1. โจ๊กอยากได้กีตาร์ราคาแพงๆ

ดิฉันเคยเล่าไว้ในเรื่องก่อนๆแล้วว่า พอลูกเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมซึ่งเป็นช่วงที่ลูกมีอายุ 12-15ปี ดิฉันก็แนะนำแกมบังคับให้ลูกเลือกกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างกีฬาและดนตรี ทั้งนี้เพื่อให้ลูกมีเวลาว่างในตอนเย็นหลังเลิกเรียน หรือเวลาว่างในวันหยุดน้อยลง ดิฉันไม่นิยมให้ลูกเรียนเสริมพิเศษตอนเย็นหรือวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะเคยให้ลูกเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม ปรากฏว่าการเรียนเสริมตอนเย็นคือการให้เด็กทำการบ้าน เพื่อรอผู้ปกครองมารับเท่านั้น เมื่อกลับบ้านลูกก็ไม่สนใจอะไรอีกเลยนอกจากทีวีกับเกม

ส่วนการเรียนเสริมพิเศษวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เหมือนกับเอาลูกไปฝากเลี้ยง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในเรื่องดังกล่าวนี้ก็แพงมาก ลูกมีเวลาอยู่บ้านกับพ่อแม่น้อยลง ถ้าจะนับชั่วโมงแล้วก็แค่เวลานอนเท่านั้น ดิฉันเกรงว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวจะห่างเหินเกินไป จึงไม่ให้ลูกเรียนเสริมพิเศษ เพื่อลูกจะได้รู้หน้าที่ของตนว่า เมื่อเลิกเรียนกลับบ้านแล้ว หน้าที่ของลูกคือต้องทำการบ้านหรือทบทวนบทเรียนและท่องศัพท์ จึงจะอ่านหนังสืออ่านเล่นหรือดูทีวีได้ วิธีนี้ทำให้ลูกมีเวลาอยู่บ้านยาวนานขึ้น ได้พูดคุยใกล้ชิดพ่อแม่มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อลูกขึ้นเรียนชั้นมัธยมหนึ่ง นายแจ๊คลูกชายคนโตจึงเลือกเล่นกีฬาคือบาสเก็ตบอล เพราะเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง และมีกลุ่มเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันที่ชอบเล่นบาสเก็ตบอลเหมือนกัน ส่วนนายโจ๊กลูกคนที่สองเนื่องจากร่างกายไม่สู้แข็งแรงนัก เพราะมีโรคประจำตัวคือโรคหืด เมื่อเล่นกีฬากลางแจ้งจะเหนื่อยง่าย ได้ทดลองเล่นกีฬาหลายชนิดตามที่คุณหมอแนะนำ แต่ลูกก็ไม่ชอบสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องว่ายน้ำ แบตมินตันหรือบาสเก็ตบอล จึงขอเลือกเรียนดนตรี ได้ไปทดลองเล่นดนตรีหลายชนิด สุดท้ายก็เลือกเรียนกีตาร์ เพราะเพื่อนเรียนกันหลายคน

การที่ดิฉันให้ลูกเลือกทำในสิ่งที่เขาชอบ แต่กะเกณฑ์ให้อยู่ในแนวทางของเรานั้น ดิฉันถือว่าเป็นการผ่อนสั้นผ่อนยาว ทั้งนี้เพราะลูกเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ลูกจะเริ่มติดเพื่อนและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น การให้ลูกเลือกกิจกรรมที่ลูกชอบ แต่ต้องอยู่ในแนวทางของเราคือกีฬาหรือดนตรี ลูกรับได้ แต่หลังจากนี้ลูกจะเลือกในสิ่งที่เขาชอบเอง เขาจะเลือกกีฬาหรือดนตรีประเภทใดที่เขาชอบเพราะมีเพื่อนร่วมเรียนร่วมเล่นด้วย ไม่เป็นปัญหา ดิฉันถือว่าเพื่อนของลูกที่ชอบเล่นกีฬาหรือเล่นดนตรี น่าจะดีกว่าเพื่อนประเภทอื่นๆที่ไม่พึงประสงค์

ดิฉันเคยพบเด็กบางคน(เพื่อนลูก) ที่พ่อแม่”ต้องการ”ให้เรียนเปียโน แล้วเด็กไม่มีความสุข ทั้งนี้เพราะเขาไม่ชอบและไม่มีเพื่อนในกลุ่มไปเรียนด้วย อยากเรียนกีตาร์พร้อมกับเพื่อนๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพ่อแม่อยากให้เรียนในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการให้ “ลูกเป็น” ดิฉันไม่ตำหนิใครทั้งสิ้นในเรื่องนี้ เพราะผู้คนทั้งหลายถูกปลูกฝังให้หลงติดกับวัตถุนิยม คนมากมายที่คิดว่า“ลูกฉัน” ต้องดี ต้องเป็น ต้องเก่ง ถ้าไม่อย่างนั้นลูกฉันจะไม่ทันเพื่อน แล้ว“ฉัน”ก็จะอับอายขายขี้หน้าเพื่อนๆ คุณลองสังเกตตัวเองซิว่า เวลาที่คุณพูดกับใครๆว่า “วันเสาร์ฉันไม่ว่างนะเพราะต้องส่งลูกไปเรียนเปียโนที่……. หรือเรียนบัลเลต์ที่……. (เอ่ยถึงสถาบันชื่อเสียงโด่งดังและราคาค่าสอนแพงมาก)” มันรู้สึกโก้พิลึกเชียวล่ะ!

เมื่อนายแจ๊คเลือกเล่นบาสเก็ตบอล อุปกรณ์สำคัญที่สุดคือรองเท้ากับลูกบอล เรื่องลูกบอลไม่เป็นปัญหา เพราะใช้ของโรงเรียนอยู่แล้ว ส่วนรองเท้าลูกเคยขอซื้อรองเท้าแบรนด์เนม แต่ดิฉันไม่ซื้อให้ เพราะลูกเพิ่งเริ่มซ้อม จึงให้ใช้รองเท้านักเรียนไปก่อน ซึ่งเป็นรองเท้ายี่ห้อเก่าแก่ที่มีคุณภาพดี ราคาถูกมาก ถ้าเอ่ยชื่อยี่ห้อของรองเท้าออกมา คิดว่าเกือบทุกคนต้องรู้จักดี จนเมื่อลูกได้รับเลือกเป็นนักกีฬาของโรงเรียนเมื่อชั้นมัธยมสอง ลูกขอซื้อรองเท้าใหม่ที่ใช้สำหรับเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลจริงๆ คือเป็นรองเท้าหุ้มข้อเท้า โดยเอาผลการเรียนที่ค่อนข้างดีมากของตนเองมาเป็นตัวต่อรอง ดิฉันยอมให้ลูกซื้อใหม่ แต่ต้องไม่ใช่รองเท้าแบรนด์เนมราคาแพง โดยกำหนดราคาที่ไม่เกินหนึ่งพันบาท ปรากฏว่าลูกเลือกได้รองเท้าราคาแปดร้อยห้าสิบบาท นั่นเป็นรองเท้าบาสฯคู่แรกของลูก

สองปีต่อมา ลูกแจ๊คขอซื้อรองเท้าใหม่และลูกบาสเก็ตบอลหนึ่งลูก โดยเอาผลการเรียนของตนเองเป็นตัวต่อรองอีก คือลูกมาบอกว่าถ้าเขาสอบได้เกรดสี่ทุกวิชา จะขอซื้อรองเท้าบาสฯ แบรนด์เนมที่มีราคาคู่ละหนึ่งพันห้าร้อยบาทขึ้นไป เนื่องจากต้องซ้อมหนักเพราะต้องลงแข่งขันหลายครั้ง รองเท้าคู่เก่าก็สึกมากแล้ว ดิฉันยอมตามเงื่อนไขของลูก พอผลการเรียนของลูกออกมา ปรากฏว่าดิฉันต้องพาลูกไปเดินหาซื้อลูกบาสเก็ตบอลและรองเท้าแบรนด์เนมที่ห้างสรรพสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ ลูกแจ๊คเล่นกีฬาให้โรงเรียนจนถึงชั้นมัธยมหก และแม้จะเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังคงเป็นนักกีฬาของคณะฯจนถึงปีสอง หลังจากนั้นลูกก็เลิกเล่นแบบจริงจัง เพราะการเรียนหนักมากขึ้น เดี๋ยวนี้การเล่นกีฬาของลูกคือการเล่นเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนหนักเท่านั้น และหันกลับมาใช้รองเท้าดีราคาถูก ยี่ห้อเก่าแก่เหมือนเดิม

สำหรับลูกโจ๊กเมื่อเลือกเรียนกีตาร์ อุปกรณ์สำคัญในการเรียนคือกีตาร์ คุณพ่อของลูกพาไปเดินเลือกซื้อที่ห้างสรรพสินค้าในราคาตัวละเจ็ดร้อยบาท ปิ๊กสำหรับดีดกีตาร์หนึ่งอัน การเรียนกีตาร์ต้องไปเรียนที่โรงเรียนที่รับสอนดนตรีโดยตรง ซึ่งมักจะเปิดตามศูนย์การค้าทั่วไป การเรียนในสามสัปดาห์แรกไม่มีปัญหา พอเริ่มเรียนสัปดาห์ที่สี่ ลูกโจ๊กเริ่มงอแงขอซื้อกีตาร์ตัวใหม่ อ้างว่าพวกเพื่อนมีกีตาร์ราคาแพงๆทั้งนั้น และที่มีอยู่เสียงก็ไม่เพราะ ฟังแล้วเหมือนดีดกระป๋องไม่ใช่ดีดกีตาร์ (ฟังคำเปรียบเทียบของลูกซิ) ถ้าไม่ซื้อของแพงให้ก็จะไม่ไปเรียน ดิฉันจึงบอกลูกว่า

“หนูก็เรียนให้ดีดกีตาร์ได้เก่งๆก่อนซิ แล้วค่อยซื้อใหม่ นี่เพิ่งเริ่มเรียนยังดีดไม่เป็นเพลงเลย ก็จะเอากีตาร์ราคาแพงๆแล้ว”

“กีตาร์แบบนี้ดีดยังไงก็ฟังไม่เพราะ เวลาดีดตัวโน้ตเสียงก็เพี้ยน ให้ดีดเป็นเพลงยิ่งฟังไม่ได้เรื่อง ถ้าแม่ไม่ซื้อให้ใหม่ โจ๊กก็ไม่เรียน โจ๊กอายเพื่อนด้วย ถามของเพื่อนคนไหนก็ราคาสองสามพันทั้งนั้น มีแต่ของโจ๊กคนเดียวที่ราคาเจ็ดร้อยบาท คุณครูที่สอนยังถามโจ๊กเลยว่าทำไมใช้กีตาร์แบบนี้ ตอนนี้เพื่อนๆเขาดีดเป็นเพลงกันแล้ว แต่ของโจ๊กคุณครูยังไม่ยอมให้ร่วมดีดเป็นเพลงกับเพื่อนเลย เพราะเสียงมันเพี้ยน”

เผอิญตอนที่คุยกันอยู่นั้น คุณพ่อของลูกนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นนั้นด้วย ดิฉันก็ถามคุณพ่อว่าทำไมซื้อกีตาร์แบบนี้ให้ลูก คุณพ่อตอบว่า

“ก็เห็นมันถูกดี แล้วลูกเพิ่งหัดด้วย ก็เลยคิดว่าให้ใช้ของถูกๆไปก่อน งั้นก็ไปซื้อใหม่อีกตัวก็แล้วกัน”

เมื่ออยากให้ลูกเรียนดนตรี ก็คงต้องยอมทุ่มเงินในกระเป๋า เพื่อ… เพื่ออะไรก็ไม่รู้ เพื่อให้ลูกไม่อายเพื่อน เพื่อให้ครูที่สอนยอมขึ้นเพลงให้ลูก เฮ้อ! ค่าซื้อเวลาว่างของลูกนี่ แพงจัง! ตกลงคุณพ่อต้องพาลูกโจ๊กไปเลือกซื้อกีตาร์ตัวใหม่ พอพ่อลูกกลับถึงบ้าน ดิฉันก็แอบถามคุณพ่อว่ากีตาร์ราคาเท่าไร คุณพ่อกระซิบบอกว่า “สองพันห้า” ดิฉันพูดกับคุณพ่อว่า

“อื้อหือ! แพงจัง งั้นคุณอย่าเพิ่งให้กีตาร์ลูกตอนนี้นะ ชั้นขอพูดอะไรกับลูกก่อน ก่อนที่จะให้เขาเอาไปเล่น”

คุณพ่อก็ส่งกีตาร์ให้ ดิฉันไปหยิบผ้าเช็ดมือสำหรับใช้ในห้องน้ำ-ห้องครัวผืนใหม่มาสองผืน ผ้าเช็ดมือนี้เป็นแบบมีห่วงแขวน ใช้ไหมพรมถักห่วงพลาสติกติดกับผ้าขนหนู แล้วห้อยชายผ้ายาวลงมาสำหรับใช้เช็ดมือ คุณๆแม่บ้านทั้งหลายคงรู้จักผ้าเช็ดมือแบบนี้กันดี ดิฉันเอากีตาร์วางไว้ที่หน้าตักตนเอง เรียกลูกโจ๊กมานั่งตรงหน้า ชูผ้าเช็ดมือทั้งสองผืนนั้นให้ลูกดู แล้วพูดกับลูกว่า

“โจ๊ก โจ๊ก หนูเห็นผ้าเช็ดมือสองผืนนี้มั้ย”

ลูกพยักหน้ารับ มองแม่แบบงงๆไม่พูดอะไร ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า

“ลูกรู้ใช่มั้ยว่าเป็นสินค้าของบริษัทฯเรา ที่ส่งไปขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แล้วหนูก็เคยเห็นแม่นั่งถักบ่อยๆใช่มั้ย” ลูกพยักหน้าอีก สีหน้างุนงงเช่นเดิม

“หนูรู้มั้ยว่าแม่ขายผ้าเช็ดมือแบบนี้ได้กำไรผืนละเท่าไร” ลูกส่ายศีรษะและตอบว่า

“ไม่รู้”

“งั้นแม่จะบอกให้ ผ้าเช็ดมือแบบนี้แม่ขายได้กำไรผืนละสองบาทห้าสิบ แม่ต้องขายถึงหนึ่งพันผืนนะ ถึงจะซื้อกีตาร์ให้ลูกได้หนึ่งตัว แล้วหนูรู้มั้ย ผ้าผืนหนึ่งใช้เวลาถักสิบห้านาที ชั่วโมงหนึ่งถักได้แค่สี่ผืน ถ้าต้องถักถึงหนึ่งพันผืน หนูลองไปคำนวณดูว่า แม่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะถักได้ครบ แล้วต้องขายหมดหนึ่งพันผืนเชียวนะ ถึงจะมีเงินเหลือพอเอามาซื้อกีตาร์ตัวนี้ให้ลูก”

ดิฉันหยิบกีตาร์ส่งให้ลูกแล้วพูดว่า

“เอานี่! กีตาร์ของหนู รักษาให้ดีและตั้งใจเรียนด้วยนะ หนูคงรู้แล้วนะว่าแม่กับป๊าต้องลำบากขนาดไหน จึงจะซื้อกีตาร์ราคาแพงๆขนาดนี้ให้หนูได้”

ลูกพนมมือไหว้และรับกีตาร์ไปถืออย่างทะนุถนอม ตั้งแต่นั้นมาลูกก็สามารถเล่นกีตาร์ได้เป็นเพลงที่ไพเราะพอสมควร และยังคงรักษากีตาร์ตัวนั้นมาจนถึงบัดนี้ คุณๆคงสังเกตเห็นว่า ทำไมดิฉันให้ของลูกยากจัง อย่างลูกแจ๊คกว่าจะได้รองเท้าราคาแพง ก็ต้องมีการต่อรองเรื่องการเรียน อย่างของลูกโจ๊กก็ต้องมีการบอกสอนถึงความยากลำบากของพ่อแม่ ทั้งนี้และทั้งนั้นดิฉันคิดว่า ถ้าลูกได้อะไรมาง่ายๆ เขาจะมองไม่เห็นคุณค่าของๆสิ่งนั้น และจะไม่รักษาของที่เขาได้มาโดยง่าย อีกทั้งเด็กสมัยนี้เกือบทั้งสิ้นมองไม่เห็นความเหน็ดเหนื่อยของพ่อแม่ในการทำงานหนักเพื่อลูก เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่เหมือนสมัยก่อน จำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ที่บ้านดิฉันมีอาชีพค้าขาย พ่อแม่จะให้ลูกๆช่วยทำงานในสิ่งที่พอช่วยได้ คนที่โตหน่อยก็จะทำงานหนักกว่าและมากกว่าน้องที่ยังเล็กอยู่ พวกเราจะรู้จักและมองเห็นความเหนื่อยยากของการทำงานทั้งของตนเองและพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงมองเห็นคุณค่าของสิ่งของทุกชิ้นที่ซื้อมาและใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด

แต่เรื่องนายโจ๊กกับกีตาร์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกของวัตถุนิยม ความพอใจย่อมไม่สิ้นสุด เมื่อได้อย่างหนึ่งแล้วก็ต้องมี อย่างสอง อย่างสาม ให้เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนๆ หรือเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆยิ่งดี พูดกันมาถึงตรงนี้ หลายคนคงชักสงสัยว่า ดิฉันพูดประชดประชันใครกันล่ะเนี่ย ไม่กล้าว่าใครหรอกค่ะ ประชด “กิเลสมนุษย์” นะคะ โดยเฉพาะของลูกๆ คุณๆอย่าร้อนตัวไปเลย

สองปีต่อมา ลูกโจ๊กเรียนชั้นมัธยมสาม การเรียนของลูกอยู่ในระดับพอใช้ได้ เกรดอยู่ที่ระดับประมาณสองจุดหก เล่นเพลงด้วยกีตาร์ได้คล่องแคล่วและไพเราะขึ้น จึงค่อนข้างจะซ่าพอสมควรตามประสาเด็กวัยรุ่น ที่พอมีฝีมือทางดนตรีอยู่บ้างเล็กน้อย จึงบางครั้งก็ชวนเพื่อนๆมาเล่นที่บ้าน บางทีก็ไปเล่นเป็นกลุ่มที่บ้านเพื่อน วันหนึ่งเมื่อกลับจากไปเล่นดนตรีที่บ้านเพื่อน พอเข้าบ้านลูกก็พูดกับแม่ทันที

“แม่! วันนี้โจ๊กไปบ้านเพื่อนมา พ่อเขามีกีตาร์ไฟฟ้าด้วย โจ๊กลองเล่นดูแล้ว เสียงเพราะมากจริงๆ กีตาร์ธรรมดาเสียงสู้ไม่ได้ชิดซ้ายไปเลย แม่ซื้อให้โจ๊กตัวนึงซิ” แหม! ลูกเอ๋ยลูก ช่างเอ่ยปากง่ายซะจริงๆ

“หนูก็มีกีตาร์ตัวนึงแล้วไง จะเอากีตาร์ไฟฟ้ามาทำไมอีกล่ะ หนูไม่ได้จะมีอาชีพเป็นนักดนตรีซักหน่อย ใช้กีตาร์ธรรมดาแบบนี้ก็ดีแล้วลูก”

เมื่อพูดจบแล้วดิฉันก็ไม่ใส่ใจอีก คิดว่าลูกก็คงไม่เอาจริงอะไร อีกวันสองวันก็คงลืมแล้ว แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ลูกกลับมาร้องขอถี่มากขึ้น ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ไม่ว่าแม่จะพูดจาหว่านล้อมอย่างไร ลูกก็ยังคงยืนกรานที่จะขอซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้ได้ ดิฉันปรึกษากับคุณพ่อของลูก แต่คุณพ่อปฏิเสธเด็ดขาดที่จะไม่ซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้ เพราะกลัวว่าลูกจะสนใจเล่นแต่ดนตรี ไม่ยอมเรียนหนังสือ เอาละซิ! ชักยุ่งแล้ว เมื่อลูกมาร้องขออีกครั้ง ดิฉันก็บอกลูกว่าจะขอคิดดูก่อน ขอเวลาอีกสองสามวัน อยากจะบอกไว้ตรงนี้นิดหนึ่งกับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย เวลาลูกขออะไร และคุณไม่พอใจ อย่าเพิ่งรีบให้คำตอบกับลูกว่า“ไม่” เพราะจะก่อให้เกิดความไม่พอใจขึ้นทั้งสองฝ่าย พยายามอดกลั้นแล้วใช้คำว่า“ขอคิดดูก่อนสักสองสามวัน” อารมณ์จะเย็นลง ปัญญาจะเกิด การพูดจาจะมีเหตุผลมากขึ้น มองเห็นลู่ทางแจ่มแจ้งขึ้น

สองวันต่อมาดิฉันจึงไปปรึกษาน้องชาย เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้กีตาร์ไฟฟ้าราคาไม่แพงมาก ประมาณห้าพันบาทก็ซื้อได้แล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องที่คุณพ่อของลูกกลัวว่าลูกจะเอาแต่เล่นดนตรี และไม่สนใจการเรียน น้องชายก็เตือนว่า

“เจ๊ลืมไปแล้วหรือ สมัยที่พวกเรายังเล็กๆกันอยู่ เตี่ยเราก็ซื้อเครื่องดนตรีตั้งหลายอย่างให้พวกเราเล่นกัน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แถมยังเล่นดนตรีกันได้ทั้งบ้าน สมัยเด็กๆพวกเราสนุกกันจะตายไป ทั้งร้องเพลงทั้งเล่นดนตรี”

จริงซินะ! ดิฉันก็ลืมไป เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น จำได้ว่าคุณพ่อดิฉันส่งเสริมลูกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรีหรือกีฬา ทั้งๆที่พ่อมีลูกถึงเจ็ดคน แต่ไม่ว่าลูกจะเอ่ยปากขอให้ซื้ออะไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องกีฬาและดนตรีแล้ว พ่อไม่เคยปฏิเสธ ดังนั้นในบ้านจึงมีเครื่องดนตรีหลายชนิด ทั้งเมโลเดียน แอคโครเดียน กีตาร์ และอีเลคโทน ส่วนอุปกรณ์กีฬาก็มีทั้ง ลูกบาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบตมินตัน ห่วงยางฯลฯ ดังนั้นเกือบทุกเย็นหรือทุกวันหยุด พวกเราพี่ๆน้องๆจึงร่วมกันเล่นดนตรี หรือเล่นกีฬากัน ดิฉันเล่นดนตรีไม่เป็นสักอย่าง เพียงแต่รู้ตัวโน้ตบ้างเล็กน้อย และร่วมร้องเพลงเสียงหลงให้คนอื่นป่วนกันบ้างเท่านั้น สิ่งที่ดิฉันชอบคือการเล่นกีฬา ได้เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียนอยู่หลายปี อันที่จริงน่าขอบคุณที่สมัยนั้นยังไม่มีทีวีและเกม มาแย่งเวลาของเด็กๆไปเหมือนสมัยนี้ แถมคุณพ่อดิฉันยังชอบฟังเพลงมาก แต่ต้องเป็นเพลงจีนนะ เพราะพ่อเคยเป็นครูที่ประเทศจีนมาก่อนในสมัยที่ยังหนุ่มๆอยู่ ดังนั้นในบ้านจึงมีแต่เสียงเพลงทั้งวัน

“เรื่องเล่นดนตรีแล้วไม่ยอมเรียนหนังสือนะ มันก็ไม่แน่เสมอไป เจ๊ก็รู้ๆอยู่ เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่เราจัดการ”

น้องชายสำทับมาอีก ดิฉันจึงตกลงใจที่จะซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้ลูกโจ๊ก แต่ต้องเรียกลูกมาคุยให้รู้เรื่องกันก่อน

“โจ๊ก โจ๊ก แม่จะซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้หนูก็ได้ แต่มีข้อแม้สองข้อคือ

หนึ่ง หนูต้องเรียนให้ได้เกรดสามขึ้นไปทุกเทอม

สอง ปิดเทอมใหญ่นี้ หนูจะมีอายุสิบห้าปีพอดี หนูต้องบวชเณรภาคฤดูร้อนหนึ่งเดือน

ถ้าหนูทำสองข้อนี้ได้ แม่จะซื้อกีตาร์ไฟฟ้าให้หนู ตกลงมั้ย”

ลูกโจ๊กได้ฟัง ก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่จะเอาตั้งเกรดสาม โจ๊กกลัวว่าจะไม่ได้ ซักสองจุดแปดไม่ได้เหรอแม่”

“ก็ได้ แต่ถ้าเทอมไหนต่ำกว่าสองจุดแปด แม่จะเอากีตาร์คืนนะ เพราะน้าห้อยเขาจ้องจะขอซื้อต่ออยู่ด้วย แม่จะขายเขาไปราคาถูกๆเลย แล้วหนูต้องบวชเณรด้วยนะอย่าลืม”

“แม่เอาเรื่องเรียนเรื่องเดียวไม่ได้เหรอ เรื่องบวชเณรตั้งเดือนนึง โจ๊กไม่อยากบวชเลย”

“ไม่ได้ ต้องตกลงทั้งสองข้อ ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ซื้อ แล้วอย่ามาร้องขออีกนะ แม่ขี้เกียจฟัง”

“งั้นโจ๊กขอคิดดูก่อนสามวัน แล้วจะให้คำตอบกับแม่ว่าโจ๊กจะเอายังไง”

สามวันผ่านไป ลูกโจ๊กมาต่อรองว่า

“แม่ให้โจ๊กบวชแค่เจ็ดวันไม่ได้หรือ โจ๊กอยากเล่นสงกรานต์ ถ้าบวชเดือนนึง โจ๊กก็จะไม่ได้เล่นสงกรานต์เพราะต้องบวชเดือนเมษายนด้วย”

“ไม่ได้! ถ้าบวชแค่เจ็ดวันก็ไม่ต้องบวช เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินทองที่ใช้ในการบวช แถมยังไม่รู้เรื่องราวอะไรอีกด้วย ไปคิดใหม่ก็แล้วกัน สงกรานต์ไม่ได้มีแค่ปีเดียว ต้องมีทุกปีอยู่แล้ว ปีนี้ไม่ได้เล่น ปีหน้าก็เล่นได้”

“สมมติแม่ซื้อกีตาร์ให้โจ๊กแล้ว ถึงเวลานั้นโจ๊กไม่บวชเณร แม่จะทำยังไงกับโจ๊ก”

“อ้อ! แล้วหนูไม่กลัวตกนรกเรอะ พูดว่าจะบวช รับปากแม่แล้วไม่ทำตามคำพูดนะ ถ้าหนูไม่บวชเณรก็เอากีตาร์คืนนะแหละ จะมีอะไร”

ลูกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆ แล้วพูดมาเสียงอ่อยๆว่า

“ตกลงโจ๊กบวชก็ได้ แล้วแม่จะซื้อให้โจ๊กเมื่อไหร่” ตอนนี้ตาชักเป็นประกาย

“แม่ซื้อเร็วๆเลยนะ โจ๊กอยากเล่นมากๆ แล้ว”

ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ลูกตกลงในเงื่อนไขของแม่แล้ว ดิฉันก็ขอร้องให้น้องชายไปช่วยเลือกซื้อให้ ได้กีตาร์ไฟฟ้ามาในราคาสี่พันห้าร้อยบาท ลูกโจ๊กพอใจกีตาร์ไฟฟ้าตัวงามนี้อย่างมาก เล่นทุกเย็นหลังกลับจากโรงเรียน จนดิฉันต้องเตือนลูกว่า

“โจ๊ก โจ๊ก อย่าเอาแต่เล่นกีตาร์อย่างเดียวนะลูก ป๊ายิ่งไม่อยากให้แม่ซื้อให้หนูเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ยอมเรียนหนังสือ ตอนที่ป๊ารู้ว่าแม่ตกลงซื้อให้หนู ป๊าบ่นแม่ใหญ่เลย แถมยังบอกว่าลูกจะต้องเรียนแย่ลงแน่ๆ”

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก โจ๊กจะต้องเรียนได้เกรดดีขึ้นตามที่ตกลงไว้แน่นอน”

หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่เตือนอะไรลูกอีก คงปล่อยให้ลูกคิดของเขาเอง ปรากฏว่าเมื่อผลสอบออกมาลูกได้เกรดสองจุดแปดสาม ดิฉันชมลูกว่าเป็นเด็กดีรักษาคำพูด และรักษาหน้าแม่ไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นแม่ต้องโดนป๊าบ่นจนหน้าแตกเย็บไม่ติดแน่ๆ ขอให้ลูกทำดีอย่างนี้ทุกๆเทอม แม่ก็จะดีใจมาก ลูกไม่พูดว่ากระไร ดิฉันก็ไม่เซ้าซี้ลูกเรื่องการบวชเณร เพราะยังอีกหลายเดือนกว่าจะถึงเวลานั้น

ในช่วงนั้นดิฉันเริ่มหันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทั้งด้านการอ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะจากวิทยุหรือจากเทปคาสเซท เรียนพระธรรม รวมทั้งการปฏิบัติธรรมด้วย มีอยู่วันหนึ่งลูกโจ๊กถามดิฉันว่า

“แม่ไปทำอะไรมา ทำไมแม่ดูเปลี่ยนไป”

“แม่เปลี่ยนยังไง”

“โจ๊กว่าแม่ดูอารมณ์เย็นลง ไม่หงุดหงิดง่ายเหมือนก่อนๆนี้”

“อ้อ! อาจเป็นเพราะแม่ไปเรียนธรรมะ และศึกษาอย่างจริงจังละมั่ง”

“แม่ไปเรียนที่ไหนเหรอ เรียนวันไหน แล้วใครเป็นคนสอน โจ๊กไปนั่งฟังบ้างได้หรือเปล่า”

“แม่เรียนที่….” ดิฉันเอ่ยชื่อสถานปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แถวๆถนนรามอินทรา

“มีพระมาสอน เรียนทุกวันพฤหัสฯ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง พักสองชั่วโมงเพื่อให้พระอาจารย์ท่านฉันเพล แล้วบ่ายโมงท่านก็สอนต่อจนถึงบ่ายสามหรือสี่โมง ช่วงเช้าก็เป็นธรรมะทั่วๆไป เป็นเรื่องสนุกๆ ส่วนช่วงบ่ายก็เรียนพระอภิธรรม หนูอยากไปฟังดูก็ได้ พฤหัสฯนี้แม่มีเรียน หนูไปลาครูก่อนสักครึ่งวันก็ได้”

พอถึงวันพฤหัสฯ ดิฉันก็พาลูกไปกราบพระอาจารย์ที่มาสอน และกราบเรียนท่านว่า ลูกอยากมาฟังธรรมะ พระท่านก็อนุโมทนา วันนั้นพระอาจารย์สอนพระธรรมแบบผู้ใหญ่ฟังได้ เด็กก็ฟังสนุก ลูกโจ๊กยกมือซักถามท่านอยู่สองสามครั้ง ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าลูกถามเรื่องอะไรบ้าง เพราะในตอนนั้นดิฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจพระธรรมคำสอนในศาสนาพุทธสักเท่าใดนัก เมื่อถึงเวลาพัก ดิฉันพาลูกไปกินข้าวกับเพื่อนๆที่มาเรียนพระธรรมด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งก็พากันชื่นชมลูกโจ๊กมาก คงเป็นเพราะไม่ค่อยมีเด็กวัยรุ่นจะสนใจใคร่รู้ในพระธรรมกันสักกี่คน เมื่อกินข้าวแล้วลูกโจ๊กก็พูดว่า

“แม่ไปส่งโจ๊กที่บ้านหน่อย โจ๊กจะไปโรงเรียน เพราะโจ๊กลาครูมาแค่ครึ่งวัน ตอนนี้โจ๊กเข้าใจแล้วว่าแม่ทำไมเปลี่ยนไป โจ๊กว่าแม่มาถูกทางแล้ว”

สองวันต่อมา ลูกโจ๊กมาพูดกับดิฉันว่า

“แม่ ปิดเทอมใหญ่นี้โจ๊กจะบวชเณร โจ๊กอยากศึกษาดูว่า ศาสนาพุทธของเรามีดีอย่างไรบ้าง”

ตกลงลูกโจ๊กไม่ได้บวชเณรเพราะแม่ติดสินบนด้วยกีตาร์ไฟฟ้าราคาแพง แต่ลูกบวชด้วยความตั้งใจและเต็มใจของลูกเอง ส่วนสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ลูกตัดสินใจบวชคือ “แม่เปลี่ยนไป”

วันที่ลูกบวชเณรเป็นวันเดียวกับวันคล้ายวันเกิดของลูก และลูกมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ อานิสงส์ของการบวชเณรหนึ่งเดือนเต็ม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ อารมณ์และปัญญาทั้งในทางโลกและทางธรรมแก่ลูกมากมาย ผลสอบภาคปลายในชั้นมัธยมสามของลูกคือสองจุดเก้าสี่ ตั้งแต่นั้นมาลูกเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจบมัธยมหกด้วยเกรดสามกว่าแล้ว ลูกสอบแข่งขันเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐฯได้ และเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ลูกชอบ ลูกยังคงสนใจดนตรีและอ่านหนังสือธรรมะที่แม่สะสมไว้มาจนถึงปัจจุบันนี้

เรื่องนี้คงต้องจบแบบขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่ตอนจบกลายเป็นดอกบัว