริงๆว่าลูกๆจะเป็นยังไงต่อไป เพราะเมื่อเขาโตขึ้น ปัจจัยแวดล้อมรอบตัวเขาย่อมเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก พวกลูกๆจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดก็สุดที่จะคาดเดา ดิฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า แม้เรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋วเราก็ไม่เคยละเลยพยายามว่ากล่าวอบรมสั่งสอนมาโดยตลอด เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับใน “สิ่งที่เขามี” และ“สิ่งที่เขาเป็น”ก็เท่านั้น
Leave a Reply