3. เตรียมตัวตายให้เป็น
เห็นชื่อเรื่องแล้วหลายคนคงตกใจ เอ๊ะ! นี่มันยังไงกัน เขียนเล่าเรื่องลูกอยู่ดีๆ ลูกยังไม่ทันโตไปสักเท่าไรเลย มาพูดชวนให้เตรียมตัวตายกันแล้ว มันต้องมีเหตุให้พูดเรื่องนี้ซิน่า ไม่อย่างนั้นอยู่ๆจะเอาเรื่องพรรค์อย่างนี้มาคุยกับลูก คุณว่าเขาจะฟังคุณรึ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนายแจ๊คตอนที่ลูกเรียนอยู่ชั้นมัธยม และต้องเรียน “ร.ด.” ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาการด้วย
อย่างที่เคยเขียนบอกไว้บ่อยๆว่า ดิฉันชอบที่จะขับรถไปส่งลูก ไม่ว่าลูกจะโตมากจนขึ้นรถประจำทางได้เองแล้ว แต่เมื่อลูกร้องขอให้แม่ไปส่ง เพื่อความสะดวกในการต่อรถไฟฟ้าหรือรถใต้ดิน ดิฉันมักถือว่าเป็นโอกาสทองของแม่ที่จะได้คุยกับลูกในทุกเรื่องที่ตัวเองอยากคุย เรื่องที่คุยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับคุณพ่อและน้องๆ ทั้งนี้เนื่องจากแม่เป็นเหมือนคนกลางที่เชื่อมต่อระหว่างพ่อ-แม่-ลูก รวมทั้งญาติๆทั้งทางฝ่ายแม่และคุณพ่อด้วย
เมื่อลูกโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนให้ทันเวลา จำเป็นต้องให้ลูกไปอยู่หอพักใกล้สถานที่เล่าเรียน ลูกๆมีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลง ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็พลอยห่างเหินไปด้วย เนื่องจากดิฉันเป็นแม่บ้าน ทุกคนที่เข้าบ้านต้องได้พบพูดคุยกับแม่ แม่จึงเป็นคนเดียวในบ้านที่รู้ทุกเรื่องของทุกคนในครอบครัว ดิฉันจึงถือเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องเป็นตัวกลาง สื่อให้แต่ละคนในครอบครัวได้ล่วงรู้ความเป็นไปของสมาชิกในครอบครัว ด้วยวิธีนี้จึงทำให้ลูกๆรักและห่วงใยกันแน่นแฟ้น แม้พวกลูกๆจะมีเวลาได้พบกันน้อยลงก็ตาม
จำได้ว่าเรื่องนี้ดิฉันคุยกับลูกแจ๊คเมื่อตอนที่ลูกเรียน“ร.ด.” ปีสุดท้ายแล้ว และเหมือนเดิมคือคุยกันในรถ
เช้าวันนั้น หลังจากดิฉันกลับจากออกกำลังกาย เมื่อเดินเข้าบ้าน เห็นลูกแจ๊คแต่งชุด ร.ด.เรียบร้อย นั่งอยู่หน้าจอทีวี จึงถามลูกว่า
“ยังไม่ไปเรียนอีกหรือลูก”
“ยังครับ วันนี้แจ๊คมีเรียน ร.ด. ตอนบ่าย แม่ไปส่งแจ๊คที่โรงเรียนหน่อย”
“งั้นแม่อาบน้ำก่อนได้มั้ย”
“ครับ” เมื่อลูกรับคำ ดิฉันจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเรียบร้อยแล้วเราแม่ลูกก็ไปขึ้นรถ เหมือนเช่นเคยเราคุยกันเรื่องต่างๆ ส่วนมากเป็นเรื่องของน้องจ๊อบ มีตอนหนึ่งดิฉันถามลูกว่า
“แจ๊คลูกจะเรียน ร.ด.จบเมื่อไร”
“ปีนี้ปีสุดท้ายแล้วแม่ แม่รู้มั้ย ถ้าแจ๊คจบแล้วจะมียศด้วย และถ้าจะเป็นทหารจริงๆก็ได้”
“อือ! แม่ก็รู้มาอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเกิดสงคราม เขาจะเรียกพวก ร.ด.เป็นกองหน้า หนูก็ต้องออกรบซินะ”
“แม่พูดอย่างนี้ จะให้แจ๊คไปตายเหรอะ” ลูกพูดเสียงดัง
“อ้าว! ก็ใช่มั้ยล่ะ ที่พวกเรียน ร.ด.ต้องไปเป็นกองหน้าเวลามีสงคราม” ดิฉันถามกลับไป ชักงงๆว่าอยู่ดีๆลูกพูดเสียงดังทำไม
“แม่อยากให้แจ๊คไปตายเหรอะ” ลูกถามย้ำมาด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเต็มที่ ดิฉันเหลือบมองลูก เห็นสีหน้าเคร่งเหมือนกำลังโกรธหรือกลัวอะไรสักอย่าง ชักเอะใจจึงถามลูกว่า
“แจ๊ค! ลูกกลัวตายเหรอ” ลูกนิ่งอั้นไป ไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันนิ่งไปชั่วครู่ จึงพูดต่อไปว่า
“อ้อ! แม่รู้แล้ว ทำไมคนเราถึงกลัวตายกันนัก อันที่จริง ไม่ใช่ลูกคนเดียวหรอกนะที่กลัวตาย มนุษย์ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างหนูทั้งนั้น ที่ทุกคนกลัวตายก็เพราะไม่รู้ว่าเมื่อตายไปแล้ว ตัวเองต้องไปอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไรและอยู่กับใคร จะมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนในขณะนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
ลูกนิ่งอึ้งไม่พูดอะไร ดิฉันเหลือบมองลูกแวบหนึ่ง ขับรถต่อไปอย่างช้าๆและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
“ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่หนูคิดหรอก แม่จะเปรียบเทียบให้ฟังนะลูก เหมือนแม่จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก สมมติเป็นที่อเมริกา แม่มีแต่เงินกับตั๋วเครื่องบินให้หนู แล้วบอกว่าลูกไปเรียนที่ประเทศนี้นะ ไม่มีข้อมูลอะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องสถานที่พัก เรื่องที่เรียน อีกทั้งไม่ฝากฝังลูกกับใครทั้งสิ้น แค่คิดลูกก็คงกลัวแล้ว ลูกจะกล้าเดินทางไปมั้ย”
ลูกส่ายศีรษะช้าๆเหมือนกำลังคิดตาม ดิฉันจึงพูดต่อว่า
“ถูกแล้วลูกต้องไม่กล้าไปแน่นอน ลูกกลัวเพราะลูกไม่รู้อะไรซักอย่าง แต่เอาใหม่แม่จะให้หนูไปเรียนที่อเมริกาเหมือนเดิมนี่แหละ มีเงินกับตั๋วเครื่องบินให้ แล้วบอกลูกว่า หนูไปขึ้นเครื่องบินนะ ตามวันเวลาที่ระบุไว้ เมื่อเวลาอยู่ในเครื่องบินก็สบาย เพราะแม่ฝากหนูกับแอร์โฮสเตสไว้แล้ว พอไปถึงสนามบินที่เมืองนอก จะมีคนถือป้ายชื่อหนูรออยู่ หนูไปหาคนๆนั้น เขาจะพาหนูไปบ้านพักที่แม่ติดต่อไว้แล้ว นอนพักผ่อนให้สบาย เช้าวันรุ่งขึ้นจะมีคนมาพาหนูไปติดต่อสถานที่เรียนจนเรียบร้อย แบบนี้ถึงจะต้องเดินทางคนเดียวโดยไม่มีใครไปด้วย ลูกจะกล้าไปมั้ย”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงยิ้มและพูดต่อไปว่า
“เหมือนกันแหละลูก ถ้าเรารู้ว่าเมื่อเราตายแล้วจะได้ไปที่ไหนและไปอยู่อย่างไร แล้วที่นั่นเป็นที่ๆดี จะได้พบคนดีๆ เวลาที่เราคิดถึงความตาย เราจะไม่กลัว”
“ก็เราจะรู้ได้ยังไงล่ะแม่ ว่าเราจะได้ไปอยู่ที่ไหนเวลาที่เราตายไปแล้ว”
“อ๋อ! เราก็ต้อง เตรียมตัวตายให้เป็น ไงล่ะ”
ดิฉันเน้นเสียงพูดดังๆชัดเจน ลูกมองแม่ด้วยสีหน้าที่งุนงง แล้วถามกลับมาแบบสงสัยเต็มที่ว่า
“คนเราเตรียมตัวตายได้ด้วยหรือแม่”
“ได้ซิลูก ทำไมจะไม่ได้” ลูกนิ่งไปและมีสีหน้าแบบคนใช้ความคิดหนัก เห็นแบบนั้นดิฉันจึงพูดต่อว่า
“แจ๊ค ลูกรู้ใช่มั้ยว่า คนเราเมื่อตายแล้วจะเอาทรัพย์สมบัติหรือสิ่งของอะไรติดตัวไปไม่ได้ซักอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องติดตัวเราไปตลอดไม่ว่าเราจะอยู่หรือตาย หนูรู้มั้ยว่าสิ่งนั้นคืออะไร”
ลูกนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ใหญ่ๆ แล้วตอบเบาๆเหมือนไม่แน่ใจว่า
“ใช่ความดีความชั่ว หรือบุญกับบาปมั้ยแม่”
“เก่งมากลูก ใช่แล้ว ก็แค่นั้นแหละ อย่างอื่นก็ไม่มีใครเอาอะไรไปได้ แล้วหนูรู้ใช่มั้ย ถ้าเราทำแต่ความดี ทำแต่บุญหรือสิ่งที่เป็นกุศล เมื่อตายไปเราก็จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือถ้าเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ก็จะได้เกิดในที่ๆดี มีพ่อแม่ที่ดี พบแต่คนดีๆ แต่ถ้าใครทำชั่วหรือทำบาป พอตายไปก็ตกนรก หรือถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้อยู่ที่ไม่ดี มีพ่อแม่ไม่ดี พบคนไม่ดี อาจต้องตกระกำลำบากมากๆ ทีนี้หนูพอเข้าใจแล้วใช่มั้ย คนเราเลือกที่ไปหลังจากตายได้ แถมยังเลือกเกิดได้ด้วย ทำเพียงแค่เรื่องเดียวคือ ทำดีเท่านั้น การทำดีก็ต้องทำทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ หนูทำได้มั้ยละลูก”
ลูกพยักหน้ารับ สีหน้าแจ่มใสขึ้นมาก ถามกลับมาว่า
“แล้วเราจะยึดหลักอะไรในการทำความดีล่ะแม่”
“ง่ายมากลูก เราก็รักษาศีลห้าให้มั่นคงซิลูก แค่นั้นก็พอแล้ว หนูจำได้ครบหมดทุกข้อหรือเปล่าล่ะ”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“ศีลห้าเป็นศีลสากลนะลูก ไม่ว่าคนนับถือศาสนาใดก็สามารถรักษาศีลห้าให้เคร่งครัดหรือมั่นคงได้ ทีนี้ลูกคงไม่กลัวตายแล้วนะ เพราะลูกรู้วิธีเตรียมตัวตายให้เป็นแล้วนี่ แถมจะเลือกที่ไปเกิดใหม่ก็ได้อีกด้วย และถ้าทำดีบ่อยๆเข้า จิตใจเราผ่องใส เมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็พลอยดีไปด้วย อายุก็จะยืนยาวมากขึ้น”
หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันเล่าเรื่องที่พูดคุยกับพี่แจ๊คให้ลูกโจ๊กฟัง ลูกโจ๊กดูจะเป็นคนเข้าใจได้ง่าย เพราะเคยบวชเณรมาแล้ว ถัดมาอีกหลายปีเมื่อนายตัวเล็กอายุได้แปดขวบดิฉันก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่าแม่คุยอะไรกับพี่แจ๊ค ตอนนี้ลูกจ๊อบมีอายุสิบปีแล้ว ถ้าใครไปถามว่า คนเราตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง นายตัวเล็กจะตอบเสียงดังฟังชัดว่า
“เอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่าง นอกจากบุญหรือบาป ความดีหรือความชั่วเท่านั้น”
Leave a Reply