5. เรื่อง“บ้านเธอจนนักเรอะ!!”
คนเป็นพ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่า เมื่อลูกเริ่มโตพอที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้วนั้น สิ่งแรกที่คิดถึงคือ จะหาโรงเรียนดีๆที่ไหนให้ลูกได้เรียน การเลือกเฟ้นหาโรงเรียนที่ตนเองคิดว่าดีๆให้กับลูกนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคน ดีของบางคนคือต้องโรงเรียนฝรั่งเท่านั้น โดยวัดกันที่ค่าเทอมแพงๆ ดีของบางคนก็เน้นเรื่องภาษา ต้องอังกฤษล้วน ต้องมีครูฝรั่งและทั้งโรงเรียนต้องพูดแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น ดีของบางคนก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของครอบครัว ฯลฯ ซึ่งก็แล้วแต่พื้นฐานของแต่ละครอบครัว สำหรับในครอบครัวของดิฉันแล้ว ดีของเราคือ ใกล้บ้าน ราคาไม่แพงนัก ไม่เน้นภาษาอังกฤษ เผอิญมีโรงเรียนคริสต์อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด สอบถามราคาดูแล้วพอไหวกับภาวะเศรษฐกิจในครอบครัว ยังแถมได้ด้านภาษาเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่ลูกต้องสอบเข้าตั้งแต่ชั้นอนุบาล การเตรียมตัวลูกเพื่อเข้าเรียนของดิฉัน ก็ไม่ได้ส่งไปเรียนพิเศษที่ไหน สอนปากเปล่าเท่าที่คิดว่าเด็กอายุสามขวบน่าจะรู้อะไรและจำอะไรได้บ้าง เช่นต้องรู้ชื่อนามสกุลของตนเอง รู้ชื่อพ่อแม่ รู้จักนับเลขหนึ่งถึงสิบ รู้จักสีต่างๆ รู้จักสัตว์หลายๆชนิด ฯลฯ ดิฉันคิดว่าอันที่จริงทางโรงเรียนจะดูความกล้าแสดงออกของเด็กมากกว่า
ดิฉันยังจำได้ว่า ในวันที่พาลูกแจ๊คไปสอบนั้น ลูกมีอายุสองขวบสิบเดือน การสอบเป็นแบบปากเปล่า คุณครูจะขานชื่อเด็กตามหมายเลขสมัครสอบ เด็กคนไหนได้รับการเรียกชื่อ ต้องเข้าทางประตูด้านหลังห้องสอบ และเดินไปพบมาเซอร์ในชุดแม่ชีฝรั่งสีขาวที่นั่งรออยู่ด้านหน้าของห้อง เด็กต้องเดินเข้าไปเอง ผู้ปกครองเข้าไปด้วยไม่ได้ ดังนั้นมหกรรมการร้องไห้และฉุดดึงเสื้อผ้าของผู้ปกครอง รวมทั้งการผลักดันให้เด็กเดินเข้าห้องสอบให้ได้ ก็เกิดขึ้นกับเด็กกว่าครึ่ง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เมื่อดิฉันเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ชักหวั่นใจ เพราะเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กที่ไม่ยอมเข้าห้องสอบ และเด็กบางคนที่เดินเข้าไปได้เพียงครึ่งทางก็ร้องไห้จ้าวิ่งออกมา ทำเอาลูกแจ๊คชักหน้าเสีย เริ่มเข้ามากอดแข้งกอดขาดิฉันไว้แน่น ทั้งๆที่ยังไม่ได้ยินเสียงขานชื่อ ดิฉันเลยพาลูกแยกออกมาห่างๆ ถามลูกว่าจะเดินเข้าไปพบมาเซอร์คนเดียวได้ไหม เพราะคุณครูไม่ให้แม่เข้าไปด้วย ลูกสั่นศีรษะทันทีบอกว่าไม่ได้ เอาละซิชักยุ่งแล้ว เผอิญดิฉันนึกได้ว่า ในช่วงนั้นมีโฆษณาของนมข้นยี่ห้อหนึ่ง มีรายการชิงโชครถยนต์หลายคัน เวลาโฆษณาในทีวีเขาจะโชว์ภาพรถยนต์หลายคันสีสันสดใสสะดุดตา เวลาเห็นภาพในทีวี จะเห็นเป็นรถคันเล็กๆหลายคันเรียงกันน่ารักมาก ทุกครั้งที่ลูกแจ๊คเห็นโฆษณานี้จะต้องร้องขอให้แม่หรือป๊าซื้อรถเล็กๆให้เขา ได้การละ! ดิฉันคิดว่าคงต้องใช้วิธีติดสินบนลูกซะแล้ว จึงพูดกับลูกว่า
“แจ๊คหนูจำรถคันเล็กๆในทีวีได้มั้ย”
ลูกพยักหน้ารับบอกว่าจำได้ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“แล้วลูกอยากได้มั้ย”
“อยากได้” ลูกตอบทันที
“หนูอยากได้รถสีอะไรล่ะ” ดิฉันถามยิ้มๆชักใจชื้นขึ้นมาแล้ว
“สีแดง” ลูกตอบเสียงสดใส หน้าบาน
“เอาละแม่จะซื้อให้ แต่หนูต้องทำอย่างนี้นะ ประเดี๋ยวเวลาคุณครูเรียกชื่อหนูๆต้องเดินเข้าไปในห้องที่มีคุณครูแต่งชุดขาวๆมีผ้าคลุมหัวนั่งอยู่ หนูต้องเดินไปคนเดียวนะ แม่จะไม่เข้าไปด้วย”
“ทำไมแม่ไม่เข้าไปด้วยล่ะ” ลูกชายชักสีหน้าไม่ดี
“ก็คุณครูเขาไม่ให้แม่เข้าไปด้วย และคุณครูก็อยากรู้ด้วยว่าลูกเก่งหรือเปล่า จะขี้ร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิงหรือเปล่า หนูอยากได้รถสีแดงไม่ใช่หรือลูก” ลูกพยักหน้ารับ มีสีหน้าครุ่นคิด
“งั้นถ้าหนูอยากได้ หนูก็ต้องทำให้แม่เห็นว่าหนูเก่ง เดินเข้าไปคนเดียวก็ได้ แล้วไม่ร้องไห้ด้วย หนูทำได้มั้ย” ลูกพยักหน้ารับ สีหน้ามั่นใจมากขึ้น
“ดีมากลูก พอหนูเดินเข้าไปใกล้ๆคุณครูชุดขาวนะ หนูก็สวัสดีสวยๆ แล้วพอคุณครูถามอะไรหนูต้องตอบเสียงดังๆนะ ไหนลองตอบเสียงดังๆให้แม่ฟังก่อนซิ เอ้า! หนูชื่ออะไรครับ” ดิฉันเริ่มทดสอบลูก
“ชื่อแจ๊คครับ” ลูกตอบเสียงดัง
“ดีๆ ลูก แล้วชื่อจริงล่ะ”
“ชื่อเด็กชายบัณฑิตครับ” หลังจากนั้นดิฉันก็ซ้อมถามตอบกับลูกอีกหลายคำถาม จนมั่นใจว่าลูกไม่กลัวแล้ว จึงพาลูกไปนั่งที่หน้าห้องสอบเพื่อรอเรียกชื่อต่อไป เมื่อถึงคิวที่คุณครูมาเรียกชื่อของลูก ดิฉันกระซิบที่ข้างหูลูกย้ำเรื่องรถคันเล็กๆสีแดงอีกครั้ง ลูกพยักหน้าอย่างมั่นใจและเดินเข้าไปแบบไม่สะทกสะท้าน สักครู่คุณครูก็มาเรียกให้ดิฉันเข้าไปพบมาเซอร์ด้วยในขณะที่ลูกยังอยู่ในห้องสอบนั้น เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ดิฉันเห็นมาเซอร์นั่งกอดลูกแจ๊คส่งยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น เมื่อเดินเข้าไปสวัสดีและนั่งลงแล้ว มาเซอร์ก็ชมให้ฟังว่าลูกชายเก่งตอบได้ทุกคำถาม และซักถามดิฉันเรื่องการดูแลลูกเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ถามเรื่องเศรษฐกิจในครอบครัว เมื่อลามาเซอร์ออกมาทั้งแม่และลูกแล้ว ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นห้องสอบ ลูกแจ๊คทวงถามรถสีแดงทันที จนดิฉันต้องหัวเราะและบอกลูกว่าให้ไปถึงบ้านก่อนแล้วค่อยซื้อให้ ลูกก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร หนึ่งเดือนต่อมาเมื่อประกาศผลสอบ ปรากฏว่าลูกแจ๊คสอบได้เข้าเรียนในโรงเรียนนี้
สองปีต่อมาถึงคิวลูกชายคนที่สองคือลูกโจ๊ก อายุได้เกณฑ์เข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง เราตกลงกันให้ลูกเข้าโรงเรียนเดียวกัน การจะเข้าเรียนก็ยังคงต้องสอบเหมือนเดิม คราวนี้คุณพ่อเป็นคนพาไป เธอกลับมาเล่าให้ฟังว่า ลูกร้องไห้กอดคอแน่นเรียกให้กลับบ้านท่าเดียว มาเซอร์ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ ผลสุดท้ายต้องยอมแพ้ แต่เมื่อมาเซอร์รู้ว่ามีลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้แล้วหนึ่งคน ก็บอกให้พามาใหม่ในวันมอบตัว ตกลงลูกเลยได้เรียนโรงเรียนเดียวกันทั้งสองคน ซึ่งสะดวกแก่ดิฉันในการไปรับส่งลูกพร้อมกัน
เนื่องจากเป็นเด็กเล็กทางโรงเรียนจึงต้องจัดอาหารกลางวันให้เด็กได้รับประทานด้วย ดิฉันจึงให้เงินลูกไปโรงเรียนวันละห้าบาท(พ.ศ.2533) ตั้งแต่ชั้นอนุบาลหนึ่งถึงอนุบาลสาม เมื่อลูกขึ้นเรียนชั้นประถมหนึ่งดิฉันเพิ่มเงินให้ลูกอีกหนึ่งบาทเป็นหกบาทและบอกลูกว่า ถ้าลูกคนไหนขยันเรียนสอบได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจะได้เพิ่มสองบาท ปรากฏว่านายแจ๊คเรียนดี ได้เพิ่มปีละสองบาททุกปี ส่วนนายโจ๊กเรียนดีพอใช้ ไม่เคยได้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เลยได้เงินเพิ่มปีละหนึ่งบาท ดังนั้นเมื่อลูกขึ้นเรียนชั้น ป.2 จึงได้ค่าขนมไปโรงเรียนวันละเจ็ดบาทตามกติกา(ของแม่) เหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติได้สักสองเดือน ลูกโจ๊กก็เริ่มมาขอเงินค่าขนมเพิ่มเป็นสิบบาท ดิฉันบอกลูกว่าให้ไม่ได้ ถ้าลูกอยากได้เงินเพิ่มต้องขยันอ่านหนังสือเรียนให้เก่ง แล้วจะได้เงินเพิ่มเหมือนพี่แจ๊ค ลูกก็คอตกเงียบไป วันรุ่งขึ้นลูกมาขอเงินเพิ่มเป็นสิบบาทอีก ดิฉันก็พูดกับลูกเหมือนเดิม ลูกก็นิ่งไปอีก เช้าวันที่สามหลังกินอาหารเช้ากันแล้ว ก่อนไปโรงเรียนดิฉันก็หยิบเงินค่าขนมจ่ายให้ลูกตามปกติ นายแจ๊คได้เงินแล้วก็วิ่งลงไปรอที่รถ ส่วนนายโจ๊กไม่ยอมรับเงิน บอกว่าจะเอาแบงค์เขียว(ยี่สิบบาท) ดิฉันจึงถามลูกว่า
“ทำไมหนูจะเอาแบงค์เขียว ก็ค่าขนมของหนูมันเจ็ดบาทเองนี่”
“ถ้าแม่ไม่ให้แบงค์เขียว โจ๊กจะไม่ไปโรงเรียน” ว่าแล้วลูกก็เอาสองมือโอบกอดเสาบันไดไว้แน่น กะว่าถ้าแม่มาเอาตัวไปให้ได้ คงต้องยื้อยุดกันสุดฤทธิ์ ดิฉันก็ชักงงว่าวันนี้ลูกเป็นอะไรไป จึงถามลูกอีกว่า
“ทำไมหนูถึงจะเอาแบงค์เขียว”
“ก็เพื่อนโจ๊กเขาบอกว่า บ้านเธอจนนักเรอะ ถึงเอาเงินมาโรงเรียนวันละเจ็ดบาท”
“อ้อ! แล้วเพื่อนหนูเขาเอาเงินไปโรงเรียนวันละเท่าไรล่ะ”
“เขาเอาแบงค์แดงไป เขาบอกว่าบ้านเขารวย แม่เขาเลยให้เขาใช้แบงค์แดงทุกวัน”
ดิฉันนั่งลงที่พื้น แล้วพูดกับลูกว่า
“โจ๊กมานี่ซิลูก มาหาแม่หน่อย”
ลูกยังคงกอดเสาบันไดแน่น มองแม่อย่างงงๆว่าแม่จะมาไม้ไหน ดิฉันจึงกวักมือเรียกลูกและพูดเสียงนุ่มนวลลงอีกว่า
“มาลูก มานั่งตักแม่ แม่จะพูดอะไรให้หนูฟัง”
ลูกเดินเข้ามานั่งตัก ดิฉันเอามือโอบกอดลูกไว้และพูดว่า
“ไหนโจ๊กลองบอกแม่ซิ บ้านจนต้องเป็นยังไง แล้วบ้านรวยต้องเป็นยังไง”
“บ้านรวยก็ต้องมีทีวี มีวีดีโอ มีตู้เย็น มีห้องแอร์ มีรถยนต์หลายคัน แล้วก็มีบ้านหลังใหญ่ๆ”
“อ้อ! งั้นหนูดูซิบ้านเรามีอะไรบ้าง เอ้าเริ่มจากตู้เย็น มีกี่ตัว” ลูกเหลียวไปมองตู้เย็นที่อยู่ใกล้ๆกับที่เรานั่งกันอยู่
“มีสองตัว ตรงนี้อันนึง แล้วในห้องครัวอีกอันนึง”
“แล้วทีวีละ มีกี่เครื่อง มาเรามาช่วยกันนับ หนึ่งในห้องนั่งเล่น สองในห้องป๊า สาม………………ตกลงมีกี่เครื่อง”
“ มีห้าตัว”
“ที่นี้ก็ห้องแอร์ บ้านเรามีห้องแอร์กี่ห้อง” ดิฉันก็ถามลูกเรื่อยไปถึงเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ลูกคิดว่าต้องมีสิ่งเหล่านี้ให้มากๆ และครบครันจึงจะถือว่าบ้านรวย เมื่อนับกันจนหมดไปถึงเรื่องบ้านและรถยนต์แล้ว ดิฉันจึงถามลูกว่า
“ตกลงบ้านเราจนหรือรวย”
“บ้านเรารวยนะแม่ รวยกว่าบ้านเพื่อนโจ๊กอีก”
“นั่นซิ แล้วทำไมแม่ไม่ให้แบงค์แดงหนูไปโรงเรียนรู้มั้ย” ลูกสั่นศีรษะ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“ถ้าแม่ให้แบงค์แดงหนู แล้วหนูเอาไปซื้อขนมสิบเจ็ดบาท คนขายต้องทอนตังค์ให้หนูเท่าไร หนูรู้มั้ย”
ลูกนิ่งคิดอยู่สักครู่ สั่นศีรษะช้าๆเหมือนกำลังคิดบวกลบอยู่ในใจ แต่คิดไม่ออกจึงบอกว่าไม่รู้ ดิฉันได้ทีจึงพูดต่อไปว่า
“แล้วถ้าหนูเอาแบงค์แดงไปซื้อขนมสิบสี่บาท แล้วซื้อของเล่นอีกยี่สิบหกบาท แล้วซื้อของอื่นอีกสี่สิบเอ็ดบาท รวมกันสามอย่างเป็นเงินเท่าไร แล้วคนขายต้องทอนตังค์ให้เท่าไร หนูรู้มั้ย”
ลูกสั่นศีรษะไปมาอย่างรวดเร็ว ก็เด็กแค่ ป.2 ซื้อของตั้งหลายอย่างจะบวกลบเลขในใจได้อย่างไร ดิฉันจึงกอดลูกให้แน่นขึ้นแล้วกล่าวต่อไปว่า
“วันนี้หนูลองไปถามเพื่อนคนที่ได้แบงค์แดงนะลูกว่า เวลาที่เขาเอาแบงค์แดงไปซื้อขนม เขารู้มั้ยว่าคนขายต้องทอนตังค์คืนเขาเท่าไร และเขารู้หรือเปล่าว่าคนขายทอนตังค์ให้เขาครบหรือไม่ครบ” ลูกพยักหน้ารับมีสีหน้ามั่นหมายว่าต้องไปถามเพื่อนให้ได้
“แล้วถ้าลูกอยากได้แบงค์เขียวนะ แม่จะให้ก็ได้ แต่ลูกต้องท่องศัพท์ภาษาอังกฤษวันละห้าคำทุกวัน และต้องบวกลบเลขให้เก่งๆ เพื่อว่าเวลาเอาแบงค์เขียวหรือแบงค์แดงไปซื้อขนม จะได้รู้ว่าคนขายทอนตังค์ให้ถูกหรือผิด เอามั้ย”
ลูกพยักหน้ารับคำ มีสีหน้าสดชื่นขึ้น เราแม่ลูกลุกขึ้นและจูงมือกันลงบันไดไปขึ้นรถที่ลูกแจ๊คนั่งรออยู่ ลูกแจ๊คถามว่า แม่ทำอะไรอยู่จึงมาช้า ดิฉันเล่าให้ลูกฟังว่าแม่กับน้องคุยอะไรกันบ้าง เมื่อฟังจบแจ๊คก็หันไปบอกน้องให้ขยันเรียนก็จะได้ตังค์เยอะขึ้นเอง โจ๊กพยักหน้ารับไม่ได้พูดว่าอะไร
เย็นวันนั้นนายโจ๊กเล่าให้ฟังว่า เขาไปถามเพื่อนคนที่ได้แบงค์แดงแล้วว่า รู้หรือเปล่าว่าคนขายทอนตังค์ถูกหรือผิด เพื่อนบอกว่าไม่รู้หรอก แล้วแต่คนขายจะทอนให้ แล้วเพื่อนยังบอกอีกว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะยังเหลือตังค์พอซื้อของอื่นได้อีกตั้งหลายอย่าง คืนนั้นลูกเริ่มท่องศัพท์และให้ดิฉันตั้งโจทย์เลขให้หัดบวกลบหลายๆข้อ
หลายวันต่อมา ในตอนเย็นดิฉันไปรับลูกตามปกติ ขณะอยู่ในรถลูกโจ๊กเล่าให้ฟังว่า วันนี้คุณครูเก็บแบงค์ม่วงของเพื่อนคนหนึ่งไว้ และคืนให้เพื่อนในตอนเย็น ดิฉันถามลูกว่า ใช่เพื่อนคนที่ได้แบงค์แดงหรือเปล่า ลูกบอกว่าเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่คนที่ได้แบงค์แดง ดิฉันจึงถามต่อไปว่าคุณครูรู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนคนนี้มีแบงค์ม่วง
ลูกบอกว่าเพื่อนเอาออกมาอวด พอคุณครูเห็นก็เรียกเพื่อนคนนั้นมาถามว่า ทำไมเอาเงินมาโรงเรียนตั้งมาก เพื่อนเขาบอกว่าพ่อให้เอามา เพราะพ่อเขาบอกว่าที่บ้านมีเงินเยอะแยะใช้ไม่หมด
ให้ลูกเอาไปช่วยๆกันใช้หน่อย คุณครูเลยยึดเงินเขาไว้ แล้วให้ตังค์เขาสิบบาทสำหรับใช้ซื้อขนมก่อน
และคุณครูยังบอกกับเพื่อนคนนั้นว่า ให้ไปบอกคุณพ่อเขาว่า อย่าให้แบงค์ม่วงเขามาโรงเรียนอีก เพราะถ้าแบงค์ม่วงของนักเรียนหายไปแล้ว คุณครูจะเดือดร้อน เฮ้อ! ขอบคุณคุณพ่อของลูกเรา ที่มอบหน้าที่ให้แม่เป็นคนดูและจ่ายค่าขนมให้ลูก
Leave a Reply