6. จั๊น, เตอ และ เรา
เรื่องนี้เป็นเรื่องของนายตัวเล็กที่เคยติดค้างไว้ในเรื่องก่อนๆที่เคยเล่าไว้ เมื่อจบ”แม่ช่างคุย” เล่ม๑แล้ว หลายคนทวงถามดิฉันให้เล่าเรื่องที่ลูกจ๊อบใช้สรรพนามแทนตัวว่า“เรา” อะไรเป็นเหตุให้นายตัวเล็กเรียกตัวเองว่า“เรา” เวลาที่ลูกคุยกับใครก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะกับคนอื่นๆเท่านั้น แม้จะคุยกับพ่อแม่หรือพี่ๆ นายจ๊อบก็จะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า“เรา” เสมอมา เมื่อถูกถามดังนั้นดิฉันก็เลยต้องมานั่งทบทวนว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร มาจับความได้ตั้งแต่นายตัวเล็กเริ่มหัดพูดเมื่ออายุขวบกว่า เวลาที่ดิฉันกับคุณพ่อของลูกคุยกัน สรรพนามที่เราใช้แทนตัวเองคือ“ชั้น” ส่วนสรรพนามที่แทนฝ่ายตรงข้ามคือ “เธอ” หรือ “คุณ”
มีอยู่วันหนึ่งดิฉันกับลูกๆกำลังนั่งกินขนมและดูทีวีกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เสียงประตูห้องเปิด นายตัวเล็กหันไปมองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นคุณพ่อเดินเข้ามา ก็ยิ้มร่าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คุณพ่อแล้วพูดว่า
“จั๊น”
“นายจ๊อบพูดอะไร” คุณพ่อหันมาถามดิฉัน ดิฉันเองก็แปลกใจจึงหันไปถามลูกจ๊อบว่า
“หนูพูดอะไรลูก” ลูกหันมาทางแม่ ชี้นิ้วมาที่ใบหน้าดิฉันพร้อมกับพูดว่า
“เตอ” ทันใดนั้นดิฉันก็เข้าใจ หัวเราะแล้วบอกกับคุณพ่อว่า
“อ้อ! ชั้นรู้แล้ว นายจ๊อบเขาคงนึกว่าป๊าชื่อ“ชั้น” ส่วนแม่ชื่อ “เธอ” ก็เลยเรียกคุณว่าอย่างนั้น เดี๋ยวลองดูใหม่นะว่าใช่อย่างที่ชั้นเข้าใจหรือเปล่า” ดิฉันจึงอุ้มลูกมานั่งที่ตักแล้วถามลูกว่า
“ไหนจ๊อบลองบอกแม่ซิว่าคนนี้เรียกว่าอะไร” ดิฉันชี้ไปที่คุณพ่อ ลูกตอบมาว่า
“จั๊น”
“แล้วคนนี้ล่ะเรียกว่าอะไร” ดิฉันชี้นิ้วมาที่ตนเอง ลูกจ๊อบตอบอย่างหนักแน่นว่า
“เตอ”
เลยได้หัวเราะกันครืนใหญ่ทั้งพ่อแม่และพี่ๆ ดิฉันบอกกับคุณพ่อว่า ลูกคงสังเกตจากที่เราคุยกัน แล้วเข้าใจเอาเองว่าเราสองคนมีชื่อเรียกแบบนี้ ดิฉันก็เลยต้องสอนลูกให้ฝึกเรียกคุณพ่อว่า “ป๊า” และเรียกแม่ว่า “แม่” ในเวลานั้น หลังจากนั้นมาลูกก็เรียกได้ถูกต้อง ดิฉันเองก็จำไม่ได้หรือไม่ได้สังเกตว่าลูกเรียกแทนตัวเองว่าอะไร อาจเป็นเพราะลูกเพิ่งหัดพูด ยังมีคำพูดน้อย แถมเป็นเด็กไม่ช่างคุย และในช่วงนั้นลูกอยู่กับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ จนเมื่อลูกจ๊อบอายุได้สองขวบสองเดือน ดิฉันเอาลูกไปฝากที่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ลูกเริ่มคุยเก่งขึ้น ทุกคนในบ้านเลยเพิ่งมาสังเกตว่าลูกจ๊อบใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า“เรา” พวกเราทั้งคุณพ่อและพี่ๆเห็นเป็นเรื่องแปลกและน่ารัก ก็เลยไม่ได้เปลี่ยน จนเดี๋ยวนี้ลูกอายุสิบขวบเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สี่ ก็ยังคงใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า“เรา”กับทุกคน ส่วนสรรพนามบุรุษที่สองก็ตามที่สอนให้เรียก แต่กับเพื่อนๆก็จะใช้คำว่า“เธอ”มาโดยตลอด ดิฉันเคยถามลูกว่า
“เวลาหนูพูดกับคุณครูที่โรงเรียน หนูใช้คำว่า“เรา” หรือเปล่า”
“เปล่า! เราใช้คำว่า “ผม” เพราะคุณครูบอกว่าไม่ให้ใช้คำว่า “เรา”
“แล้วเวลาเธอพูดกับเพื่อนๆในโรงเรียนล่ะ เพื่อนเธอใช้คำว่า“เรา” เหมือนที่หนูใช้หรือเปล่า”
“บางคนก็ใช้ “เรา” บางคนก็ใช้ชื่อตัวเอง”
“แล้วเขามีพูดคำหยาบหรือด่ากัน ทะเลาะกันบ้างมั้ย พวกเพื่อนๆหนูนะ”
“ก็มีแม่ บางทีก็ทะเลาะกัน บางทีก็ไล่ตีกัน พวกเพื่อนผู้หญิงเขาชอบเอาไม้บรรทัดไล่ตีกับเพื่อนผู้ชาย พวกเพื่อนผู้ชายก็ชอบด่ากัน ทะเลาะกัน”
“แล้วเธอเคยทะเลาะกับพวกเขา หรือวิ่งไล่ตีกันหรือเปล่าล่ะ”
“เราไม่ชอบทะเลาะกับใคร แล้วเราก็ไม่ชอบไล่ตีกัน แม่! เราว่ามันเจ็บนะที่เอาไม้บรรทัดตีกัน”
“พวกเพื่อนๆเธอเขาพูดคำหยาบคายกันบ้างมั้ย หรือใช้คำแทนตัวเองว่า “กู – มึง” อะไรอย่างนี้นะ”
“ก็มีแม่ ทำไมเขาชอบพูดคำหยาบกันก็ไม่รู้ บางทีก็ด่ากัน ทะเลาะกัน เราว่ามันไม่ดีเลย”
“งั้นเวลาที่เพื่อนๆพูดคำหยาบกับเธอ เธอทำยังไง เธอโกรธมั้ย แล้วเธอด่าเขากลับไปหรือเปล่า”
“เราไม่ด่าเขาหรอกแม่ เราก็เดินหนีไปห่างๆ คนไหนพูดคำหยาบคาย หรือเขาด่าเรา เราก็จะเดินหนีไป เราไม่พูดกับเขาหรอกแม่ เขาพูดไม่ดี เราไม่รับ คำพูดนั้นก็เป็นของเขาอย่างที่แม่เคยเล่าให้เราฟังเรื่องพระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของพราหมณ์ไง”
ถ้าใครเคยอ่านพระสูตรในศาสนาพุทธเรื่องนี้คงจำได้ เรื่องที่พราหมณ์มายืนด่าว่าพระพุทธองค์ แต่พระองค์ทรงนิ่งเฉย จนพราหมณ์เหนื่อยไปเอง แล้วพระองค์ทรงถามพราหมณ์กลับไปว่า เคยมีแขกมาเยือนที่เรือนของตนบ้างไหม และพราหมณ์เคยนำอาหารหรือน้ำมาเลี้ยงต้อนรับแขกหรือเปล่า พราหมณ์ตอบว่า ที่เรือนตนมีผู้มาเยือนมากมาย และมีการนำอาหารเครื่องดื่มมาเลี้ยงแขกอยู่บ่อยๆ พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปว่า แล้วถ้าผู้มาเยือนไม่รับอาหารและเครื่องดื่มนั้น สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์ตอบว่า สิ่งของเหล่านั้นก็ย่อมเป็นของตนแน่นอน พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า ฉันใดก็ฉันนั้น คำว่ากล่าวติติงที่พราหมณ์ได้พูดไปทั้งหมดนั้น เมื่อพระองค์ไม่รับ คำพูดเหล่านั้นควรจะเป็นของใคร เพียงเท่านี้พราหมณ์ก็เกิดปัญญา นั่งลงกราบพระพุทธองค์ด้วยความเลื่อมใสสูงสุด
ดิฉันจำได้ว่าเคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกจ๊อบฟังเมื่อลูกมีอายุได้เจ็ดหรือแปดปี ลูกฟังแล้วชอบใจมาก ไม่คิดว่าลูกจะเอาเรื่องที่เล่าให้ฟังนั้นมาใช้ได้ด้วย ส่วนเรื่องพูดวาจาไม่น่าฟังและลูกไม่ชอบก็เช่นกัน จำได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ ลูกจ๊อบอายุได้สี่หรือห้าขวบ ดิฉันจะเล่าให้ฟังอีกทีในชื่อเรื่อง“ลูกสอนแม่” ส่วนตอนนี้ก็จะเล่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเจ้าตัวเล็กต่อไป
พูดเรื่องความช่างสังเกตของเจ้าตัวเล็ก ทำให้นึกได้ถึงเรื่องการเลือกเสื้อผ้าของใช้ของลูก จำได้ว่าตอนนั้นลูกยังเล็กอยู่มาก อายุประมาณขวบกับสองเดือน เดินได้แล้วแต่ยังไม่คล่องแคล่ว กำลังหัดพูดพอพูดได้เป็นคำๆ วันหนึ่งดิฉันไปธุระที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซื้อเสื้อยืดคอกลมซึ่งตนเองเห็นว่าน่ารักมาให้ลูกตัวหนึ่ง เป็นธรรมดาที่แม่ย่อมเป็นผู้เลือกซื้อหาสิ่งต่างๆเหล่านี้แก่ลูก เมื่อนำกลับมาซักผึ่งแห้งเรียบร้อยแล้ว พอได้เวลาอาบน้ำให้ลูก เมื่อเช็ดตัวเสร็จ อุ้มลูกมานั่งลงใกล้ตะกร้าเก็บเสื้อผ้าของลูก หยิบเสื้อใหม่มาใส่ให้ ใส่เสร็จแล้วเจ้าตัวเล็กก้มมองเสื้ออยู่พักหนึ่ง ก็ดึงทึ้งเสื้อตัวนั้นทำท่าเหมือนจะถอดออก แต่ถอดไม่ได้เพราะเป็นเสื้อที่สวมทางศีรษะ ด้วยความขัดใจลูกจึงร้องเสียงดังแบบฟังไม่ได้ศัพท์ และยังคงใช้มือทั้งสองดึงทึ้งเสื้อที่ใส่อยู่ ดิฉันตกใจถามลูกว่าเป็นอะไร ลูกยังพูดไม่ได้ก็ร้อง อื้อ! อื้อ! ดึงเสื้อที่ใส่อยู่นั้น พลางถีบขาทั้งสองข้างอยู่ไปมา ขณะนั้นดิฉันคิดว่าคงมีมดหรือแมลงอยู่ในเสื้อที่ลูกใส่ จึงรีบถอดเสื้อออก เมื่อเสื้อหลุดออกจากตัวลูก เสียงร้องก็หายเป็นปลิดทิ้ง ดิฉันสะบัดเสื้อ พลิกกลับไปมาเพื่อตรวจหาสิ่งแปลกปลอม เมื่อไม่เห็นมีอะไร ก็จะสวมเสื้อให้ลูกอีก ปรากฏว่าคราวนี้เจ้าตัวเล็กจ้องอยู่แล้ว พอแม่จะใส่เสื้อให้ก็ส่ายศีรษะหนี ไม่ยอมสวมเสื้อ ด้วยความไม่เข้าใจ ดิฉันยังฝืนจะใส่เสื้อให้ลูกอีก คราวนี้เจ้าตัวเล็กไม่เพียงแต่ส่ายตัวหนีเท่านั้น ยังคลานอย่างเร็วที่สุดไปยังตะกร้าเสื้อผ้าของตน พลางหยิบเสื้อในตะกร้าขึ้นมาตัวหนึ่งส่งให้แม่ ดิฉันชักงงเลยถามลูกว่า
“หนูจะใส่เสื้อตัวนี้เหรอ”
ลูกพยักหน้า ดิฉันชูเสื้อตัวใหม่พลางพูดว่า
“นี่เป็นเสื้อใหม่ที่แม่ซื้อมาให้ สวยนะหนูไม่ชอบเหรอ”
ลูกส่ายศีรษะไปมา ดิฉันก็รับเสื้อตัวที่ลูกหยิบส่งให้นั้นมาสวมให้ คราวนี้ลูกยอมใส่โดยดี ดิฉันพับเสื้อตัวใหม่ไว้ที่ตะกร้าเสื้อผ้าของลูก หลังจากนั้นทุกครั้งที่จะหยิบเสื้อตัวนั้นใส่ให้ ลูกจะไม่ยอมสวมทุกทีไป ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่หลังจากนั้นประมาณสองหรือสามเดือน ดิฉันก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าตัวเล็กจึงไม่ยอมสวมเสื้อตัวนั้น
ตอนสายวันนั้นเมื่อกลับจากออกกำลังกาย อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็พาลูกไปเดินหาซื้อของใช้จำเป็นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ขณะเดินผ่านแผนกเสื้อผ้าเด็ก เจ้าตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่ในรถเข็นของ ก็ลุกขึ้นยืนชี้นิ้วไปที่เสื้อตัวหนึ่ง พลางร้องว่า
“เชื่อ เชื่อ” ดิฉันเห็นดังนั้นก็ก้มลงถามลูกว่า
“หนูจะเอาเสื้อตัวนั้นเหรอ”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงเดินไปหยิบเสื้อตัวนั้นมาให้ลูกดูทั้งไม้แขวนเสื้อ และถามลูกว่า
“หนูอยากได้เสื้อตัวนี้ใช่มั้ย” ลูกพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า
“ใจ้” (คำนี้คือ “ใช่” ดิฉันเขียนตามสำเนียงพูดของลูกในขณะนั้น)
เมื่อได้ยินดังนั้นดิฉันจึงถามลูกว่า
“ถ้าแม่ซื้อเสื้อตัวนี้ให้หนูจะใส่มั้ย”
“ใฉ่” เจ้าตัวเล็กตอบเสียงดังพร้อมพยักหน้าหงึกหงักรับรองแข็งขัน ดิฉันจึงเอาเสื้อทาบตัวลูกพร้อมกับบอกว่า
“เสื้อตัวนี้ใหญ่ไป แม่จะหาตัวใหม่ที่หนูใส่พอดีให้”
ดิฉันเดินไปหยิบเสื้อลายอื่นที่ตัวพอเหมาะกับลูก มาลองทาบตัวให้ ปรากฏว่าเจ้าตัวเล็กบิดตัวหนี พร้อมกับชี้มือไปที่เสื้อตัวเดิม ดิฉันจึงถามลูกว่า
“หนูจะเอาเสื้อลายนี้ใช่มั้ย”
เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับ ดิฉันจึงเดินไปเลือกเสื้อลายที่ลูกชอบแต่ขนาดพอดีกับตัวลูกมาส่งให้ ลูกรีบรับเสื้อตัวนั้นด้วยความยินดี ดิฉันก็คิดในใจว่า เอ! เจ้าตัวเล็กเพิ่งมีอายุได้ขวบกว่า รู้จักเลือกเสื้อใส่เองแล้วหรือนี่ ไหนลองดูใหม่อีกทีซิ คิดดังนั้นแล้ว ดิฉันก็พูดกับลูกว่า
“จ๊อบ แม่จะซื้อเสื้อให้หนูอีกหนึ่งตัว หนูลองดูซิว่าชอบตัวไหน” ลูกพยักหน้า ดิฉันก็เข็นรถลูกไปตามชั้นแขวนเสื้อลายต่างๆ ลองหยิบตัวนั้นตัวนี้ให้ลูกดู ลูกก็ส่ายศีรษะไม่ชอบสักตัว สักครู่ลูกก็ชี้นิ้วไปที่เสื้อลายหนึ่ง ดิฉันหยิบเสื้อลายนั้นส่งให้ ลูกก็รับไว้อย่างยินดี แม่นแล้ว! ดิฉันอุทานในใจ เจ้าตัวเล็กรู้จักเลือกเสื้อผ้าใส่เองจริงๆด้วย ตกลงวันนั้นเลยได้เสื้อใหม่สองตัวโดยลูกเป็นผู้เลือกเอง ส่วนเสื้อตัวที่ดิฉันซื้อให้ครั้งแรก ลูกไม่ยอมใส่แม้จะพูดบอกอย่างไรก็ตาม ตกลงผลสุดท้ายก็ต้องบริจาคให้เด็กอื่นไป หลังจากนั้นทุกครั้งที่จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ลูก ดิฉันต้องพาเขาไปเลือกเองทุกครั้ง ใช่แต่ลูกจะไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เขาไม่ได้เลือกเองเท่านั้น แม้เป็นเสื้อผ้าอื่นๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนว่าเป็นของเขา เขาก็จะไม่ยอมสวมเช่นกัน
ตอนนั้นนายจ๊อบอายุได้ห้าขวบ คุณอาของลูก (น้องสาวคุณพ่อ) เคยเอาเสื้อกางเกงดีๆน่ารักๆมาให้หลายชุด เพราะลูกเธออายุมากกว่านายจ๊อบแค่สามปี เด็กๆโตเร็วเสื้อผ้าใส่ไม่ทันช้ำ ก็เล็กเกินไปแล้ว ดิฉันจึงรับเสื้อผ้าเหล่านั้นไว้ด้วยความยินดี จัดแจงพับไว้ในตู้เสื้อผ้าของนายตัวเล็ก ปรากฏว่าลูกไม่เพียงแต่ไม่หยิบมาสวมเท่านั้น นายจ๊อบยังยกเอาเสื้อผ้าทั้งตั้งนั้นไว้ข้างล่าง แล้วเอาเสื้อผ้าตนทับไว้ข้างบนทั้งหมด ดิฉันถามลูกว่าทำไมไม่ใส่เสื้อกางเกงใหม่ ของพี่ซันนะ พี่ซันใส่ไม่ได้แล้ว ยกให้หนูไง สวยๆทั้งนั้น ลูกตอบมาว่า
“ไม่ใช่ของเรา เราไม่ชอบ” ตอบเพียงเท่านี้ ดิฉันก็รู้ว่าอย่าได้พูดมากไปกว่านี้เลย ยังไงลูกก็ไม่ยอมใส่แน่นอน จึงต้องยกเสื้อผ้าทั้งหมดนั้นคืนกลับไปให้คุณอา เพื่อเขาจะได้บริจาคไปให้ผู้อื่นต่อไป หลังจากนั้นถ้าจะมีญาติคนไหนซื้อหรือแจกเสื้อผ้ามาให้ ดิฉันต้องใช้วิธีถามลูกก่อนว่า เขาจะเอาเสื้อผ้านั้นมั้ย คำตอบของลูกคือ
“แม่เอามาให้เราดูก่อน” ดิฉันต้องคลี่เสื้อผ้าทุกตัวให้ดู ถ้าตัวไหนลูกพยักหน้า แปลว่าเขายอมรับเขาจะยอมใส่เสื้อหรือกางเกงตัวนั้น แต่ถ้าลูกบอกว่า“ไม่” และแม่จะพูดจาหว่านล้อมอย่างไรหรือแอบเอาใส่ในตู้เสื้อผ้าของเขา แม้ลูกจะไม่หยิบออกมาไว้นอกตู้ แต่ลูกก็จะไม่หยิบใส่เช่นกัน
นิสัยแบบนี้ของลูกจ๊อบติดมาจนกระทั่งบัดนี้ และลูกยังเป็นคนที่ไม่ถือวิสาสะที่จะหยิบฉวยของที่ไม่ใช่ของตนอีกด้วย แม้ของในบ้านที่เป็นของพี่แจ๊คหรือพี่โจ๊ก ถ้าลูกจะใช้ของๆพี่ๆ เช่น ดินสอสีกล่องใหญ่ ยางลบหรืออื่นใดก็ตาม เขาจะต้องขออนุญาตก่อนเสมอ คุณว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นคนที่ได้ “สั่งสม” หรือ ได้รับการ “สั่งสอน” มาก่อนหรือเปล่า แล้วใครล่ะที่เป็นคนสั่งสอน ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เพิ่งรู้ความ
ยังมีอีกสองเรื่องที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับลูกจ๊อบ เมื่อท่านอ่านแล้ว ก็ขอให้ท่านได้ไตร่ตรองและพิเคราะห์ด้วยตนเองว่า ทำไม อะไร และอย่างไร
ตอนนั้นลูกจ๊อบอายุได้แปดขวบ ดิฉันไปรับลูกกลับจากโรงเรียนในช่วงบ่ายเหมือนเช่นเคย เนื่องจากรถของดิฉันจะถูกล็อคคลื่นวิทยุไว้ ซึ่งเป็นคลื่นที่มีเสียงการแสดงธรรมทุกคลื่น ปกติดิฉันจะไม่เคยปิดวิทยุ ดังนั้นเมื่อสตารท์รถ จึงมีเสียงวิทยุดังขึ้นทุกครั้ง วันนั้นก็เช่นกันเมื่อบิดกุญแจสตารท์รถ เสียงเทศนาธรรมจากวิทยุดังขึ้นว่า
“อะไร อะไร ในโลกก็ล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น……..”
ดิฉันเอื้อมมือไปปิดวิทยุ เพราะอยากฟังลูกคุยเรื่องของเขา จึงสอบถามลูกเรื่องเรียน และเรื่องเพื่อนๆ เมื่อลูกเล่าเรื่องของตนเองจบแล้ว ก็พูดต่อมาว่า
“แม่! เราว่าอะไร อะไรมันก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น” ดิฉันหันมามองลูกจ็อบแวบหนึ่ง แล้วถามว่า
“เรอะ! มันเป็นยังไงล่ะ ที่เธอว่าอะไร อะไรมันไม่เที่ยงนะ มันมีอะไรมั่งล่ะ ไหนเธอลองบอกให้แม่ฟังหน่อยซิ”
“ก็ทุกอย่างแหละแม่ อย่างรถนี่ก็ไม่เที่ยง” ลูกเอามือไปแตะที่คอนโซลด้านหน้าของรถ และพูดต่อว่า
“อีกหน่อยมันก็เก่า แล้วมันก็จะเสีย แล้วก็ต้องเอาไปซ่อม พอมันเก่ามากๆเข้า แม่ก็จะขับมันไม่ได้ อย่างถนนก็เหมือนกัน มันก็ไม่เที่ยง แม่ดูซิมันเริ่มพังแล้ว เป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะรถวิ่งไปวิ่งมา อย่างบ้านก็เหมือนกัน” ลูกชี้นิ้วไปที่บ้านหลังหนึ่งข้างถนน แล้วพูดต่อมาว่า
“บ้านก็ไม่เที่ยง อีกหน่อยก็ต้องเก่าแล้วก็ต้องพัง แล้วก็ต้องสร้างใหม่อีก” ลูกหยุดพูดไปชั่วครู่ ดิฉันก็ถามขึ้นว่า
“แล้วเธอว่ายังมีอะไรอีกมั้ย ที่มันไม่เที่ยงนะ” ลูกจ๊อบตอบมาทันทีว่า
“อย่างแม่ก็เหมือนกัน แม่ก็ไม่เที่ยง อีกหน่อยแม่ก็ต้องแก่ แล้วแม่ก็ต้องตาย เราก็เหมือนกัน เราก็ไม่เที่ยง อีกหน่อยเราก็โตขึ้น แล้วเราก็ต้องแก่เหมือนแม่ แล้วเราก็ตาย ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมะก็ไม่เที่ยง” ลูกหยุดพูดอีก เรานิ่งกันไปสักครู่ ดิฉันนึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นว่า
“อะไร อะไรที่เธอบอกว่าไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นรถ เป็นบ้าน เป็นถนน เป็นแม่หรือว่าตัวเธอก็ตาม ที่ว่าไม่เที่ยงนะ แม่ไม่สงสัย แต่ที่เธอบอกว่าธรรมะไม่เที่ยงนะ มันเป็นยังไง เราชักสงสัย ไหนเธอลองบอกให้แม่ฟังหน่อยซิ” จบคำถามของแม่ ลูกก็ตอบทันทีว่า
“ก็อีกหน่อยนานๆเข้า คนก็จะไม่นับถือธรรมะ เมื่อไม่มีคนนับถือ ธรรมะก็จะหายไปไม่มีคนรู้จักอีกแล้ว ธรรมะก็ไม่เที่ยง”
ท่านใดที่ศึกษาพุทธธรรมมามาก อาจมีความเห็นที่ไม่เหมือนกับลูกจ๊อบ ในเรื่องความไม่เที่ยงของธรรมะ แต่ขอให้เข้าใจเถิดค่ะว่า นี่เป็นคำพูดของเด็กอายุแปดขวบเท่านั้น
สองวันต่อมา เป็นเวลาช่วงเช้าที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ขณะที่รถติดอยู่ในซอยใกล้บ้าน ลูกจ๊อบก็พูดขึ้นว่า
“แม่! เราว่าประตูแห่งพระนิพพานมีอยู่นะ แต่คนมองไม่เห็นเท่านั้น”
“เรอะ! แล้วยังไงล่ะ ทำไมคนถึงมองไม่เห็น” ดิฉันถามลูกยิ้มๆ ชักแปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆลูกก็พูดขึ้นมา ลูกจ๊อบตอบว่า
“ก็เพราะคนมองไม่เห็น เขาก็เลยต้องวนเวียนหาไง แต่พวกเขาวนหายังไงก็หาไม่เจอ” ลูกนิ่งเหมือนหยุดคิดไป่ชั่วครู่ แล้วพูดต่อมาว่า
“แม่รู้จักเขาวงกตมั้ย แบบที่เราเคยเล่นเกมเขาวงกตนะ” ลูกทำมือวนไปวนมาประกอบการพูดไปด้วย ดิฉันพยักหน้าในขณะที่เคลื่อนรถไปตามถนน แล้วถามว่า
“อือ! รู้จักแล้วยังไงล่ะ”
“ก็คนก็เดินวนเวียนหาทางออกไง แต่เขาหาทางออกไปไม่ได้ เขาก็เลยไม่เห็นประตูแห่งพระนิพพาน แต่ถ้าเมื่อไรพวกเขาหาทางออกจากเขาวงกตได้ เขาก็จะเลิกเดินวนเวียน แล้วเขาก็จะได้พบประตูแห่งพระนิพพานเองแหละ”
“อ๋อ! ยังงี้เองเรอะ” ดิฉันก็รับคำลูกไปแบบยังงงๆอยู่มากๆ
ไม่มีคำพูดจากแม่แจ๋ว เพราะแม่แจ๋วเองก็กำลังวนเวียนอยู่ในเขาวงกตเหมือนกัลล์….ล์….ล์………
Leave a Reply