คุยกันท้ายเล่ม
การเขียน“แม่ช่างคุย” เล่มสอง ค่อนข้างใช้เวลานาน ทั้งๆที่เป็นเรื่องราวที่เกิดทีหลังเหตุการณ์ในเล่มหนึ่งแท้ๆ แต่เนื้อหาสาระค่อนไปทางธรรมค่อนข้างมาก ดิฉันต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะใช้ สัญญา (ความจำ) ให้เขียนออกมาอย่างกระจ่างชัด อันที่จริงทุกเรื่องที่แม่แจ๋วเล่าให้ฟัง ก็เป็นสัจจะความจริงที่เคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตครอบครัวของตนเองทั้งสิ้น และดิฉันไม่สามารถที่จะเขียนหรือพูดอะไรที่เกินจริงได้เลย เพราะจิตใจจะหวิวไหวเหมือนเป็นการเตือนว่า ทบทวน “สัญญา” ของตนให้ดี ก่อนจะเขียนอะไรลงไป สิ่งนั้น “จริง” หรือ “เท็จ”
หลายคนเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆที่แม่แจ๋วเล่าให้ฟังแล้ว โดยเฉพาะคำพูดของลูกที่สะกิดเตือนแม่นั้น ท่านเหล่านั้นต่างพูดคล้ายๆกันว่า น่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลจิตใจให้ลูกของคุณพูดแบบนั้น ในตอนนั้นดิฉันเองก็คิดแบบท่านทั้งหลายนั้น แต่หลังจากที่ศึกษาพระธรรมมากขึ้นและปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละ จึงได้รู้ว่า“ทุกสิ่งมาแต่เหตุ” หากดิฉันเป็นแม่ที่ทำแต่งานอาชีพเพื่อหาเงิน เลี้ยงลูกด้วย“เงิน” และไม่ศึกษาธรรม ไม่ฟังธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม ดิฉันก็จะกลายเป็นแม่อีกแบบที่อารมณ์ร้าย โกรธง่าย วาจาก้าวร้าว พูดมากแต่เรื่องที่ไร้สาระ ว่าบ่นลูกอย่างไม่มีเหตุผล คุณว่าลูกๆของดิฉันในบัดนี้จะเป็นอย่างไร จะมีคำพูดดีๆมาสะกิดเตือนแม่เช่นนี้หรือ
ในทางตรงกันข้าม คุณๆที่ได้อ่านเรื่อง“แม่ช่างคุย”มาตั้งแต่ต้น จะเห็นว่าสิ่งที่เจนตาเจนใจลูกของแม่แจ๋ว คือแม่อ่านและฟังธรรมะ การทำเช่นนี้แรมเดือนแรมปีย่อมทำให้ลูกได้มีส่วนรับพระธรรมบ้างไม่มากก็น้อย อีกทั้งการให้ความใกล้ชิด พูดคุย พากเพียรอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ มีเงินให้ใช้แต่พอควร ให้เป็นผู้ที่หนักเอาเบาสู้ และรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเป็นเด็กที่ “คิดเป็น”
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกๆของแม่แจ๋วจะดีวิเศษกว่าใครอื่น ลูกๆยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีกิเลสต่างๆอยู่อย่างครบครัน เพียงแต่ว่าเราต่างกำลังช่วยกันตักเตือนและขัดเกลาซึ่งกันและกันเท่านั้น เวลายังอีกยาวไกลนัก ทุกสิ่งล้วน“อนิจจัง” อย่างที่ดิฉันเคยบอกไว้ ความหวังของแม่ก็เพียงให้ลูกไม่เป็นภาระของสังคม รู้จักที่จะเป็น “ผู้ให้” มากกว่าการเป็น “ผู้รับ” แม่แจ๋วก็พอใจแล้ว
Leave a Reply