9. “ทำไม ทำไม ทำไม”

ใครๆเห็นชื่อเรื่อง คงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของเด็กขี้สงสัย ที่ชอบใช้คำถาม “ทำไมอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมไม่สวย ทำไม ทำไม ฯลฯ” ถ้าคุณคิดอย่างนั้นจะถูกเพียงนิดเดียว อ้าว! สงสัยหรือว่า“ทำไม” ก็อ่านต่อไป

เมื่อลูกเริ่มเข้าโรงเรียน นอกจากเรื่องการบ้านที่คุณจะต้องคอยดูแลลูกๆแล้ว อีกเรื่องที่คุณจะต้องรับฟังจากลูกคือ ลูกโดนเพื่อนแกล้ง หรือได้ฟังจากคุณครูคือ ลูกไปแกล้งเพื่อน ทั้งสองกรณีต้องเกิดบ่อยๆจนเป็นที่เอือมระอาของลูก และคุณครูก็เบื่อหน่ายที่จะจัดการให้แล้ว เรื่องจึงจะมาถึงคุณให้ต้องเป็นผู้ตัดสินใจที่จะจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับลูกของคุณ หลายคนอาจคิดว่า เรื่องแบบนี้เกิดกับเด็กส่วนมาก เป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใหญ่ไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถ้าลูกคุณเป็นฝ่ายไปแกล้งเพื่อน แล้วคุณครูมาบอกคุณให้ช่วยจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง แสดงว่าลูกคุณเป็น“ฝ่ายรุก” คุณจะทำอย่างไรกับเรื่องแบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่คุณต้องคิดเอง ไม่มีคำตอบจากดิฉันแน่นอน เพราะลูกดิฉันเป็น“ฝ่ายรับ”ตลอด ตั้งแต่ลูกคนโตเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นอนุบาล จนถึงลูกคนเล็กสุด ไม่เคยถูกฟ้องว่าลูกไปแกล้งเพื่อนสักที มีแต่ลูกมาบอกว่าโดนเพื่อนแกล้ง แต่เรื่องโดนเพื่อนแกล้งหรือลูกไปแกล้งเพื่อนของเด็กๆ ก็จะเกิดขึ้นแค่ระดับชั้นอนุบาลหรือไม่เกินชั้นประถมเท่านั้น ถ้าลูกเรียนสูงกว่านั้น เรื่องก็จะเปลี่ยนไปแล้ว

อันที่จริงการแกล้งกัน ทะเลาะกันของเด็กเล็ก ก็ไม่ได้มีเรื่องรุนแรงน่ากลัวแต่อย่างใด มักเป็นเรื่องน่ารำคาญใจมากกว่า แต่เมื่อลูกย่างเข้าวัยรุ่น การมีเรื่องของนักเรียนด้วยกัน ทั้งที่โรงเรียนเดียวกัน หรือต่างโรงเรียนกลับเปลี่ยนแปลงในเชิงรุนแรงมากขึ้น หลายๆครั้งก็ถึงแก่ชีวิต คุณคิดว่าความรุนแรงนี้มีต้นรากมาจากการที่เราละเลยการแกล้งกันในวัยเด็กเล็กหรือเปล่า ดิฉันเองก็ไม่ทราบ แต่ความเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น ลูกๆดิฉันจึงถูกสอนให้เป็นฝ่ายรับตลอดมา คือจะต้องไม่ไปทำใครก่อน ห้ามมีเรื่องกับใคร ถ้าใครไปแกล้งเพื่อนแล้วคุณครูมาฟ้องแม่ ลูกจะโดนตีหนักกว่าที่คุณครูตี ดังนั้นเมื่อลูกโดนเพื่อนแกล้ง ดิฉันจึงต้องเป็นผู้รับฟังเรื่องจากลูก และต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

เมื่อลูกแจ๊คลูกชายคนโต เริ่มเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสาม ตอนนั้นอายุห้าขวบ เนื่องจากลูกกินเก่ง ตัวจึงโตสูงเป็นอันดับสองของห้อง ตามกฎระเบียบของโรงเรียนแล้วเด็กอนุบาลต้องนอนกลางวันทุกคน โรงเรียนเปิดเทอมได้ประมาณสามสัปดาห์ลูกมาบอกว่า กลางวันนอนไม่หลับเลย เพราะโดนเพื่อนแกล้งเอามือมาตีบ้าง เอาขามาเตะบ้างทุกวัน ดิฉันก็ถามลูกว่า

“แล้วหนูไปนอนใกล้เขาทำไม แยกออกไปนอนห่างๆเขาซิ”

“ตอนแรกแจ๊คก็แยกมานอนคนเดียวอยู่แล้ว แต่คุณครูย้ายเขามานอนใกล้แจ๊ค แล้วเขาก็เอาขามาเตะแจ๊คเรื่อยเลย แจ๊คบอกว่าอย่าทำเขาก็ไม่ฟัง”

“เพื่อนหนูเขาตัวโตกว่าหนูเรอะ”

“เขาตัวเล็กกว่าแจ๊ค แต่เขาชอบแกล้งคน เลยไม่มีใครอยากนอนใกล้เขา คุณครูเลยจับเขามานอนข้างๆแจ๊ค เขาเลยมาแกล้งแจ๊ค”

ดิฉันคิดว่าคุณครูคงเห็นว่าลูกแจ๊คตัวโต คงคิดว่านายคนชอบแกล้งเพื่อนคงไม่กล้าแกล้งคนตัวโตกว่า เลยจับมานอนข้างๆลูก แต่กลับกลายเป็นว่ามาเจอะคนไม่สู้คนอย่างลูกแจ๊ค ก็กลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับลูก ดิฉันจึงถามลูกว่า

“แล้วหนูไม่บอกให้คุณครูรู้เรอะ”

“แจ๊คบอกทุกวันเลย คุณครูก็เฉยๆ แม่ไปบอกคุณครูให้หน่อยซิ ให้ย้ายแจ๊คไปนอนที่อื่นก็ได้ พอแจ๊คจะหลับ เขาก็เอาขามาถีบ แจ๊คเลยไม่ได้นอน”

“หนูก็ขยับหนีเขาซิ” ดิฉันแนะนำลูกไป

“แจ๊คก็หนีไปนอนห่างๆแล้ว เขาก็ตามมาอีก”

“งั้นหนูก็ขอคุณครูย้ายที่นอน”

“แจ๊คบอกครูแล้ว ครูบอกว่าย้ายไม่ได้ ถ้าแม่ไปบอก คุณครูต้องยอมย้ายที่นอนให้แจ๊คแน่ แจ๊คจะได้นอนหลับซะที”

เอ! ชักไม่เข้าที ถ้าเป็นอย่างที่ลูกเล่าให้ฟังก็แสดงว่า ลูกได้พยายามทุกอย่างแล้ว จนทนไม่ไหวจริงๆ จึงต้องมาบอกให้แม่ช่วยจัดการให้ ในช่วงเวลานั้นดิฉันเป็นนักธุรกิจเต็มตัว วิสัยของดิฉันคือ เมื่อเจอกับเหตุการณ์ใดก็ตาม ไม่หวั่นไหว แรงมาก็แรงไป ตาต่อตาฟันต่อฟัน จึงบอกกับลูกไปว่า

“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ถ้าเพื่อนคนนั้นมานอนข้างๆหนูอีก ถ้าเขาตีหนู หนูก็ตีเขากลับ ถ้าเขาถีบหนู หนูก็ถีบเขากลับ เอาให้แรงๆเลยนะ เอาให้เขาเข็ดจนไม่กล้ามาทำหนูอีก แต่ถ้าเขาไม่ทำหนูก่อนก็ห้ามไปทำเขาก่อนนะ ให้ต่างคนต่างนอน”

“แม่ แล้วถ้าแจ๊คทำเขาแล้วเขาร้องไห้ไปฟ้องครูล่ะ ครูก็จะมาตีแจ๊ค” ลูกชักลังเล

“งั้นหนูก็ปล่อยให้เพื่อนแกล้งต่อไป แล้วอย่ามาบอกแม่นะ ถ้าหนูมาบอกแม่ว่าเพื่อนแกล้งแล้วหนูไม่กล้าทำเขาคืน แม่จะตีแจ๊ค แล้วคอยดูซิว่า แม่กับครูใครจะตีเจ็บกว่ากัน”

ดิฉันพูดกับลูกไปแบบชักฉุนหน่อยๆ ที่เห็นว่าลูกก็ตัวโต กว่าเพื่อน แต่ก็กลัวนั่นกลัวนี่ไม่เข้าเรื่อง ลูกก็นิ่งไปไม่พูดอะไรอีก เย็นวันรุ่งขึ้นเมื่อดิฉันไปรับลูกที่โรงเรียน ลูกแจ๊คยิ้มแป้นพูดกับแม่ว่า

“แม่ วันนี้เพื่อนคนนั้นเขามาแกล้งแจ๊คอีก แจ๊คก็บอกเขาว่าอย่าทำนะ ถ้าทำอีกจะโดนเตะ”

“แล้วเขาว่ายังไงล่ะ” แม่ใจร้อนรีบถามด้วยความอยากรู้ แทนที่จะรอให้ลูกเล่าให้ฟังจนจบ ลูกแจ๊คก็พูดต่อไปว่า

“เขาไม่เชื่อ เขาเอาขามาเตะแจ๊ค แจ๊คเลยถีบมันไปอย่างแรงหนึ่งที มันร้องไห้ย้ายไปนอนที่อื่น วันนี้แจ๊คเลยหลับสบาย”

“อ้าว! แล้วคุณครูไม่ว่าหนูเรอะลูก ที่ไปทำเพื่อนร้องไห้นะ”

“ตอนนั้นคุณครูไม่อยู่ในห้อง คุณครูนึกว่านักเรียนหลับกันหมดแล้ว ครูเลยออกไปนอกห้อง”

ผ่านไปหลายวัน ไม่เห็นลูกพูดเรื่องเพื่อนมาแกล้งในเวลานอนอีก ดิฉันจึงถามลูกถึงเรื่องการนอนกลางวันว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ ลูกเล่าให้ฟังว่าหลังจากวันนั้นแล้ว เพื่อนคนนั้นก็ไม่มานอนใกล้ลูกอีกเลย ลูกก็หลับสบายดีทุกวัน

ตั้งแต่นั้นมาลูกแจ๊คก็ไม่เคยมีเรื่องราวมาฟ้องอะไรแม่อีกเลย ตอนนั้นดิฉันคิดว่าการสอนให้ลูกทำอย่างนี้คือถูกต้องแล้ว คือเราไม่ทำใครก่อน แต่ใครก็อย่ามาทำเรา ถ้ามาทำเราก่อน เราก็ต้องตอบโต้ไปอย่านิ่งเฉย อันที่จริงเรื่องการตอบโต้เมื่อเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อนนั้น เป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจดิฉันมาตั้งแต่เด็กแล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นดิฉันอายุย่างเข้าวัยรุ่นแล้ว พ่อมีหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน แต่ก็โดนโกงจนแทบหมดเนื้อหมดตัว แถมฝ่ายคนโกงยังจ้างพวกนักเลงมาค่อยดักเล่นงานพ่อ เพื่อให้พ่อกลัวจะได้ย้ายหนีไป พวกเราพี่น้องโกรธแค้นคนที่โกงพ่อมาก และคิดจะเล่นงานเขาคืนบ้าง แต่พ่อสั่งห้ามเด็ดขาด พ่อบอกว่า

“ห้ามทุกคนตอบโต้เขาเด็ดขาด ให้หยุดเรื่องทั้งหมด เรื่องแล้วก็แล้วไป เรายังมีแรงทำใหม่ได้ ค่อยๆทำไปเดี๋ยวก็มีขึ้นมาใหม่”

“แต่มันโกงเรานะ” ลูกๆพูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่พ่อกลับพูดว่า

ให้เขาโกงเรา ดีกว่าเราไปโกงเขา พ่อจะพูดอย่างนี้เสมอ เมื่อลูกๆพูดกันถึงเรื่องคนโกงนั้น บางครั้งดิฉันเคยพูดกับพ่อว่า

“ขอเปลี่ยนเป็น เราไม่โกงใคร แต่ก็อย่าให้ใครมาโกงเรา ถ้าใครโกงเรา เราก็จะเอาคืนมั่งได้มั้ย”

พ่อก็จะบอกทุกครั้งว่า

“ถ้าทำแบบนั้นเรื่องก็ไม่สิ้นสุด เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทุกตารางนิ้วมีพระอยู่ทั้งนั้น คนทำไม่ดีก็จะอยู่ไม่ได้เอง เราไม่ต้องไปทำอะไรหรอก”

ตอนนั้นดิฉันไม่รู้หรอกว่า คำพูดของพ่อคือคำสอนเรื่องของการให้อภัย เรื่องของ กรรมและวิบากกรรมจากประสบการณ์จริง เพราะหลายปีต่อมา เพื่อนคนที่โกงพ่อก็มีอันเป็นไปวิบัติทั้งครอบครัว แต่ตอนนั้นดิฉันคิดอยู่ตลอดว่าเราจะไม่เป็นอย่างพ่อ คือเราจะไม่ทำใครก่อน แต่ก็จะไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว ถ้าใครทำเราๆก็จะตอบโต้ทุกครั้ง ดังนั้นเรื่องของลูกชายคนโตที่โดนเพื่อนแกล้ง จึงเป็นดังที่ท่านได้อ่านไปแล้วข้างต้น

เวลาผ่านไปสิบกว่าปี เจ้าตัวเล็กลูกจ๊อบอายุได้เจ็ดขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง มีเรื่องโดนเพื่อนแกล้งมาฟ้องแม่เหมือนกัน ครั้งแรกๆแม่ฟังแล้วก็เฉยๆ แต่หลายครั้งเข้าชักผิดสังเกต พอลูกมาบอกอีกก็ถามลูกว่า

“เพื่อนเขาทำอะไรหนูล่ะ”

“เขาอยู่ๆก็มาตีเรา”

“เธอไปทำอะไรเขา หรือไปว่าอะไรเขาหรือเปล่า เขาถึงมาตีเธอ”

“เปล่า! ไม่ได้ทำอะไรเลย เราเดินอยู่ดีๆก็เอาขามาเตะเรา หรือบางทียืนเข้าแถว เขาก็มาทุบหลังเรา”

“แล้วเธอบอกคุณครูหรือเปล่า” เป็นคำถามที่แม่ทุกคนต้องใช้ ถ้าได้ยินเรื่องทำนองนี้

“บอกตั้งหลายทีแล้ว คุณครูก็เฉยๆไม่เห็นว่าอะไรเขา”

“แล้วเขาทำเพื่อนคนอื่นหรือเปล่า หรือทำเธอคนเดียว”

“เขาก็ทำเพื่อนคนอื่นด้วย แต่คนอื่นก็ด่าเขา หรือบางทีก็ไล่ตีเขา”

“อ้าว! แล้วเธอไม่ว่าเขาบ้างล่ะ”

“เราก็ว่าเขาแล้วว่าอย่าทำ เขาก็ไม่เชื่อ”

“แล้วเธอเคยตีเขาคืนหรือเปล่า”

“ไม่เคย เราไม่กล้าตีเขาเรากลัวว่าเขาจะตีเราคืน แล้วเราก็จะเจ็บมากขึ้นอีก บางทีพวกเพื่อนเขาก็เอาไม้บรรทัดไล่ตีกัน เราไม่ชอบเล่นแบบนั้น”

เอาละซิ! เจ้าตัวเล็ก เป็น”ฝ่ายรับ”อีกเช่นเคย เอ! เอายังไงดี จะบอกลูกให้ทำอย่างพี่แจ๊คคือตอบโต้คืน ก็พูดไม่ออก อาจเป็นเพราะดิฉันเริ่มอายุมากขึ้น หยุดทำธุรกิจมานาน เป็นแม่บ้านดูแลครอบครัว เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมบ่อยเข้า คำสอนของพ่อดิฉันเมื่อสมัยก่อนก็เริ่มเข้าถึงจิตใจ และรู้ว่าการตีคืน ก็คือการตอบโต้ ซึ่งมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะจากที่ลูกเล่าให้ฟัง บางทีก็โดนต่อยท้อง จึงถามลูกว่า

“แล้วเธอเคยถามเพื่อนมั้ยว่า มาตีเธอทำไม”

ลูกก็ทำหน้างงๆ ตอบมาว่า

“ไม่เคยถาม ถามเขาทำไมล่ะแม่”

นั่นซิ! ถามทำไม คุณๆก็คงสงสัยเหมือนลูกดิฉัน

“คนเราทำอะไรต้องมีเหตุผล ถ้าเขามาตีเธอบ่อยๆ เขาก็ต้องมีเหตุผลเหมือนกัน พรุ่งนี้ถ้าเขามาตีเธออีก เธอก็ลองถามเขาว่าตีเธอทำไม แล้วถ้าเขาบอกว่า เพราะอะไรถึงตีเธอ เราก็จะได้รู้วิธีแก้ไขไง”

ลูกพยักหน้ารับว่าเข้าใจ เย็นวันรุ่งขึ้นเมื่อดิฉันไปรับตอนเลิกเรียน ลูกจ๊อบเล่าให้ฟังว่า

“แม่ วันนี้เพื่อนเราก็มาตีเราอีก เราก็ถามเขาว่ามาตีเราทำไม ทีแรกเขาก็ไม่ยอมตอบ เราก็ถามหลายๆครั้ง และบอกเขาว่าต้องตอบมาก่อนว่าทำไมถึงมาตีเรา เพื่อนเขาเลยบอกว่า“ก็อยากตี” ถ้าเขาพูดอย่างนี้ เราควรพูดอะไรดี” ลูกถามเพราะไม่ทราบว่าจะตอบเพื่อนไปว่าอย่างไร ดิฉันจึงพูดกับลูกว่า

“หนูก็ถามเขาอีกซิลูก ก็ทำไมถึงอยากตีล่ะ ถ้าเขาพูดอะไร หนูก็ถามแต่ทำไม ทำไม ทำไมเรื่อยๆ ถ้าเขาจะต้องคอยตอบคำถามหนู เขาอาจจะเบื่อแล้วไม่อยากมายุ่งกับหนูอีกก็ได้นะ”

ลูกจ๊อบก็พยักหน้ารับว่าเข้าใจแล้ว มีสีหน้าที่มั่นหมายบางอย่างและสดชื่นขึ้น

เย็นวันรุ่งขึ้น พอขึ้นนั่งบนรถได้ ลูกก็เล่าให้ฟังพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะไปด้วย

“แม่! วิธีของแม่ดีจริงๆ วันนี้พอเพื่อนเราเขามาตีเราอีก เราก็ถามว่ามาตีเราทำไม พอเขาบอกว่า ก็อยากตี เราก็ถามอีกว่า ก็ทำไมถึงอยากตี เขาก็บอกอีกว่าอยากตี เราก็ถามอีกว่าทำไมถึงอยากล่ะต้องตอบมาก่อน เราถามทำไม ทำไม อยู่สองสามครั้ง เพื่อนเขาก็บอกว่า ไม่ตีก็ได้ไม่อยากตอบแล้ว รำคาญไปตีคนอื่นดีกว่าไม่ต้องพูดมาก แล้วเขาก็วิ่งไปตีเพื่อนคนอื่น เป็นเพื่อนผู้หญิง เพื่อนคนนั้นก็วิ่งเอาไม้บรรทัดไปตีกับเขา วันนี้เขาเลยไม่มาตีเราอีก”

“ดีแล้วลูก คราวหน้าหนูเจอเพื่อนคนไหนแกล้ง ก็ใช้วิธีนี้อีกนะ ถามทำไม ทำไม ทำไม ให้เขารำคาญไปเลย จะได้ไม่มายุ่งกับหนูอีก ดีมั้ย”

ลูกจ๊อบยิ้มแป้นพยักหน้ารับคำ ตั้งแต่นั้นมาลูกไม่เคยมาฟ้องแม่อีกเลยว่าโดนเพื่อนแกล้ง เพื่อนๆนักแกล้งคงโดนคำถามทีเด็ดไปคนละหลายครั้ง จนไม่อยากมายุ่งกับนายจ๊อบอีก เหตุการณ์ก็ราบรื่นมาจนลูกจ๊อบอายุสิบขวบ

ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ พอดีลูกของคุณอาที่มีอายุสิบสามปี จะบวชเณรภาคฤดูร้อน ดิฉันเลยเอาลูกจ๊อบไปร่วมขอบวชเณรด้วย ความจริงอายุลูกยังไม่ถึงเกณฑ์ เพราะที่วัดนั้นจะรับเด็กตั้งแต่อายุ 12 – 15 ปี เด็กอายุน้อยเกินไป อาจก่อความยุ่งยาก ทางวัดไม่อยากรับภาระ ดิฉันไปขอร้องพระคุณเจ้าว่าลูกช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะเคยส่งไปอยู่ไกลพ่อแม่ทุกๆปิดเทอมอยู่แล้ว และยังมีพี่ชายคือลูกคุณอาคอยดูแลอยู่ด้วย พระคุณเจ้าท่านก็ให้โอกาสบอกมาว่า ถ้าท่องบทสวดมนต์ตามที่วัดกำหนดให้ได้ก็บวชได้ เรื่องนี้ไม่ยากเพราะปกติลูกสวดมนต์กับดิฉันเป็นประจำอยู่แล้ว ค่อนข้างคุ้นเคยกับภาษาบาลี ซึ่งเมื่อถูกทดสอบจึงผ่านอย่างสบาย ได้บวชเป็นเณรสมใจ (แม่)

เนื่องจากลูกอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แถมยังหน้าขาวๆตาตี่ๆ ใส่แว่นสายตาสั้น จึงโดนเพื่อนเณรที่ตัวโตกว่า แกล้ง “อีกแล้ว” มีครั้งหนึ่งเมื่อลูกบวชได้เพียงสัปดาห์เดียว ดิฉันไปถวายทานอาหารเพลที่วัด ผู้คนค่อนข้างมาก เพราะญาติโยมของลูกเณรทั้งหลายมากันเต็มไปหมด หลังจากลูกเณรจ๊อบฉันอาหารและล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินจะมาคุยกับโยมแม่ คุณย่าและพี่ๆ ลูกเณรคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่กว่าลูกเณรจ๊อบ วิ่งมาจากทางไหนไม่ทราบ เอากำปั้นตุ๊ยไปที่ท้องของลูกเณรจ๊อบ แล้ววิ่งหายไปในกลุ่มคน ต่อหน้าต่อตาดิฉันและคนอื่นๆในครอบครัว ลูกร้อง ”โอ๊ย” ก้มลงกุมท้อง ร้องไห้และอาเจียนออกมาทันที ลูกแจ๊คพี่ชายเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองน้อง หลังจากจัดการทำความสะอาดน้องแล้ว ทั้งลูกแจ๊คและลูกโจ๊กก็ถามน้องว่า รู้จักเณรที่วิ่งมาต่อยท้องหรือเปล่า เณรจ๊อบยังสะอื้นอยู่ตอบว่า

“รู้จัก พี่คนนี้ชอบแกล้งเราบ่อยๆ บางทีก็เอาแว่นไปซ่อน บางทีก็มาตีเรา ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรเขาเลย”

พี่ๆได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก จะเอาเรื่องให้ได้ ดิฉันเห็นดังนั้นจึงพูดกับลูกๆว่า

“นี่ลูก! อภัย อภัยลูก ลืมแล้วหรือ น้องกำลังบวชอยู่นะ ฝึกซิลูก ฝึก ฝึกให้อภัย ลูกเณรลูกก็เหมือนกัน ลูกต้องฝึกใจตัวเองให้เข้มแข็งกว่านี้ เพราะลูกมีท่าทางที่อ่อนแอไง ใครๆถึงอยากจะแกล้งลูก ลูกต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ ไม่ว่าจะโดนอะไรก็ตาม”

พวกพี่ๆได้ยินแม่พูดอย่างนั้น ก็นิ่งอึ้งกันไป สักครู่พี่แจ๊คก็เสริมขึ้นว่า

“ใช่! เณรต้องอย่าขี้แย ถ้าพวกเพื่อนเขาเห็นใครแหย เขาจะยิ่งชอบแกล้ง ต้องเข้มแข็งรู้มั้ย”

พี่โจ๊กก็พูดขึ้นมาอีกว่า

“เมื่อไรที่รู้สึกว่าอยากร้องไห้ ให้หายใจลึกๆยาวๆ แล้วมองเข้าไปที่ใจของเราว่า ทำไมเราถึงอยากร้องไห้ ให้ดูแบบนี้บ่อยๆ ทำเป็นมั้ย”

ในขณะนั้น พระอาจารย์ท่านหนึ่งเดินผ่านมา เห็นพวกเรากำลังพูดจากันล้งเล้ง แถมลูกเณรยังสะอื้นฮักๆอยู่ ท่านจึงถามขึ้นว่า

“เณรจ๊อบเป็นอะไร โดนใครแกล้งอีกแล้วเหรอ จำได้มั้ยว่าเป็นใคร บอกพระอาจารย์มา เดี๋ยวจะจัดการชำระให้” ลูกเณรพยักหน้าสะอื้นฮัก กำลังจะเอ่ยปากพูด ดิฉันยกมือพนมไหว้พระคุณเจ้า แล้วชิงพูดขึ้นว่า

“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะพระอาจารย์ เรื่องของเด็กๆนะเจ้าค่ะ ตีกันทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกันเป็นเรื่องธรรมดา กำลังสอนให้ฝึกให้อภัยกันนะเจ้าค่ะ เผอิญลูกเณรเป็นน้องคนเล็ก พี่ๆเขารักมากห่วงมาก ก็เลยขี้แยเป็นเรื่องธรรมดา ท่านอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ”

พระอาจารย์ได้ฟังดังนั้น ก็ยิ้มพยักหน้า เข้ามาโอบไหล่เณรจ๊อบไว้ แล้วกล่าวขึ้นว่า

“เอาละ หมดเรื่องแล้ว ไม่ต้องร้องไห้ มาบวชเณรต้องฝึกให้เข้มแข็ง ฝึกให้อภัยกัน เอ้า! ไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้าซะ จะได้มาคุยกับโยมแม่โยมพี่ได้สบายขึ้น”

ลูกเณรขึ้นไปบนอาคารที่พัก อาบน้ำผลัดผ้าแล้ว ก็เดินลงมามีสีหน้าสดชื่นขึ้น ดิฉันจึงพูดกับลูกว่า

“ลูกเณร ลูกยังปวดท้องอยู่มั้ย”

ลูกเณรส่ายศีรษะ พวกพี่ๆและคุณย่าเห็นดังนั้นก็คลายใจ ดิฉันจึงพูดต่อว่า

“ลูกลืมคำถามสำคัญไปแล้วหรือ ทำไม ทำไมไงลูก เณรอายุน้อยกว่าเพื่อน พวกพี่คงรู้สึกสนุกที่ได้เล่นกับเณรละมั่ง ถ้าเจอแบบนี้อีกก็อย่าลืมคาถาสำคัญ คือคำว่าทำไมก็แล้วกัน เพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหม่ ไม่เคยได้ยินคำนี้ อาจจะงงก็ได้นะ”

พวกพี่แจ๊ค พี่โจ๊กได้ยินก็พากันค้านว่า มันไม่ได้ผล ดิฉันจึงพูดขึ้นอีกว่า

“แล้วหนูจะให้น้องทำยังไง จะให้น้องไปสู้กับเขาเหรอ แล้วมาบวชเณรทำไม ยังงี้ไปหัดต่อยมวยไม่ดีกว่าหรือ หนูก็รู้ว่าน้องไม่ชอบใช้กำลัง จะฟ้องพระอาจารย์ก็คงต้องฟ้องกันทั้งวัน ก็ลองใช้ปัญญาดูซิลูก แค่คำว่า“ทำไม”ลองพูดดูก่อน ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ น้องเคยใช้ได้ผลที่โรงเรียนมาแล้ว ที่นี่ก็เด็กเหมือนกัน อายุต่างกันแค่ปีสองปี ความคิดความรู้สึกก็ไม่ต่างกันหรอกลูก คนที่อายุต่างกว่าเณรจ๊อบมากๆ พวกอายุ 14 – 15 เขาก็เลิกแกล้งเด็กๆแล้ว เพราะเขามีเรื่องอื่นให้ทำเยอะแยะ ลูกเณรลองใช้ดูก่อนนะลูก แล้วยังไงค่อยมาคุยกันอีกที”

ลูกเณรพยักหน้ายิ้มรับอย่างยินดี หลังจากนั้นลูกๆก็คุยกันเรื่องความเป็นอยู่ของน้อง พี่โจ๊กก็แนะนำเรื่องที่เณรควรรู้ เนื่องจากพี่โจ๊กเคยบวชเณรมาแล้วเมื่อตอนที่มีอายุสิบห้าปี

สัปดาห์ที่สอง พวกเราไม่ได้ไปเยี่ยมลูกเณร แถมโยมแม่ยังใจแข็ง ไม่โทรศัพท์ไปถามข่าวลูกอีกด้วย พอสัปดาห์ที่สาม เราพากันไปเยี่ยมตามปกติ ปรากฏว่าลูกเณรดูสดใสและเข้มแข็งขึ้น พอพบหน้าโยมแม่ลูกเณรก็พูดขึ้นทันทีว่า

“แม่! คำพูดแม่ได้ผลมากเลย วันนั้นมีพี่คนหนึ่งเขามาแกล้งเรา เราก็ถามว่ามาแกล้งทำไม เขาก็บอกว่า“ก็มันเท่ เท่”เราเลยบอกว่า คำนี้ไม่มีเหตุผลใช้ไม่ได้ ให้ใช้คำอื่นที่มันมีเหตุผลดีกว่านี้ ให้ตอบใหม่ว่า ทำไมถึงชอบแกล้ง พี่เขาก็บอกว่า “ก็เก่ง เก่งไงล่ะ” เราก็บอกเขาอีกว่า เหตุผลก็ไม่เพียงพออีกนั่นแหละ ให้บอกเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้อีก เขายืนคิดอยู่สักพักหนึ่งก็บอกกับเราว่า ไม่แกล้งก็ได้ เบื่อ ขี้เกียจตอบ แล้วเขาก็วิ่งไปเลย วันหลังพอเขาจะมาแกล้งเราอีก เราก็บอกเขาว่า ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอก็อย่ามาแกล้ง ให้หาเหตุผลที่ดีพอรับฟังได้ก่อนแล้วค่อยมาแกล้ง ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่มายุ่งกับเราอีกเลย แต่เขาก็ไปแกล้งคนอื่นด้วยนะ”

เรื่องนี้ไม่มีบทสรุป บอกไม่ได้ค่ะว่า คำว่าทำไม จะได้ผลทุกครั้งหรือเปล่า แต่ที่แนะนำให้ลูกใช้คำนี้ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า เด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบใช้ความคิด ชอบทำอะไรที่มันง่ายๆ รุนแรงและรวดเร็ว การคิดหาเหตุผล ต้องใช้เวลาคิดนาน เด็กจะรู้สึกว่ามันชักช้า เสียเวลา แถมต้องตอบยาวๆให้มีเหตุผลเพียงพอด้วย คนถูกถามด้วยคำถาม”ทำไม” จึงเบื่อคนถามมาก อ้อ! สงสัยเหรอว่า “ทำไม”ดิฉันถึงรู้ ก็เคยเบื่อและเคยถูกเบื่อมาแล้วไง

ที่เคยเบื่อก็เพราะ เคยถูกถามมาบ่อยๆแล้ว

ที่เคยถูกเบื่อก็เพราะ เอามาใช้กับลูกๆบ่อยๆ เนื่องจากเห็นประโยชน์ของคำว่า“ทำไม” เพราะลูกต้องใช้ความคิด เพื่อตอบคำถามของแม่ให้มีเหตุผลที่ดีพอ ถ้าลูกไม่มีเหตุผลที่แม่พอใจ แม่ก็จะทำไม ทำไม และทำไม ไม่เลิกรา