4. แม่ครับ…..แจ๊คขอโทษ
ดิฉันเชื่อว่าหลายครอบครัวต้องปวดหัวมากกับการใช้โทรศัพท์ของลูกวัยรุ่น ทั้งโทรศัพท์บ้านและโมบายโฟน(โทรศัพท์มือถือ) คิดว่าเกือบทุกคนกำลังหาวิธีจัดการกับลูกๆของตน เรื่องนี้ไม่ยกเว้นหนุ่มน้อยในครอบครัวของดิฉัน เมื่อลูกๆยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ดิฉันไม่อนุญาตให้ลูกใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งนายแจ๊คและนายโจ๊กเคยร้องขอให้แม่ซื้อให้ เพราะเพื่อนๆที่โรงเรียนมีใช้กันเกือบทุกคน แต่ดิฉันบอกลูกว่าเมื่อไรที่ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เมื่อนั้นจึงจะอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือได้ ดังนั้นเมื่อนายแจ๊คสอบ“เอ็นสะท้าน”เข้ามหาวิทยาลัยได้ สิ่งแรกที่ลูกร้องขอเพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากในการดูหนังสือแบบหามรุ่งหามค่ำคือ โทรศัพท์มือถือ ดิฉันพาลูกไปเลือกซื้อที่ร้านขายโทรศัพท์ในห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ลูกเลือกซื้อรุ่นที่กำลังมีโปรโมชั่นพิเศษ คือคุยมากจ่ายน้อย แต่ก็มีการจำกัดด้วยว่าต้องคุยไม่เกินที่บริษัทเขากำหนด ราคาจ่ายต่อเดือนคือสามร้อยบาท
ในช่วงสองเดือนแรกลูกแจ๊คก็คุยโทรศัพท์อยู่ในกำหนดดี แต่พอเข้าเดือนที่สาม แม่ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์เพิ่มอีกเป็นห้าร้อยกว่าบาท ดิฉันเตือนลูกเรื่องใช้โทรศัพท์ ลูกรับปากว่าจะพยายามให้ไม่เกินกำหนดมาก เดือนต่อมาค่าโทรศัพท์คงเป็นห้าร้อยกว่าบาทเหมือนเดิม ลูกบอกว่าช่วงนี้มีกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมาก ขอใช้โทรศัพท์เป็นห้าร้อยบาท ดิฉันยอมให้ แต่ลูกต้องรับปากว่าไม่เกินห้าร้อยบาทตามที่พูดไว้ ลูกรับคำ เดือนต่อมาค่าโทรศัพท์เพิ่มเป็นเจ็ดร้อยกว่าบาท ดิฉันตรวจดูหมายเลขที่ใช้โทรศัพท์ เห็นมีเลขหมายหนึ่งซ้ำๆกันมาก เรียกลูกมาคุยเรื่องค่าโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้น ลูกนิ่งเงียบไม่โต้ตอบว่าอะไร ดิฉันจึงพูดว่า
“แม่เห็นมีเบอร์โทรฯซ้ำๆกันอยู่เบอร์นึง หนูมีธุระคุยอะไรกันนักหนา คนที่จะใช้โทรศัพท์มากขนาดนี้ ต้องเป็นนักธุรกิจแล้ว ไม่ใช่นักเรียนหรือนิสิตนักศึกษาอย่างลูก”
ลูกนิ่งไม่ตอบอีก ดิฉันรู้ว่าลูกมีเพื่อนหญิงที่ถูกใจ(แฟน)อยู่คนหนึ่ง เพราะเห็นคุยโทรศัพท์(บ้าน)กันเป็นนานสองนาน ตั้งแต่ที่ลูกรู้ผลสอบว่าติดคณะในมหาวิทยาลัยที่ตนต้องการแน่แล้ว เมื่อมาเห็นเบอร์โทรฯซ้ำๆเช่นนี้ จึงเดาได้ว่าลูกคงคุยกับแฟน จึงพูดต่อไปว่า
“ลูกคุยกับแฟนใช่มั้ย”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงพูดต่อว่า
“เดี๋ยวนี้คนที่เป็นแฟนกัน เขาไม่ต้องพบเจอกัน แค่คุยโทรศัพท์ก็พอแล้วหรือ”
“แม่! ก็พ่อแม่แฟนแจ๊คเขาไม่ยอมให้ลูกเขาออกนอกบ้าน ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ก็ต้องออกไปกับพ่อแม่เท่านั้น”
“งั้นลูกทำไมไม่ใช้โทรศัพท์บ้าน จะคุยนานแค่ไหนก็ได้ แค่สามบาทเอง”
ลูกบอกว่าไม่สะดวก ดิฉันจึงถามถึงเรื่องเพื่อนหญิงของเขา ลูกบอกว่าเป็นเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ชั้นมัธยม สอบติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นคนละแห่งกับที่ลูกแจ๊คสอบได้ ดิฉันจึงบอกให้ลูกระมัดระวังการใช้โทรศัพท์ หากใช้เกินกำหนดอีกครั้งแม่จะไม่จ่ายค่าโทรศัพท์ให้ ลูกรับคำ
ขอเกริ่นเรื่องลูกมีแฟนหน่อย คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่คัดค้านการมีแฟนของลูกแบบหัวชนฝา บางคนก็หงุดหงิดกระเง้ากระงอดกับลูก มีเพื่อนหลายคนเคยถามดิฉันว่า ไม่รู้สึกหวงลูกบ้างหรือ ถ้าลูกคุณมีแฟนจะทำอย่างไร ดิฉันจะเอาไว้เล่าให้ฟัง ในเรื่อง“เมื่อลูกชายมีแฟน” ดิฉันเองก็เจอเหตุการณ์นี้กับทั้งสองหนุ่มในบ้าน คือทั้งลูกแจ๊คและลูกโจ๊ก ส่วนการคุยกับลูกว่าอย่างไร หรือจัดการอย่างใดนั้น โปรดติดตามต่อไป (แน่ะ! มีการโฆษณาล่วงหน้าอีกด้วย)
กลับมาเรื่องค่าโทรศัพท์ของนายแจ๊คต่อ เดือนถัดมาค่าโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็นเก้าร้อยกว่าบาท ตามใบแจ้งหนี้ เย็นวันนั้นลูกแจ๊คยังไม่กลับบ้าน คงเพราะรถติดมาก ดิฉันจึงเอาใบแจ้งหนี้ฝากกับลูกโจ๊กแล้วพูดว่า
“โจ๊ก โจ๊ก เอาใบแจ้งหนี้ค่าโทรศัพท์ให้แจ๊คด้วย บอกเขาว่า แม่บอกให้เขาจัดการเอง แม่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว เพราะพูดหลายครั้งแล้ว”
ค่ำวันนั้นดิฉันขึ้นนอนแต่หัวค่ำ ไม่อ่านหนังสือธรรมะเหมือนเช่นเคย ปิดไฟนอนเงียบ แต่ยังไม่หลับรอฟังเสียงลูกแจ๊คกลับบ้าน ประมาณสองทุ่มครึ่ง เสียงลูกเปิดประตูเข้าบ้าน นายโจ๊กจัดการตามที่สั่ง ภายหลังลูกมาเล่าให้แม่ฟังว่า พอโจ๊กเอาบิลค่าโทรศัพท์ให้แจ๊คดู พี่แจ๊คเห็นค่าโทรศัพท์ก็ถามนายโจ๊กว่า แม่พูดว่ายังไงบ้าง นายโจ๊กบอกว่า แม่ไม่พูด แม่งอน แต่บอกว่าให้โจ๊กเอาบิลนี้ให้แจ๊คดู เพียงเท่านั้นพี่แจ๊คก็ตกใจหน้าซีด รีบตาลีตาเหลือกขึ้นไปที่ห้องแม่
เสียงเปิดประตูห้องและเปิดไฟ ลูกมานั่งที่ขอบเตียงของแม่ ตอนนั้นดิฉันนอนหันตะแคงข้างไปอีกด้านหนึ่ง เสียงลูกเรียกแม่
“แม่ครับ แจ๊คกลับมาแล้ว”
ดิฉันนอนนิ่งไม่รับคำ ไม่ขยับตัว นิ่งไปครู่ใหญ่ๆ ลูกเห็นว่าแม่ไม่พูดด้วยแน่แล้ว จึงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนอ่อยอย่างยิ่ง
“แม่ครับ แจ๊คขอโทษ ต่อไปนี้แจ๊คจะไม่ใช้โทรศัพท์มากอย่างนี้อีกแล้ว แม่พูดกับแจ๊คหน่อย”
ดิฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองลูกเต็มตา เห็นสีหน้าที่แสดงความเสียใจมาก จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“เมื่อลูกรู้ตัวว่าทำไม่ถูกต้องก็ดีแล้ว ต่อไปให้ระมัดระวังด้วย เรื่องโทรศัพท์เมื่อรับปากแม่แล้วก็ต้องทำให้ได้ เวลาใช้ก็ให้คิดให้ดีก่อนว่า เรื่องที่จะพูดสมควรที่จะใช้โทรศัพท์หรือยัง หนูโตแล้วนะลูก เรียนตั้งมหาวิทยาลัยแล้ว ต้องรู้จักคิดก่อนที่จะพูดอะไรไป เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องรักษาคำพูดของเราด้วย แม่จะให้หนูใช้โทรศัพท์แค่เดือนละสามร้อยบาทเหมือนเดิม ถ้าเกินจากนี้หนูต้องหาเงินมาจ่ายเอง ถ้าไม่อย่างนั้น แม่จะปล่อยให้ทางบริษัทฯเขาตัดไปเลย เข้าใจมั้ย”
“ครับแม่” ลูกรับคำเสียงหนักแน่น
“งั้นก็ไปกินข้าวอาบน้ำซะลูก” ดิฉันบอกลูกให้ไปหาข้าวกิน ลูกแจ๊คลุกออกไปอย่างว่าง่าย ด้วยสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นมาก
หลังจากนั้นประมาณสองสัปดาห์ ลูกแจ๊คขอให้ดิฉันเปลี่ยนเป็นการด์โฟนราคาสามร้อยบาทให้ และไม่เคยขอเพิ่มจากจำนวนนั้นอีก สองเดือนต่อมาลูกได้งานพิเศษทำ คือสอนหนังสือเด็กนักเรียนชั้นมัธยม วิชาที่สอนคือฟิสิกส์ ได้ค่าเหนื่อยสัปดาห์ละห้าร้อยบาท ดิฉันเคยตรวจดูค่าโทรศัพท์ของลูก ตกเฉลี่ยที่หกร้อยถึงเจ็ดร้อยกว่าบาทต่อเดือน แต่ลูกก็ไม่เคยขอเงินค่าโทรศัพท์เพิ่มอีกเลยจนถึงบัดนี้
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วลูกโจ๊กซึ่งอายุน้อยกว่าพี่แจ๊คสองปี ก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน ไม่ขอใช้โทรศัพท์มือถือบ้างหรือ ใช่ค่ะ! ลูกเคยขอกับแม่ครั้งหนึ่ง แต่ดิฉันบอกเงื่อนไขแก่ลูกเหมือนกับพี่แจ๊คคือ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อนจึงจะซื้อให้ ลูกไม่ร้องขออีก เพราะรู้ว่าเมื่อแม่พูดแบบนั้น เขาต้องรอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อน เขาจึงจะได้ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างพี่แจ๊ค หลังจากนั้นประมาณหนึ่งปี ปรากฏว่าลูกโจ๊กใช้เงิน “แต๊ะเอีย” ตรุษจีนไปหาซื้อเอง ในราคาเครื่องละห้าพันบาท แต่มาขอให้แม่ซื้อการด์โฟนให้ เดือนละสามร้อยบาทเหมือนพี่แจ๊ค ดิฉันยอมซื้อให้ลูก แต่ต้องตกลงที่จะไม่ใช้เกินกำหนด ลูกรับปาก ซึ่งลูกโจ๊กก็ไม่เคยใช้เกินกำหนดแม้ครั้งเดียว ดิฉันคิดว่าที่เป็นเช่นนั้น น่าจะเป็นเพราะลูกรู้ว่า ถ้าเขาใช้โทรศัพท์เกินจากที่เคยตกลงกับแม่ไว้ แม่จะต้องไม่ยอมจ่ายเพิ่มให้แน่นอน เพราะแม่เป็นคน“เอาจริง” ทุกเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับลูก
มีเพื่อนและญาติท่านหนึ่งเคยพูดกับดิฉันว่า ทำไมถึง “โหดร้าย” กับลูกๆนัก ปล่อยๆบ้างเถอะเขายังเด็กอยู่ เดี๋ยวโตขึ้นเขาก็จะรู้เอง แต่ดิฉันบอกกับท่านผู้นั้นว่า
“ถ้าไม่ดัดลูกตอนไม้อ่อน คุณจะไปหวังดัดลูกตอนที่เป็นไม้แก่แล้ว มันจะทันการณ์หรือ ความจริงสิ่งที่เราทำไปก็เพื่อให้ลูกรู้จักช่วยตัวเอง รู้จักการยับยั้งชั่งใจ รู้ว่าอะไรควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ รวมทั้งเพื่อไม่ให้ลูกต้องเป็นภาระต่อสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้นเท่านั้นเอง”
เพื่อนและญาติผู้หวังดีนั้นไม่ได้ฟังดิฉันจนจบประโยคหรอกค่ะ เธอเดินหนีไปเสียก่อน หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีลูกวัยรุ่นอายุไล่เลี่ยกับลูกดิฉันโทรศัพท์มาคุย เรื่องลูกเธอใช้โทรศัพท์มือถือเปลืองมาก ตกเดือนละ“เจ็ดพันบาท” จะทำยังไงดี แค่ได้ยินก็ต้องนิ่งอึ้ง ดิฉันถามกลับไปว่า เมื่อเห็นค่าโทรศัพท์แล้วเธอทำอย่างไร เธอเล่าว่าก็บอกลูกว่าให้ใช้น้อยๆหน่อย แต่ลูกก็ยังคงใช้เหมือนเดิมเลยไม่รู้จะทำยังไงดี เธอถามดิฉันว่า ลูกดิฉันใช้โทรศัพท์มือถือเดือนละเท่าไร และจัดการอย่างไร ดิฉันก็เล่าให้ฟังว่าทำอะไรไปบ้างตามที่คุณๆได้ทราบแล้ว และแนะนำให้เธอเปลี่ยนให้ลูกใช้การด์โฟน หรือถ้าลูกดื้อก็งดจ่ายค่าโทรศัพท์ คำตอบจากคุณแม่ท่านนั้นคือ
“เคยบอกลูกแล้วให้ใช้การด์โฟน แต่ลูกไม่ยอม ถ้าจะตัดไม่ให้ใช้โทรศัพท์ กลัวลูกจะโกรธ ช่างเถอะ! เดี๋ยวโตขึ้นเขาก็รู้เอง”
วังเวงใจจัง !
Leave a Reply