8. “ใครเล่นเกมไม่มีข้าวให้กิน”
ดิฉันเชื่อว่าคุณแม่หลายท่านคงปวดหัวมากกับ “ลูกติดเกม” โดยเฉพาะเกมคอมพิวเตอร์ ที่ระบาดไปทั่วตามห้างสรรพสินค้าเกือบทุกแห่งทั่วประเทศ หรือตามร้านข้างถนนทั่วไป คำถามที่ถูกถามบ่อยๆ เมื่อพบเพื่อนที่มีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกๆของดิฉันคือ
“ลูกติดเกม กลุ้มใจจัง ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ทำยังไงดี บางคืนเล่นจนตีสองตีสาม ลูกๆคุณเป็นอย่างนี้หรือเปล่า”
ดิฉันเชื่อว่าเกือบทุกคนที่เป็นพ่อแม่จะต้องได้ยินคำพูดคำถามทำนองเดียวกันนี้บ่อยๆ แล้วต่างคนต่างก็พยายามหาวิธีที่จะจัดการลูกตนเองให้เล่นเกมน้อยลง ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในพ่อแม่ที่มีทุกข์เพราะลูกติดเกม และดิ้นรนแสวงหาวิถีทางที่จะจัดการกับลูกของตนเองเช่นกัน
จำได้ว่าสามีดิฉันเริ่มเอาคอมพิวเตอร์เข้ามาในบ้านเป็นครั้งแรก เมื่อลูกชายคนโตอายุได้ประมาณเจ็ดเดือน(ปลายปีพ.ศ.2528) คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเป็นเครื่องแปดบิท ขนาดเล็กๆกะทัดรัด ใช้งานอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากเล่นเกม ซึ่งการเล่นเกมก็ต้องมี “Joy stick” หรือที่เอามาแปลเป็นภาษาไทยว่า “ท่อนหรรษา” หรือ “กระบองหรรษา” และขณะเปิดเกมจะมีเสียงดนตรีน่ารักๆประกอบด้วย เกมในตอนนั้นก็เป็นเกมสนุกๆเบาๆ ลูกแจ๊คซึ่งขณะนั้นกำลังหัดคลานอยู่ ได้ยินเสียงเพลงจากคอมพิวเตอร์เมื่อไร ก็จะคลานกระดืบๆ อย่างรวดเร็วไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เอามือตบๆไปบนแป้นตัวอักษร หรือใช้ปากงับไปที่ Joy stick คุณพ่อของลูกหัวเราะชอบใจทุกครั้ง แถมบางครั้งยังมาคุยสนุกๆว่าลูกชายเก่งมาก ขนาดใช้ปากงับๆยังเอาชนะเกมได้
นั่นเป็นครั้งแรกที่ดิฉันรู้จักเกมคอมพิวเตอร์ ยังเห็นว่าเป็นเรื่องของการเล่นสนุกผ่อนคลาย คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่ปีต่อมา เกมต่างๆจะถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทั้งเกมสร้างสรรค์และทำลาย เด็กๆติดกันงอมแงม กลับกลายเป็นมหันตภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่ง บ้านใดที่มีลูกติดเกม พ่อแม่จะกลุ้มใจอย่างมาก เพราะลูกจะใช้เวลาอยู่กับเกมครั้งละหลายๆชั่วโมง ทั้งนี้ไม่เว้นลูกๆที่บ้านดิฉันด้วย
เนื่องจากธุรกิจของครอบครัว จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก ดังนั้นลูกๆจึงคุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์กันมาตั้งแต่เล็ก ซึ่งสำหรับเด็กแล้วก็ไม่พ้นเรื่องเกม แถมคุณพ่อยังช่างสรรหาเกมต่างๆ มาให้ลูกๆได้เล่นกันสนุกสนานอีกด้วย
ดิฉันจำได้ว่า ในช่วงแรกที่ลูกเล่นเกมกับคุณพ่อในวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น ดิฉันยังนั่งเชียร์ลูกๆและหาขนมนมเนยมาปรนเปรอทั้งพ่อและลูกอยู่เลย ช่วงนั้นดิฉันยังทำงานช่วยธุรกิจของครอบครัวอยู่ และงานที่ทำก็เป็นงานที่ต้องออกไปนอกบ้าน กว่าจะกลับบ้านก็เย็นค่ำทุกวัน ลูกๆใช้บริการรถโรงเรียนทั้งไปและกลับ ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดลูกมากนัก กว่าจะรู้ตัวว่าลูกติดเกมก็เมื่อลูกแจ๊คเรียนชั้น ป.5 และลูกโจ๊กเรียนชั้น ป.3 มาผิดสังเกตตรงที่ลูกๆเริ่มไม่อยากกินข้าว พอเรียกให้กินข้าวก็จะพูดว่า
“เดี๋ยวก่อนๆ” กว่าจะลุกจากเกมมาได้ ก็ต้องเรียกกันหลายคำ แต่ถ้าขัดแม่ไม่ได้ ลูกก็จะกินข้าวอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ เพื่อจะได้มีเวลาเล่นเกมได้มากขึ้น เมื่อชวนให้ไปเล่นออกกำลังกายที่สวนใกล้บ้านในวันหยุด ก็จะบอกว่า
“ขี้เกียจไป เล่นเกมดีกว่า”
ตอนเย็นหลังเลิกเรียนทันทีที่กลับถึงบ้าน วางกระเป๋าหนังสือได้ก็เปิดเกมทันที ไม่ค่อยอยากทำการบ้านและอ่านหนังสือ แถมยังหงุดหงิดง่าย และเริ่มพูดจาก้าวร้าว ยิ่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ลูกๆนั่งเล่นเกมกันเรียกว่าก้นติดเก้าอี้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6-7ชั่วโมง ไม่ยอมจะลุกง่ายๆ บางครั้งเล่นเพลินไม่ยอมเข้านอน จนสี่ห้าทุ่มก็มี จะบอกสอนว่าอย่างไร ลูกๆก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน นิ่งเฉยไม่โต้ตอบ ยังคงเล่นเกมกันต่อไปอย่างหลงใหล พอชวนไปห้างสรรพสินค้า ลูกๆยอมไปโดยดี เพื่อจะได้เล่นเกมแปลกๆที่ห้างฯ แทนที่จะเข้าร้านหนังสือเหมือนเช่นเคย ดิฉันเห็นท่าไม่ได้การ คิดว่าถ้าปล่อยไว้ไม่จัดการอะไรสักอย่าง ลูกๆอาจติดเกมจนแก้ไขได้ยาก จึงออกมาตรการกับลูกๆว่า
“ต่อไปนี้ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ กลับจากโรงเรียนแล้ว ต้องอาบน้ำกินข้าวก่อนทุกครั้ง เสร็จแล้วทำการบ้านอ่านหนังสือ แล้วจะเล่นของเล่น ออกไปวิ่งเล่น ชู้ทลูกบาสฯ ตีแบตฯ อ่านการ์ตูน หรือดูทีวีก็ได้ แต่ห้ามเล่นเกมเด็ดขาด สองทุ่มครึ่งต้องนอนทุกคน ห้ามเกินเวลา ส่วนเกมจะเล่นได้เฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น และเล่นได้ไม่เกินสองทุ่มครึ่ง ถ้าใครไม่เชื่อฟัง จะโดนตีหกที”
ลูกขอต่อรองเป็นขอให้เล่นได้ในเย็นวันศุกร์ และให้เล่นได้ถึงสี่ทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นไม่ต้องไปโรงเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ให้เล่นได้จนดึกถึงสี่ทุ่มเหมือนกัน ดิฉันจึงพูดว่า
“เอาอย่างนี้ พบกันครึ่งทาง หนูอยากเล่นวันศุกร์ก็ได้ แม่ยอมให้ แต่การบ้านต้องเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด แล้วแม่จะปล่อยให้หนูเล่นกันได้จนถึงสี่ทุ่ม วันเสาร์เล่นได้เต็มที่ แม่จะไม่ยุ่งกับพวกหนู ส่วนวันอาทิตย์เล่นได้ไม่เกินสี่โมงเย็น จัดตารางเรียน ดูหนังสือ ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เล่นเกม แล้วนอนไม่เกินสองทุ่มครึ่ง เพราะวันรุ่งขึ้นต้องไปโรงเรียน ตกลงมั้ย แล้วถ้าใครทำผิดกติกา จะต้องโดนตีหกทีแน่นอน”
ลูกๆยอมตกลงตามนี้ เรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดี วันธรรมดาดิฉันไม่ทราบว่าลูกเล่นเกมกันหรือไม่ เพราะไม่เคยกลับมาทันลูกนอนสักที งานเยอะมากและรถก็ติดช่วงเย็นมากๆด้วย ถามคุณพ่อเรื่องลูกเล่นเกมหรือเปล่า คุณพ่อก็ไม่พูดว่าอะไร บอกแต่ว่าไม่รู้ เพราะวิ่งไปวิ่งมาระหว่างโรงงานกับออฟฟิศ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์แม่อยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปติดต่องาน ลูกๆก็ทำตามกติกาดีอยู่
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากการตั้งกฎกติกาเรื่องเล่นเกมกับลูก เย็นวันนั้นเสร็จงานเร็ว ดิฉันกลับถึงบ้านประมาณเกือบทุ่ม พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นลูกโจ๊กนั่งเล่นเกมอยู่ ทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนเต็มยศ แม่แผดเสียงลั่น
“โจ๊ก โจ๊กทำอะไรอยู่”
ลูกโจ๊กสะดุ้ง รีบลุกจากเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ มายืนตรงหน้าแม่ หน้าเจื่อนตอบมาเสียงสั่นๆว่า
“เล่นเกมครับ”
“วันนี้วันอะไร” แม่เลียงเข้ม
“วันจันทร์”
“แม่เคยบอกว่ายังไง”
“ห้ามเล่นเกม” ลูกตอบเสียงเบา
“แล้วทำผิดมั้ย”
“ผิดครับ”
“ผิดแล้วต้องเป็นยังไง”
“ถูกตี” ลูกเสียงอ่อย
“กี่ที” แม่ยังคงเสียงเข้ม
“หกที” ลูกชักเสียงเครือแล้ว
“ไปเลือกเข็มขัดมาหนึ่งเส้น” แม่พูดเสียงเรียบ ชี้นิ้วไปที่ราวพาดเข็มขัด ลูกโจ๊กเดินไปเลือกเข็มขัดเส้นเล็กสุดเส้นหนึ่งมายื่นส่งให้ ในขณะนั้นลูกแจ๊คนั่งดูเหตุการณ์เงียบๆ ไม่ส่งเสียงว่าอะไร ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“หันหลัง ยืนเอามือกอดอก วันนี้แม่จะตีแค่สามที เพราะถือว่าทำผิดเป็นครั้งแรก และหนูยอมรับผิดโดยดี แต่ถ้าคราวต่อไปมีอย่างนี้อีก แม่จะตีหกทีและหักค่าขนมด้วย เข้าใจมั้ย”
ลูกโจ๊กยืนหันหลังกอดอก ก้มหน้ามองพื้น ไม่พูดว่าอะไร ดิฉันเอาเข็มขัดที่ลูกเลือกส่งให้ ฟาดไปที่น่องทั้งสองข้างสามที แนวแดงปรากฏขึ้นทันทีที่เข็มขัดนั้นสัมผัสกับผิวของลูก ลูกร้องไห้ฮือๆ น้ำตาไหลพราก ส่วนแม่วางเข็มขัดแล้ว เข้าห้องน้ำปิดประตูทันที เปิดน้ำก๊อกเสียงดัง เพื่อกลบเสียงร้องไห้ของแม่ ลูกร้องไห้เพราะเจ็บที่ถูกแม่ตี ส่วนแม่ร้องไห้เพราะสงสารที่ลูกต้องเจ็บตัว
เมื่อดิฉันออกจากห้องน้ำ ก็บอกลูกให้ไปอาบน้ำ ถามลูกว่ากินข้าวหรือยัง ปรากฏว่าข้าวก็ยังไม่ได้กิน เล่นเกมก่อนจนข้าวก็ไม่ได้กิน น้ำก็ไม่ได้อาบ ดูซิ! ลูกติดเกมมากขนาดนี้ แล้วจะทนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทิ้งให้ลูกแอบเล่นเกมต่อไปได้หรือ ดิฉันจึงพูดกับคุณพ่อของลูกว่า เรามัวก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ หาเงินมาเพื่ออะไรกันนี่ ปล่อยให้ลูกอยู่กันตามลำพังติดเกมมากมายขนาดนี้ สามีดิฉันไม่พูดหรือให้คำแนะนำใดๆ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ลดงานตนเองลงทันที ไม่รับนัดลูกค้าในช่วงบ่ายถึงเย็นอีก เลิกใช้บริการรถโรงเรียน ไปรับส่งลูกด้วยตนเอง เพื่อมีเวลาใกล้ชิดลูกมากขึ้น ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะดิฉันต้องการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่อยากปล่อยให้ลูกติดเกมจนสายเกินแก้
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ลูกๆก็ทำตามกฎระเบียบกันเรียบร้อยดี การไปห้างสรรพสินค้า แม่ยอมให้เล่นเกมได้ไม่เกินคนละยี่สิบบาท จากนั้นต้องเลิกเล่น หาอาหารกินกันแล้วก็ไปดูซื้อหนังสือมาอ่านเหมือนเดิม เหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติ ดิฉันหยุดทำงานที่บริษัทฯ เป็นแม่บ้านเต็มตัว เพราะมีลูกเล็กอายุสี่ขวบอีกหนึ่งคนที่ต้องดูแล ลูกๆตั้งใจเรียนหนังสือกันดี กฎการเล่นเกมก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ แต่เพิ่มน้องเล็กขึ้นมาหนึ่งคน เล่นเกมง่ายๆแบบที่เด็กสี่ขวบเล่นได้ คุณพ่อยังช่างสรรหาเกมใหม่ๆมาเล่นสนุกกับลูกๆทุกวันหยุด ดิฉันเคยนับแผ่นเกมที่มีอยู่ในบ้าน พอนับได้ครบพันแผ่นก็เลิกนับในส่วนที่เหลือ และไม่เคยนับอีกเลยจนบัดนี้
ในปีที่ย้ายบ้านใหม่ ลูกแจ๊คอยู่ชั้นม.4 และลูกโจ๊กอยู่ชั้นม.2 ลูกปิดเทอมภาคแรกในเดือนตุลาคม จึงได้เห็นว่าลูกเล่นเกมกันมากจริงๆเกือบทั้งวันทั้งคืน พอห้ามลูกว่าเล่นมากเกิน ลูกๆกลับบอกว่า ช่วงเปิดเทอมก็ทำตามกฎของแม่แล้ว ตอนนี้ปิดเทอม แม่ควรปล่อยให้เขาเล่นบ้าง ดิฉันก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออกแต่ก็เครียดมากด้วยที่เห็นลูกเล่นกันหนักขนาดนี้ จึงวันหนึ่งพูดกับลูกๆว่า
“ปิดเทอมคราวนี้แม่ไม่ว่านะที่เล่นเกมกัน เพราะแม่ไม่เคยรู้ว่าลูกจะติดกันขนาดนี้ เลยไม่ได้คุยทำความเข้าใจกันก่อน แต่ปิดเทอมใหญ่ช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ถ้าใครเล่นเกมจะไม่มีข้าวให้กิน”
“อ้าว! แล้วพวกโจ๊กจะเอาอะไรกินล่ะแม่”
นายโจ๊กร้องมาเสียงดังลั่น ลูกๆชะงักการเล่นเกมไปชั่วขณะหันมามองแม่พร้อมกัน
“งั้นแม่จะให้กินเฉพาะมื้อเช้า แล้วถ้าใครยังเล่นเกมอยู่ มื้อกลางวันกับมื้อเย็นต้องหากินเอง เข้าใจ๋?”
“แม่! แล้วแจ๊คจะไปหาข้าวที่ไหนกินล่ะ”
“หนูก็ซื้อกันเองซิ”
“เอาตังค์ที่ไหนไปซื้อล่ะ แม่จะให้เงินไปซื้อกินกันเองใช่มั้ย” ลูกแจ๊คถามต่อ
“เสียใจ หนูต้องหาเงินกันเอง ต่อไปนี้ปิดเทอมแม่จะไม่ให้เงินค่าขนมอีกแล้วด้วย มีข้าวให้กินมื้อเช้ามื้อเดียว แล้วมื้อกลางวันกับมื้อเย็นต้องไปหาซื้อกินกันเอง” ลูกๆนิ่ง นายโจ๊กถามว่า
“แล้วจะไปหาเงินที่ไหนล่ะ”
“ก็หางานทำซิ หนูก็โตๆกันแล้ว แจ๊คก็ตัวเบ่อเร่อเบ่อร่า สูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่าเซ็นฯแล้ว โจ๊ก โจ๊กก็สูงตั้งเกือบร้อยหกสิบเซ็นฯแล้ว ปิดเทอมก็ไปหางานทำกัน”
“ทำที่ไหนล่ะ แม่” ลูกโจ๊กถาม
“ก็ในโรงงานเราไง”
“แจ๊คไม่ชอบทำในโรงงานเรา ไม่เห็นมีอะไรน่าทำซักอย่าง”
“งั้นก็ไปหางานที่อื่นทำ หนูจำได้มั้ยตอนที่ป๊าพาไปกินสุกี้ฯตอนพวกหนูยังเล็กๆกันอยู่ มีเด็กนักเรียนแต่งชุดนักเรียนมา เสริฟอาหาร แม่ยังชมว่าพวกเขาน่ารัก และให้เงินทิปเขาไปตั้งเยอะ หนูไปทำงานอย่างนั้นก็ได้”
ลูกๆพยักหน้าว่าจำได้ ตอนนั้นหลายปีมาแล้ว ลูกแจ๊คอายุสิบขวบและลูกโจ๊กอายุแปดขวบ เป็นช่วงวันหยุดปิดเทอม คุณพ่อพาแม่และลูกๆไปรับประทานอาหารที่ร้านสุกี้ฯ ในร้านมีเด็กนักเรียนทั้งหญิงและชาย อายุประมาณ 15-16 ปี แต่งชุดนักเรียนเรียบร้อย มาทำงานเสริฟอาหารหารายได้พิเศษในช่วงปิดเทอม ดิฉันและคุณพ่อยังชมให้ลูกๆฟังว่า พวกพี่ๆพวกนี้เป็นเด็กดีน่ารักจัง รู้จักช่วยพ่อแม่หาเงินเป็นค่าเล่าเรียน ดิฉันยังได้พูดคุยซักถามเด็กๆหลายคน ถึงเรื่องโรงเรียนและชั้นเรียนของพวกเขาด้วยความเอ็นดู และเมื่อรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็ให้เงินค่าทิปแก่เด็กๆมากพอสมควร ลูกโจ๊กยังออกปากถามว่า
“ทำไมแม่ให้ตังค์พี่เขาเยอะจัง”
“ก็พี่เขาเป็นคนดี รู้จักหางานทำช่วงปิดเทอม ไม่ปล่อยเวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ หนูดูตัวอย่างพี่เขาไว้นะ”
“ถ้าโจ๊กโตขึ้นแล้วทำงานอย่างพี่เขา แม่จะให้ตังค์โจ๊กเยอะๆแบบพี่เขาหรือเปล่า” ลูกโจ๊กถามตาลุก อยากได้เงินเยอะๆแบบพี่นักเรียนบ้าง
“ได้ซิ ถ้าหนูมาทำอย่างพี่เขานะ หนูเห็นมั้ย พี่เขาไม่ใช่ว่าจะได้เงินจากแม่คนเดียวนะ ยังมีคนอื่นที่เขาเห็นว่าพี่นักเรียนเป็นเด็กดี ก็จะให้ทิปพี่เขาเหมือนกัน วันหนึ่งๆ พี่เขาคงได้เงินค่าทิปเยอะแยะเลย แล้วพี่เขาก็จะเอาเงินนั้นไปซื้ออะไรก็ได้ที่เขาอยากได้” ในตอนนั้นลูกๆฟังแบบใช้ความคิดเต็มที่
ดังนั้นวันนี้พอดิฉันเท้าความไปถึงการทำงานของเด็กนักเรียนในร้านสุกี้ฯ ลูกๆจึงจำได้ แล้วก็ไม่พูดอะไรกันอีก หันไปสนใจเกมกันต่อไปตลอดช่วงเวลาปิดเทอมนั้น เมื่อโรงเรียนเปิดเรียนภาคปลาย ลูกๆทุกคนยังคงทำตามกฎการเล่นเกมของแม่เหมือนเดิม คือไม่เล่นเกมในวันที่มีการเรียน และดิฉันก็หมั่นพูดถึงการหางานทำในช่วงปิดเทอมใหญ่ให้ลูกฟังเป็นระยะๆ เพื่อให้ลูกรู้ว่าแม่“เอาจริง” ไม่ได้พูดเล่น
เมื่อลูกใกล้สอบภาคปลาย ดิฉันก็ย้ำกับลูกอีกครั้งเรื่องการหางานทำเมื่อสอบเสร็จ ลูกๆบอกว่าให้แม่หางานให้ แต่ต้องไม่ใช่งานในโรงงานของเราเอง ดิฉันก็ถามลูกว่าอยากทำงานประเภทไหน ลูกๆบอกว่า งานอะไรก็ได้แล้วแต่แม่ ดิฉันก็มาคิดดูว่า เมื่อตอนลูกยังเล็กๆกันอยู่ ทุกๆปิดเทอมเราจะส่งลูกๆไปอยู่กับคุณย่าที่ต่างจังหวัด เพราะที่นั่นจะมีหลานๆ ลูกของน้องๆสามีดิฉันที่มีอายุใกล้เคียงกับลูกของเรา และเด็กๆก็อยู่กันได้อย่างมีความสุขดี เพราะมีเพื่อนเล่นหลายคน
อีกทั้งที่จังหวัดนั้นก็เป็นบ้านเกิดของดิฉันกับสามี เราจึงมีเพื่อนหลายคนที่เป็นนักธุรกิจในจังหวัดนั้น เผอิญดิฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นตัวแทนขายนมสดที่มีชื่อเสียงดียี่ห้อหนึ่ง เธอเป็นตัวแทนในเขตภาคเหนือ จึงโทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนท่านนั้นเพื่อขอให้ลูกๆได้ไปทำงานในบริษัทของเธอ ดิฉันบอกกับเธอว่า จะขอฝากลูกให้ทำงานในช่วงปิดเทอมใหญ่ เป็นงานอะไรก็ได้ไม่เกี่ยงทั้งเรื่องงานและค่าแรง หรือไม่มีค่าแรงก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกได้มีงานทำ ไม่มีเวลาว่างมากเป็นใช้ได้ ลูกชายทั้งสองคนอายุ16 และ 14 ตามลำดับ เพื่อนท่านนั้นก็ดีใจหาย รับไว้ทันที และยังแถมมีค่าแรงให้อีกวันละหนึ่งร้อยบาทด้วย เมื่อติดต่อกับเพื่อนเรียบร้อย ดิฉันจึงบอกกับลูกว่า
“แม่ติดต่อหางานให้ลูกได้แล้ว เป็นบริษัทขายส่งนมยี่ห้อ……แต่ต้องไปทำงานที่พิษณุโลก และพักอยู่ที่บ้านอาม่า (ยาย) เพราะน้าแต๊กจะเป็นคนไปรับส่งในช่วงแรกๆที่ทำงาน”
“เป็นงานประเภทไหน แม่” ลูกแจ๊คถาม
“ก็ไปขายนม และส่งนมตามที่ต่างๆไง หรืออาจมีงานอื่นๆอีกแล้วแต่เขาจะสั่งให้ทำ พวกหนูอาจได้ไปเที่ยวหลายจังหวัดในภาคเหนือด้วยนะ”
“แม่ แจ๊คไม่ชอบทำงานประเภทนี้ ถ้าทำงานแบบนี้ แจ๊คทำในบริษัทเราก็ได้ แม่ก็รู้ตั้งนานแล้วว่าแจ๊คไม่ชอบ” นายแจ๊คเริ่มงอแง
“งั้นหนูจะทำงานแบบไหนล่ะ”
ดิฉันถามแบบใจเย็น เพราะไม่อยากให้ลูกอยู่ว่างตั้งสองเดือนในช่วงปิดภาคปลาย ดังนั้นก็ต้องให้ลูกทำงานที่เขาพอใจ เขาจึงจะทำได้นาน
“งานอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่งานขายของ”
“งั้นให้แม่ลองคิดดูก่อน แล้วโจ๊กโจ๊กว่ายังไงลูก หนูทำได้มั้ย ได้ค่าแรงวันละหนึ่งร้อยบาทเชียวนา อยู่บ้านไม่ได้เงินนะ แถมไม่มีข้าวให้กินด้วย” ดิฉันขู่สำทับลูกไปด้วย ลูกโจ๊กพยักหน้ารับแต่ก็ถามว่า
“บริษัทชื่อว่าอะไรล่ะ แล้วแม่ไปติดต่อยังไงถึงต้องไปทำที่พิษณุโลก” ลูกโจ๊กช่างสงสัย เพราะไม่เห็นแม่ไปต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อไร แต่ทำไมบอกว่าติดต่องานได้แล้ว แถมต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วย
“อ้อ! แม่ก็ไปติดต่อที่สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ และขอให้เขาส่งหนูไปพิษณุโลก ที่กรุงเทพฯไม่มีที่ให้ทำ เพราะจะมีเด็กนักเรียนอย่างหนูไปทำงานช่วงปิดเทอมกันเยอะมาก และแม่ก็ไม่ว่างไปส่งหนูทุกวันด้วย ถ้าบริษัทฯเขาส่งหนูไปทำงานที่ไกลจากบ้านมากๆ หนูจะเดินทางไม่สะดวก แต่ที่ต่างจังหวัดการเดินทางไปทำงานทุกวันสะดวกกว่ากันมาก และอาม่าก็จะทำกับข้าวอร่อยๆให้กินทุกวันด้วย” ลูกโจ๊กพยักหน้ารับว่าเข้าใจดีแล้ว และไม่ได้ซักถามอะไรต่อไปอีก
ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมดิฉันจึงต้องบอกกับลูกไปเช่นนั้น ทำไมไม่บอกไปตรงๆว่า บริษัทฯที่จะให้ลูกไปทำงานนั้น เจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนแม่ คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายที่ใกล้ชิดลูก และรู้ถึงอุปนิสัยของลูกๆตนได้ดีนั้น จะรู้ดีว่าบางครั้งการพูดตรงๆในบางเรื่องก็จะไม่เป็นผลดีแต่ประการใด ในเรื่องเดียวกันแต่เปลี่ยนคำพูดบางคำที่ไม่ก่อความเสียหายแก่ใครๆ จะทำให้เกิดผลดีมากกว่า ในกรณีนี้ก็เช่นกัน เพราะดิฉันรู้นิสัยลูกของตนเองดี ลูกๆเกิดมาท่ามกลางธุรกิจที่มีคนงานนับร้อย ทุกครั้งที่ให้ลูกเข้าไปทำงานในโรงงานเพื่อฝึกให้ลูกรู้จักการทำงาน เมื่อลูกโตพอที่จะช่วยงานได้ ปรากฏว่าคนงานไม่กล้าใช้งานลูก เพราะความที่เป็น“ลูกเจ้านาย” ดิฉันเลยคิดว่าถ้าส่งลูกไปทำงานกับใคร “คนอื่น” ที่ลูกไม่รู้จัก ลูกจะเกรงใจมากกว่า และจะไม่กล้างอแงเมื่อถูกใช้งาน
สำหรับลูกแจ๊ค เอ! จะให้ทำงานอะไรดี เผอิญดิฉันมานึกได้ว่า มีน้องสาวทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จึงติดต่อกับน้องให้ช่วยพูดกับผู้จัดการของบริษัทให้ว่า ทางบริษัทฯมีนโยบายรับเด็กนักเรียนทำงานภาคฤดูร้อนหรือไม่ ซึ่งผลที่ตอบกลับมาคือ ลูกแจ๊คจะได้ทำงานภาคสนาม หรือในห้องแล็บเคมีของบริษัทฯ ส่วนเรื่องที่พักน้องก็จัดการให้ได้เรียบร้อย เป็นอันหมดกังวลเรื่องลูกทั้งสองคน ช่วงปิดเทอมยาวลูกมีงานทำ ลดเวลาการเล่นเกมไปได้มากโข
เมื่อลูกสอบเสร็จ ดิฉันส่งลูกชายคนโตคือนายแจ๊คให้ขึ้นรถประจำทางที่ขนส่งสายตะวันออก เพื่อไปทำงานที่อำเภอศรีราชาตามที่ได้ติดต่อไว้ รายละเอียดการเดินทาง ลูกคุยกับน้าตั๊กของเขาเรียบร้อยแล้ว ก็หมดห่วงไปหนึ่งราย คนต่อไปคือนายโจ๊ก ดิฉันขับรถพาลูกโจ๊กและลูกจ๊อบไปที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้นายโจ๊กไปทำงานที่บริษัทฯของเพื่อนดิฉัน ตามที่ได้พูดคุยกันไว้ ส่วนนายจ๊อบซึ่งขณะนั้นอายุห้าขวบ ก็ให้ไปพักอยู่ที่บ้านคุณย่า เพราะที่นั้นมีหลานๆหลายคนลูกของคุณอา ที่มีอายุใกล้เคียงกันและเป็นเพื่อนเล่นกัน เมื่อส่งลูกจ๊อบแล้ว ดิฉันก็พาลูกโจ๊กไปที่บ้านคุณยายที่อยู่ไม่ไกลกับบ้านคุณย่าเท่าไรนัก
ก่อนหน้านั้นดิฉันได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคุณยายและคุณย่า รวมทั้งบรรดาน้าและอาทั้งหลายของลูกเรียบร้อยแล้วว่า อย่าบอกลูกโจ๊กว่าเจ้าของบริษัทที่ลูกจะไปทำงานนั้นเป็นเพื่อนแม่ และให้คุณยายกับน้าแต๊กเป็นผู้พาไปสมัครงาน แถมยังนัดแนะกับเพื่อนท่านนั้นว่าอย่าบอกให้ลูกของดิฉันรู้ว่าเป็นเพื่อนกับแม่ และทั้งไม่บอกให้พนักงานในบริษัทฯของเขารู้ด้วยว่า เด็กที่มาสมัครทำงานช่วงปิดเทอมนั้นเป็นลูกของเพื่อนท่าน เพื่อพนักงานของท่านจะไม่ต้องเกรงใจและใช้ให้ลูกโจ๊กทำงานได้เต็มที่ เพื่อนท่านนั้นก็ดีมากจริงๆที่กรุณาทำทุกอย่างที่ดิฉันขอร้อง ตกลงทุกคนให้ความร่วมมือดีมาก เมื่อทุกคนรู้ว่าดิฉันต้องการดัดนิสัยลูกในเรื่องการเล่นเกม และจะฝึกลูกให้รู้จักการทำงานอีกด้วย
เมื่อส่งลูกแล้ว ดิฉันอยู่ทำธุระอีกสองวัน เนื่องจากเรามีโรงงานสาขาที่พิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับกรุงเทพฯ ส่วนคุณยายก็พาหลานคือนายโจ๊กไปสมัครงานในบริษัทของเพื่อนดิฉัน ตามที่ตกลงกันไว้ ทุกคนปิดปากเงียบ ลูกโจ๊กไม่ระแคะระคายสักนิดว่าเจ้าของบริษัทนั้นเป็นเพื่อนกับแม่ และพนักงานของบริษัทก็ใช้งานนายโจ๊กเต็มที่ สองวันหลังจากไปทำงาน คุณยายโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า นายโจ๊กกลับจากทำงานก็นอนแผ่หรากางมือกางขาเต็มที่ บอกว่าเหนื่อยจริงๆ คุณยายถามเรื่องงานที่ทำ ลูกโจ๊กเล่าว่าต้องไปแบกนมวันละหลายสิบลัง เพื่อไปส่งตามร้านและตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ แถมต้องไปรื้อเก็บนมที่หมดอายุออก แล้วจัดเรียงนมใหม่ให้เข้าที่ คุณยายก็ปลอบไปว่า
“หนูเพิ่งทำงานได้สองวันก็รู้แล้วว่า ทำงานเหนื่อยขนาดนี้ แล้วแม่กับป๊าของหนูทำงานกันมาตั้งแต่หนูยังไม่เกิด จะเหนื่อยแค่ไหน แต่แม่หนูก็ไม่เคยบ่นให้อาม่าฟังซักคำเลยว่าเหนื่อย หนูเองก็ต้องอดทนทำให้ได้ อย่าเพิ่งท้อถอยซะก่อน แม่จะได้ไม่เสียใจ”
ดิฉันถามคุณยายว่าลูกตอบว่าอย่างไร คุณยายบอกว่าลูกโจ๊กไม่พูดว่าอะไร ได้แต่พยักหน้ารับ และก็ไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น ไม่บ่นว่าอะไรอีก แต่ก็เล่าให้ฟังทุกวันว่าไปทำงานอะไรบ้างในแต่ละวัน เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ลูกโจ๊กก็โทรศัพท์มาคุยกับแม่ว่า
“แม่ โจ๊กเพิ่งรู้ว่า กว่าจะทำงานได้วันละหนึ่งร้อยบาทมันเหนื่อยมากขนาดนี้ ต่อไปนี้โจ๊กจะเรียนหนังสือให้เก่งๆ เพื่อจะได้ทำงานที่สบายกว่านี้ และหาเงินได้เยอะกว่านี้ แล้วไม่ต้องเหนื่อยมากเท่านี้ด้วย”
ดิฉันก็ได้แต่ปลอบลูกให้อดทน และบอกว่าถ้าวันไหนไม่ต้องออกไปขายหรือไปส่งนม ก็ให้ถามพวกพี่ว่ามีงานอะไรให้ทำบ้าง เพื่อลูกจะได้เรียนรู้งานมากๆ อย่านั่งเฉยๆเพื่อรอให้พี่เขาเรียกใช้ เพราะพี่เขาอาจไม่รู้ว่าเราเต็มใจทำงานหรือเปล่า และทำงานอะไรเป็นบ้าง เขาจะให้ทำงานอะไรก็อย่าเกี่ยง ไม่ว่าจะเป็นงานที่เกี่ยวกับเอกสารหรืองานใช้แรง ก็พยายามทำดูก่อน ถ้างานไหนทำไม่เป็น ก็ให้พี่เขาช่วยสอนให้ แม่อุตส่าห์หางานให้ทำแล้ว และรับปากกับผู้ใหญ่ในบริษัทฯแล้ว ต้องอดทนทำงานอย่างน้อยก็ให้ครบหนึ่งเดือน อย่าให้แม่เสียชื่อที่รับปากไว้ ลูกก็รับคำโดยดี
สำหรับลูกแจ๊คปัญหาเรื่องการทำงานคือ ไม่ค่อยมีงานอะไรให้ทำ อาจเป็นเพราะทุกคนในบริษัทรู้ว่าเป็นหลานของน้าตั๊ก ก็เลยมีแต่คนเอ็นดู ไม่ค่อยใช้ให้ทำงาน ลูกจึงบ่นว่าเบื่อ แถมยังบอกอีกด้วยว่า รู้อย่างนี้ทำงานในโรงงานของเราเองดีกว่า ยังมีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะ ดิฉันก็เลยบอกลูกว่า ให้ถามพวกพี่หรือบอกกับน้าตั๊กซิว่า ให้ใช้งานลูกด้วย จะได้มีอะไรให้ทำเยอะๆ ภายหลังดิฉันต้องโทรศัพท์ไปบอกกับน้องว่า ให้ใช้งานลูกแจ๊คให้มากๆอย่าได้เกรงใจ เหตุการณ์ก็เรียบร้อยขึ้น จนครบหนึ่งเดือน ลูกแจ๊คก็ขอกลับมาช่วยทำงานในโรงงานของเราเอง ซึ่งการทำงานในโรงงานของเราเองก็เหมือนเดิม คือทำงานบ้าง เล่นเกมบ้าง จนโรงเรียนเปิดเทอม
ส่วนลูกโจ๊กพอทำงานไปได้สองสัปดาห์ ก็โทรศัพท์มาเล่าให้แม่ฟังว่า
“แม่ วันนี้โจ๊กเข้าไปในโรงงานเรา”
“อ้าว! หนูไม่ทำงานหรอกรึ” แม่สงสัย เพราะปกติไม่เคยเห็นลูกสนใจที่จะเข้าไปในโรงงานเราสักที ไม่ว่าที่กรุงเทพฯ หรือที่พิษณุโลก
“วันนี้วันเสาร์ งานโจ๊กเสร็จเร็ว โจ๊กเลยขอพี่เขาเลิกงานก่อนเวลา เพราะอยากเข้าไปดูระบบงานในโรงงานของเรา โจ๊กไปคุยกับพี่ทัยด้วย”
“ดูทำไมล่ะลูก แล้วหนูไปคุยอะไรกับพี่เขา”
แม่สงสัยหนักขึ้น “พี่ทัย”คือผู้รับผิดชอบโรงงานสาขาของเราที่จังหวัดพิษณุโลก
“ก็โจ๊กอยากรู้เรื่องระบบการทำงานของโรงงานเรา เพื่อเปรียบเทียบกับงานที่บริษัทที่โจ๊กทำอยู่ โจ๊กคุยกับพี่ทัยแล้ว พี่เขาบอกว่าป๊าเป็นคนตั้งระบบงานทั้งหมด แม่! โจ๊กว่าป๊าเป็นคนเก่งนะ ขนาดบริษัทเราผลิตสินค้าตั้งหลายร้อยอย่าง ป๊ายังทำระบบงานได้เรียบร้อยขนาดนี้ โจ๊กจะตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่งๆนะ โตขึ้นโจ๊กอยากเป็นนักธุรกิจที่เก่งอย่างป๊า จะได้ช่วยป๊าทำงาน ธุรกิจเราจะได้รวยมากๆ”
แม่ฟังแล้วก็ตื้นตันใจกับคำพูดของลูกชายอายุสิบสี่ บอกกับลูกไปว่า
“ดีแล้วลูก แม่ดีใจนะที่ได้ยินลูกพูดอย่างนี้ หนูก็ขยันทำงาน และตั้งใจเรียนหนังสือเข้า อีกหน่อยพอลูกโต แม่กับป๊าก็แก่แล้ว หนูจะได้มาช่วยป๊าเขาทำงานในโรงงานเราได้ ขอบใจมากลูก”
พอใกล้จะครบเดือน ลูกก็โทรมาบอกว่า
“แม่ โจ๊กขอทำงานแค่เดือนเดียวนะ แล้วโจ๊กจะกลับบ้านไปช่วยทำงานในโรงงานเราที่กรุงเทพฯ โจ๊กอยากดูว่าในโรงงานเรามีงานอะไรบ้าง และระบบงานที่กรุงเทพฯกับที่พิษณุโลกต่างกันแค่ไหน โจ๊กว่างานที่บริษัทเราน่าสนใจกว่าเยอะเลย แม่ครับ โจ๊กมาคำนวณค่าแรงที่โจ๊กจะได้จากการทำงานครั้งนี้ จะได้ประมาณสองพันเจ็ดร้อยบาท โจ๊กว่าจะให้อาม่าทั้งสองคน(คุณยายกับคุณย่า) คนละห้าร้อยบาท แล้วให้แม่อีกห้าร้อยบาท ที่เหลือโจ๊กจะเอาไว้ส่วนตัว เผื่อโจ๊กอยากซื้ออะไรได้มั้ยแม่”
แม่ฟังแล้วเป็นปลื้ม บอกลูกไปว่า
“สำหรับอาม่า หนูมีให้ก็ดีนะลูก เพราะอาม่าอายุมากแล้ว ทำงานไม่ไหว ถ้าเราทำงานได้แล้ว มีเงินแบ่งให้อาม่าใช้บ้างก็ดี ส่วนที่หนูจะให้แม่นั้นไม่ต้องก็ได้ เพราะแม่ยังแข็งแรง ยังทำงานได้อยู่ หนูเอาเก็บไว้เองเถิด ขอบใจมากลูก”
แต่ลูกก็ยังยืนยันที่จะให้แม่ ดิฉันก็นิ่งไป คิดว่าแล้วค่อยเอาไว้คืนลูกทีหลัง อีกสองสามวันถัดมาลูกโทรมาบอกใหม่ว่า
“แม่ เงินห้าร้อยบาทที่โจ๊กว่าจะให้แม่นั้น แม่ยังไม่เอาตอนนี้ได้มั้ย เพราะถ้าให้อาม่าสองคนไป แล้วให้แม่อีก โจ๊กจะเหลือเงินแค่พันสองเอง ไม่ถึงพันห้าร้อยบาทเลย เอาไว้โจ๊กโตแล้ว ทำงานได้เงินมากๆโจ๊กถึงจะแบ่งให้แม่เยอะๆเลย”
ดิฉันได้ฟังดังนั้นก็นึกขำลูก คงไปคิดสะระตะใหม่แล้ว เกิดความเสียดาย ทำงานเหนื่อยแทบแย่ สุดท้ายเหลือเงินน้อยเดียว จึงพูดกับลูกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ก็คิดอยู่แล้วเหมือนกันว่า ถ้าลูกให้มาก็จะคืนให้ แค่หนูยอมไปทำงาน แม่ก็ดีใจมากแล้ว ส่วนของอาม่าถึงหนูจะไม่ให้ก็คงไม่เป็นไร แค่หนูไปทำงานในช่วงปิดเทอม อาม่าก็ปลื้มใจเอาเรื่องหนูกับพี่แจ๊คไปคุยอวดได้ไม่รู้จบแล้ว”
“แม่ แต่โจ๊กก็ยังอยากให้อาม่าอยู่นะ โจ๊กว่าที่โจ๊กมาอยู่บ้านอาม่าตั้งเป็นเดือน อาม่าต้องเสียค่าน้ำค่าไฟ แถมทำกับข้าวอร่อยๆให้กินด้วย อาม่าต้องเสียเงินมากแน่ๆเลย”
เมื่อลูกยืนยันดังนี้ ดิฉันก็ไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้ลูกเป็นผู้คิดและตัดสินใจเอง การที่ลูกมีความคิดเช่นนี้ ดิฉันคิดว่าส่วนหนึ่งลูกน่าจะได้เห็นตัวอย่าง เพราะทุกครั้งที่ดิฉันจะส่งเงิน หรือไปเยี่ยมเยียนท่านผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ดิฉันจะบอกกับลูกเสมอว่า
“แม่จะไปดูอาม่าทั้งสองคนหน่อย ว่าเป็นยังไงกันบ้าง และจะเอาเงินไปให้อาม่าใช้ด้วย เพราะอาม่าอายุมากแล้ว ทำงานไม่ไหวแล้ว ต้องมีคนส่งเงินไปให้อาม่าใช้ สำหรับเป็นค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ พวกหนูจำไว้นะ เวลาหนูโตแล้ว ทำงานได้เงินเดือนกันแล้ว ต้องส่งเงินให้อาม่าใช้บ้าง เพราะตอนหนูโตๆกันแล้วอาม่าจะยิ่งแก่กว่านี้อีก ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอ ต้องมีคนคอยดูแลช่วยเหลือ” ลูกๆจะได้ยินได้ฟังอย่างนี้เสมอมา
เมื่อลูกทำงานครบเดือนและได้รับเงินค่าแรงแล้ว ลูกโจ๊กก็โทรศัพท์มาต่อว่าแม่ทันที
“แม่! แม่ต้มโจ๊กซะสุกเลยนะ แม่ทำไมไม่บอกโจ๊กตั้งแต่แรกว่า คุณสุเมธเจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนแม่”
“อ้าว! ใครบอกหนูล่ะ แล้วนี่หนูไม่ไปทำงานแล้วเหรอ”
“ก็อาม่านะซิบอกโจ๊ก พอโจ๊กรับเงินเดือนเรียบร้อยแล้ว อาม่าก็บอกโจ๊กทันทีเลย นี่คุณสุเมธชวนโจ๊กไปเลี้ยงข้าวกลางวันด้วย โจ๊กจะทำยังไงดี โจ๊กเขินไปหมดเลย”
ดิฉันนึกขำ คุณยายคงอึดอัดใจอยู่นาน อยากจะบอกหลานว่าเจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนแม่ ก็พูดไม่ได้ เพราะรับปากดิฉันไว้ พอได้โอกาสรู้ว่าหลานจะไม่ทำงานต่อแล้ว ก็รีบบอกทันที เล่นเอานายโจ๊กทำอะไรไม่ถูก ดิฉันจึงบอกลูกไปว่า
“หนูก็ไปซิลูก เรียกว่าอาเจ็กสุเมธนะและบอกท่านด้วยว่าโจ๊กรู้เรื่องแล้วที่อาเจ็กเป็นเพื่อนกับแม่ แม่มีของที่จะฝากขอบคุณอาเจ็กสุเมธด้วย หนูไปเอาของที่อาม่านะ บอกอาม่าว่าเป็นของที่แม่ฝากไว้ แล้วเอาของนั้นไปให้อาเจ็กสุเมธ บอกขอบคุณเขาด้วยที่ให้โจ๊กได้เรียนรู้งานตั้งมากมาย แล้วที่ผ่านมาถ้าโจ๊กทำอะไรไม่ถูกต้องก็ขอโทษด้วย และแม่ก็ฝากของมาขอบคุณด้วย ส่วนเรื่องอื่นๆไว้แม่จะคุยกับอาเจ็กสุเมธเอง หนูทำได้ใช่มั้ยลูก”
ลูกค่อยหายเขินและรับปากว่าทำได้ หลังจากที่ลูกไปพบพูดคุยกับคุณสุเมธแล้ว ดิฉันก็โทรศัพท์ไปขอบคุณเธอ ในความกรุณาของเธอที่มีต่อลูกดิฉัน ทำให้ความคิดของลูกเปลี่ยนแปลงไปมากมาย เธอบอกดิฉันสั้นๆง่ายๆว่า
“ลูกเธอคนนี้ใช้ได้” ขอบคุณจริงๆเพื่อน………..
คุณสุเมธ จิรัฐติกาลโชติ
คืนวันนั้นคุณยายและคุณย่าโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่า นายโจ๊กเอาเงินเดือนที่ได้รับไปให้จริงๆ ท่านละห้าร้อยบาท แต่อาม่าทั้งสองท่านรับแล้วคืนให้หลานไป และพูดกับหลานว่า
“หนูเอาเงินค่าเหนื่อยของหนูเก็บไว้เถิดลูก ขอบใจหนูมาก แต่ตอนนี้อาม่ายังไม่ใช้อะไร ไว้อีกหน่อยหนูเรียนหนังสือเก่งๆ จบแล้วได้เงินเดือนเยอะๆ แล้วค่อยเอามาให้อาม่า หนูเป็นเด็กดีมาก หนูต้องเจริญแน่ๆในตอนโต อาม่าขออวยพร”
ลูกโจ๊กเก็บเงินเดือนนั้นไว้อีกเป็นปีกว่าจะเอาออกมาใช้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ดิฉันยังคงใช้กติกาเดิมกับลูกๆคือ ทุกๆปิดเทอมใหญ่ ลูกคนเล็กจะถูกส่งไปฝึกกวาดถูบ้าน ล้างถ้วยจานชามกับพวกพี่ๆลูกคุณอาที่บ้านคุณย่า ส่วนลูกคนโตทั้งสองจะไม่มีเงินค่าขนม ต้องหางานทำทุกคน ลูกๆสมัครใจที่จะช่วยคุณพ่อเขาทำงานในบริษัทของเราเอง คุณพ่อก็จะจ่ายค่าแรงให้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง
ทุกวันนี้แม้ลูกจะเรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว กฎกติกาก็ยังเหมือนเดิมคือ ทุกปิดเทอมลูกต้องมาช่วยทำงานที่บริษัทจึงจะได้เงินใช้ ส่วนเรื่องการเล่นเกมของลูก เนื่องจากลูกไปอยู่หอพัก ดิฉันไม่อาจรู้ได้ว่าลูกเล่นเกมมากหรือน้อย แต่ทุกวันสุดสัปดาห์ที่ลูกๆกลับมาบ้าน ก็ใช้เวลาอยู่กับเกมและทีวีมากจริงๆ ส่วนใหญ่เลยเที่ยงคืน ดิฉันเคยถามลูกว่า กลับมาบ้านอยู่ต่อหน้าแม่แท้ๆ ลูกๆยังเล่นเกมกันขนาดนี้ แล้วไปอยู่หอพักแม่ไม่ได้ไปเห็นด้วยจะเล่นกันขนาดไหน ลูกโจ๊กตอบมาว่า
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกๆโตกันแล้วรู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรสมควร อะไรไม่สมควร เกมก็มีตั้งหลายแบบ ลูกรู้จักเลือกเล่น และแบ่งเวลาเป็น การเล่นเกมบางอย่างก็เป็นเรื่องของการฝึกความคิด ถ้าไม่เล่นเกมบ้างเลยก็ไม่ทันเพื่อน เวลาเพื่อนๆคุยอะไรกันก็ไปร่วมคุยด้วยไม่ได้ แม่คอยดูที่ผลการเรียนซิ ถ้าผลการเรียนไม่เอาไหน แม่ค่อยมาพูด แต่ถ้าผลการเรียนยังดีอยู่ แม่ก็ไม่เห็นต้องห่วงอะไร”
ส่วนลูกแจ๊คบอกว่า
“แม่จำตอนที่แจ๊คอยู่ปีหนึ่ง แล้วพวกพี่ๆพาไปเลี้ยงรับน้องที่ต่างจังหวัดได้มั้ย”
ดิฉันพยักหน้าว่าจำได้ ลูกจึงพูดต่อไปว่า
“คืนนั้นแจ๊คถูกพวกพี่มอมเหล้า จนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกินไปมากเท่าไหร่และทำอะไรไปบ้าง พอตื่นเช้าขึ้นมา ถามใครว่าเมื่อคืนแจ๊คทำอะไรไปบ้าง ก็ไม่มีใครยอมบอก ได้แต่หัวเราะกันสนุกสนาน แจ๊คกลัวมากเลย กลัวว่าตัวเองต้องทำอะไรที่ไม่ดีไปแน่ๆ จึงไม่มีใครยอมบอก ตั้งแต่นั้นมาแจ๊คก็ระวังตัวเองให้มีสติรู้ตัวตลอด ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ถึงจะกินเหล้า แจ๊คก็จะรู้ตัวว่าแค่ไหนควรหยุด แจ๊คก็จะหยุดทันที เรื่องเกมก็เหมือนกัน แจ๊คก็เล่นแบบมีสติ ไม่ได้หลงใหลจนเรื่องเรียนเสียหาย พอเรียนหนักๆงานมากๆแจ๊คก็จะหยุดเกมทั้งหมด พอการเรียนเบาลงแจ๊คก็จะเล่นเกม ถือเป็นการรีแล็กซ์ไปในตัว ต่อไปนี้แม่ไม่ต้องพูดเรื่องเกมอีกแล้ว ตอนแจ๊คกับโจ๊กยังเด็กอยู่ แม่ก็สอนมามากแล้ว ตอนนี้โตๆกันแล้ว ทุกคนมีความคิดของตัวเอง แม่เลิกห่วงได้แล้ว”
ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่เคยพูดเรื่องเกมกับลูกคนโตทั้งสองอีกเลย ส่วนเจ้าตัวเล็ก ดิฉันก็มอบหมายให้พี่เขาเป็นผู้เลือกเกมและดูแลเวลาการเล่นเกมให้น้อง พี่ๆเขาก็ใช้มาตรการเดิมที่แม่เคยใช้มาใช้กับน้องเล็ก ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เป็นเวลาที่พี่ๆน้องๆจะสนุกกับเกมกันเต็มที่ แต่น้องเล็กต้องนอนไม่เกินสี่ทุ่ม พี่ๆเขาจะเป็นผู้สั่งให้น้องขึ้นนอนเอง และให้เหตุผลกับน้องว่า เป็นเด็กห้ามนอนดึก ต้องนอนมากๆจึงจะเป็นเด็กฉลาด
ถ้าคุณๆจะถามดิฉันว่า
“ทุกวันนี้ ลูกๆคุณยังเล่นเกมกันอยู่หรือเปล่า”
คำตอบคือ
“เล่นกันทั้งบ้าน ทั้งคุณพ่อและคุณลูก”
“แล้วคุณรู้สึกยังไงบ้าง”
คำตอบคือ
“ก็ย้อนกลับไปอ่านคำพูดของลูกทั้งสองคน หลายๆเที่ยว แล้วทำใจนิ่งๆ”
Leave a Reply