4. “แม่! แจ๊คไม่อยากเป็นหมอ”

ใครที่มีลูกเรียนชั้น ม.6 ย่อมเข้าใจได้ดีว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความเครียดของทั้งพ่อแม่และลูก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ลูกจะต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเกือบทุกครอบครัวที่ลูกเรียนสายสามัญถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องผลักดันให้ลูกหลานของตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งให้ได้ ดังนั้นพอลูกเริ่มเรียนม.5-ม.6 ความเครียดก็เริ่มคืบคลานเข้ามาเป็นระยะๆ ฝ่ายลูกก็เริ่มดิ้นรนหาที่เรียนกวดวิชา ส่วนจะเรียนวิชาอะไรนั้นก็แล้วแต่ว่าพวกเขาอ่อนวิชาไหน และตั้งเป้าไว้ว่าจะสอบเข้าเรียนอะไร มหาวิทยาลัยใด ฝ่ายพ่อแม่ก็เริ่มเครียดในการหาเงินเพิ่มเพื่อให้ลูกไปเรียนกวดวิชา เครียดกลัวลูกสอบไม่ได้ เครียดกลัวลูกเสียใจ รวมทั้งเครียดกลัวว่าตัวเองจะขายขี้หน้าถ้าลูกสอบไม่ได้

ดิฉันยังจำได้ดีว่า ในปีพ.ศ.2515 ที่ดิฉันสอบเอนทรานซ์นั้น ดิฉันต้องสอบพร้อมกับพี่ชายซึ่งสอบเป็นรอบที่สอง ปรากฏว่าในปีนั้น ไม่มีใครสอบได้สักคน เพื่อนๆพ่อซึ่งมีลูกที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆได้ พากันมาคุยอวดเรื่องลูกของตน พร้อมกับปลอบใจพ่อดิฉันไปด้วย พ่อได้แต่ยิ้มแห้งๆไม่พูดว่ากระไร จำได้ว่าดิฉันร้องไห้เสียใจมาก ที่เสียใจนั้นมีสาเหตุเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้พ่ออับอายเพื่อนฝูง แต่พ่อกลับคิดว่าลูกเสียใจเพราะสอบไม่ได้ จึงปลอบใจดิฉันว่าอย่าร้องไห้ไปเลย ปีหน้าตั้งใจไปสอบใหม่ก็แล้วกัน ไอ้ที่แล้วไปก็ช่างมันเถอะ ดิฉันบอกพ่อว่าที่ร้องไห้ไม่ได้เสียใจว่าสอบไม่ได้ แต่เสียใจที่ทำให้พ่ออายเพื่อนและบอกว่า ถ้าพ่อให้โอกาสดิฉันก็จะตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ในปีหน้า พ่อพยักหน้ารับและไม่พูดว่าอย่างไรอีก ปีถัดไปดิฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐฯได้ เพราะขยันดูหนังสือทั้งปีจนน้ำหนักลดไปถึงห้ากิโลกรัม เพื่อนพ่อมาแสดงความยินดีกับพ่อ ส่วนพ่อก็ยิ้มหน้าบานอยู่หลายวัน

อันที่จริงเรื่องที่ดิฉันพูดมานั้น มันก็เกิดขึ้นกับแทบทุกครอบครัวและวนเวียนเป็นวัฏจักรมาอย่างนี้ทุกปี เมื่อลูกเริ่มเรียนชั้นมัธยม ดิฉันเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ถ้าลูกมองตัวเองไม่ออก และไม่รู้ว่าตนเองจะเรียนอะไรดี จึงเริ่มคุยกับลูกเป็นระยะๆว่าโตขึ้นเขาอยากเป็นอะไร ชอบเรียนวิชาไหนมากน้อยอย่างไร แรกๆลูกก็ตอบไม่ถูกว่าเขาอยากจะเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น แต่เมื่อแม่ถามบ่อยครั้งเข้า และเตือนลูกเสมอว่าลูกต้องหัดคิดแล้วว่าตัวเองอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น ไม่อย่างนั้นลูกจะต้องเสียใจเหมือนแม่ที่เคยเป็นมาแล้ว และดิฉันก็เล่าเรื่องตัวเองที่สอบเอนทรานซ์ครั้งแรกไม่ได้ให้ลูกฟัง เขาก็เริ่มได้คิด เริ่มพิจารณาวิชาที่ตนเองเรียนอยู่ และเริ่มบอกได้ว่าเขาอยากเป็นอะไรและไม่ชอบทำอะไรเมื่อเขาโตขึ้น

เนื่องจากครอบครัวเรามีธุรกิจของตนเอง มีคนงานเกือบสองร้อยคน ในครอบครัวคนจีนถือว่าลูกชายคนโตคือทายาทของตระกูลที่จะต้องสืบทอดธุรกิจ ดังนั้นเมื่อลูกแจ๊คเริ่มย่างเข้าวัยรุ่น ใครๆจึงคาดหวังว่าลูกจะต้องมารับช่วงธุรกิจต่อจากคุณพ่อ รวมทั้งคุณพ่อของลูกเองก็คิดเช่นนั้น จึงพยายามให้ลูกเข้าศึกษางานในบริษัทฯ แต่ลูกกลับปฏิเสธและบอกพ่อกับแม่ว่า ลูกไม่ชอบงานที่พ่อกับแม่กำลังทำอยู่ ไม่ชอบความวุ่นวายที่จะต้องยุ่งกับผู้คนจำนวนมากเกือบตลอดเวลาอย่างนี้ ดิฉันจึงถามลูกว่า แล้วลูกอยากทำอะไรเมื่อโตขึ้น ลูกบอกว่าอยากทำงานอะไรก็ได้ที่เป็นงานสบายๆ ใช้ความคิดของตัวเอง ทำงานคนเดียวในห้องทำงานใหญ่ๆ ไม่ต้องยุ่งกับใคร และได้เงินเยอะๆ ดิฉันเลยถามลูกต่อไปว่า งั้นธุรกิจของครอบครัวเราจะทำยังไงถ้าไม่มีคนช่วย เมื่อพ่อแม่แก่แล้ว ลูกตอบมาง่ายๆว่าก็ยกให้น้องโจ๊ก หลังจากนั้นไม่ว่าดิฉันจะถามลูกว่าอยากเป็นอะไร ลูกก็ยังตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง

เมื่อลูกเรียนถึงชั้น ม.6 วัฏจักรความเครียดก็เริ่มเข้ามาเยือนครอบครัวเรา เหมือนครอบครัวอื่นๆ ความจริงดิฉันเองไม่ได้กังวลเลยสักนิดว่าลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ เพราะลูกเรียนหนังสือได้ค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว และดิฉันก็ไม่เคยกำหนดว่า ลูกต้องสอบติดมหาวิทยาลัยดังๆที่เขาแย่งกัน เมื่อลูกเรียนสายวิทยาศาสตร์ เขาจึงตั้งใจว่าจะเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ เพราะพิจารณาแล้วว่า เมื่อจบออกมาเขาจะได้ทำงานตามที่ใฝ่ฝันไว้ อันที่จริงวิชาที่ลูกจะเลือกเรียนนั้น ก็มีการเปิดสอนในมหาวิทยาลัยของรัฐฯหลายแห่ง แต่ความที่ลูกเรียนดี ถือเป็นเด็กแถวหน้าของโรงเรียน จึงถูกคาดหวังจากครูอาจารย์และเพื่อนๆที่โรงเรียนว่า ต้องติดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแน่นอน ลูกจึงขวนขวายหาที่เรียนกวดวิชาเฉพาะที่มีการสอนแบบเจาะลึกหลายแห่ง

ลูกดูหนังสือหนักมากตลอดทั้งปี ตั้งแต่ภาคปลายของชั้นม.5 ช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ไปกวดวิชา และดูหนังสือตลอด ดิฉันเริ่มมาสังเกตเห็นความเครียดของลูกก็เมื่อเขาเรียนภาคแรกของชั้นม.6 ควบไปกับการกวดวิชาตอนค่ำที่สถาบันกวดวิชาที่เป็นที่นิยมของนักเรียนชั้นมัธยมทั้งหลาย ยิ่งใกล้การสอบรอบแรกในเดือนตุลาคมมากเท่าไร ลูกก็ยิ่งเร่งดูหนังสือหนักขึ้น และฝึกทำข้อสอบย้อนหลังทุกวิชาที่ต้องสอบ เพื่อวัดผลคะแนนตัวเอง และคอยแจ้งให้ดิฉันทราบถึงคะแนนที่เขาทำได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันก็คอยให้กำลังใจลูก แต่ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าลูกหงุดหงิดง่าย และมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา คืนวันหนึ่งเวลาประมาณหนึ่งนาฬิกา ดิฉันลุกมาเข้าห้องน้ำเห็นไฟในห้องลูกเปิดอยู่ จึงเดินเข้าไปดู เห็นลูกก้มหน้าก้มตาดูหนังสือ ดิฉันจึงเตือนลูกให้นอนได้แล้ว เพราะดึกมากแล้ว ในขณะที่ลูกเงยหน้าขึ้นมองนั้น ดิฉันใจหายวาบทันที เพราะตาลูกหรี่ปรือ หน้าตาร่วงโรยเหมือนคนอดนอนมาหลายๆคืนติดๆกัน ดิฉันบอกให้ลูกหยุดดูหนังสือและให้นอนทันที ลูกรับคำและบอกว่าดูหนังสือใกล้จะจบตอนแล้ว เหลืออีกนิดเดียวก็จะเข้านอน ดิฉันกลับไปที่ห้องนอนตัวเองด้วยความกังวลใจอย่างมาก และคิดว่าคงต้องคุยกับลูกแล้วว่าทำไมถึงคร่ำเคร่งขนาดนี้ หน้าตาแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ลูกต้องไปเรียนกวดวิชาในที่ไกลจากบ้านมาก ดิฉันรับอาสาไปส่งลูก วันนี้ถนนค่อนข้างโล่ง ขับรถได้อย่างสบายๆ ในขณะที่รถเริ่มเคลื่อนดิฉันถามลูกว่า

“แจ๊คลูกคิดไว้หรือยังว่าจะสอบเข้าเรียนอะไร และเลือกอันดับของมหาวิทยาลัยแบบไหน”

“คิดไว้แล้วแม่ ก็วิศวคอมจุฬาฯ อันดับแรก อันดับที่สองก็วิศว์ฯทั่วไปของจุฬาฯ อันดับสามกับสี่เป็นวิศวคอมฯเหมือนกัน แจ๊คยังไม่ได้เลือกว่าจะเอามหาวิทยาลัยไหน” ลูกตอบมาเสียงหนักแน่น

“แล้วหนูอยากเรียนมหาวิทยาลัยไหนละ”

“ก็จุฬาฯซิแม่” ลูกตอบทันที

“ทำไมต้องเป็นจุฬาด้วยละ วิศวคอมฯที่อื่นเขาดีสู้จุฬาฯไม่ได้เหรอ” ดิฉันถามต่อ

“ก็คะแนนสอบเข้าจุฬาฯสูงสุดแล้ว ที่อื่นคะแนนต่ำกว่าทั้งนั้น จะดีสู้จุฬาฯได้ยังไง และพวกเพื่อนๆแจ๊คก็เลือกจุฬาฯทั้งนั้น ถ้าแจ๊คไม่ติดจุฬาฯก็อายเขาตาย”

“ทำไมต้องอายด้วยละ” ลูกนิ่งไม่ตอบ ดิฉันรออยู่ชั่วครู่เมื่อเห็นลูกไม่ตอบ จึงพูดต่อไปว่า

“งั้นที่หนูคร่ำเคร่งดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำ ก็เพราะอยากจะติดจุฬาฯให้ได้ใช่มั้ย” ลูกพยักหน้ารับ ไม่ตอบว่าอะไร

“แจ๊คแม่จะบอกอะไรให้นะ แม่กับป๊าเป็นเด็กต่างจังหวัดทั้งสองคน จบชั้นมัธยมที่บ้านนอก แล้วเข้ามาสอบในกรุงเทพฯ ติดมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่จุฬาฯทั้งสองคน เราก็ช่วยกันทำมาหากินจนมีธุรกิจแบบที่ลูกเห็นอยู่ แล้วดูอย่างน้าต๊อบสิ จบมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดแท้ๆ เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯแค่สองปี ทำงานด้านคอมพิวเตอร์เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เงินเดือนตั้งสามหมื่นกว่า การเรียนมหาวิทยาลัยดังๆไม่ใช่คำตอบนะลูก และที่สำคัญคือแม่ไม่อายนะและไม่เสียใจด้วย ไม่ว่าลูกจะสอบเอนทรานซ์ได้หรือไม่ได้ เพราะแม่รู้ว่าลูกตั้งใจเรียนดีมาโดยตลอด อีกอย่างคือแม่รักลูก ไม่ว่าหนูจะสอบติดจุฬาหรือติดมหาวิทยาลัยไหน ก็ไม่ทำให้แม่รักหนูมากขึ้นหรือน้อยลง ไม่ใช่ว่าหนูติดจุฬาฯแล้ว แม่จะรักลูกมากกว่าสอบติด ม.เกษตรฯ หรือสอบติดลาดกระบัง หนูจะสอบติดที่ไหน หรือสอบไม่ติดเลย แม่ก็รักลูกเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่แม่จะเสียใจมากกว่าถ้าลูกเจ็บป่วยเป็นอะไรไป เพราะมุ่งมั่นที่จะต้องติดจุฬาฯให้ได้ และเคร่งเครียดขนาดนี้ ลูกเข้าใจที่แม่พูดมั้ย”

“ครับแม่” ลูกรับคำด้วยเสียงที่แช่มชื่นขึ้น สีหน้าคลายความเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่วันนั้นมาลูกแจ่มใสขึ้นมาก และดูหนังสือแบบสบายๆ ไม่เคร่งเครียดอีกเลย จนกระทั่งถึงวันที่ลูกสอบเอนทรานซ์รอบแรกในเดือนตุลาคม ลูกยังคงสดชื่นและไม่แสดงความตื่นเต้นมากมายอะไร ดิฉันเองก็ไม่ได้เอาใจลูกเป็นพิเศษแต่อย่างใด ผลคะแนนของลูกออกมาค่อนข้างสูง ซึ่งลูกสามารถที่จะเลือกเรียนคณะอะไรหรือมหาวิทยาลัยใดก็ได้อย่างสบาย เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น ปรากฏว่าพอผลคะแนนลูกออกมาแล้ว คุณพ่อของลูกก็สั่งให้ลูกเลือกเรียนคณะแพทย์ ตอนที่พ่อลูกคุยกัน ดิฉันไม่ได้อยู่ด้วย ประมาณหนึ่งเดือนหลังการประกาศคะแนนสอบลูกมาบอกดิฉันว่า

“แม่! ป๊าจะให้แจ๊คเลือกเรียนหมอ” เมื่อได้ยินลูกพูดดังนั้น ดิฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ด้วยไม่คิดว่าคุณพ่อจะพูดกับลูกเช่นนั้น จึงถามลูกกลับไปว่า

“แล้วหนูคิดยังไงละ”

“แจ๊คก็ยังไม่รู้จะเอายังไงดี แม่ว่าแจ๊คน่าจะเรียนอะไรดีล่ะ” เสียงลูกบอกความลังเลเต็มที่

“ก็หนูชอบเป็นหมอหรือเปล่าล่ะ”

แม่! แจ๊คไม่อยากเป็นหมอ แต่แจ๊คกลัวป๊าว่า” เสียงลูกอ่อนอ่อย ดิฉันจึงพูดกับลูกว่า

“แจ๊คฟังแม่นะ แม่จะบอกหนูนะว่า ชีวิตเป็นของหนู หนูต้องเลือกทางเดินของตัวเอง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หนูก็ต้องเลือกของหนูเอง แต่มีเหตุผลสามข้อที่แม่จะเตือนให้หนูคิดก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเรียนอะไรคือ

หนึ่ง อย่าเลือกเรียนเพราะพวกเพื่อนๆเขาเลือกกันทั้งนั้น

สอง อย่าเลือกเรียนเพราะต้องการคำชมว่าเก่ง สอบได้คณะที่มีคะแนนสอบสูง คนสอบเข้ายาก

สาม อย่าเลือกเรียนเพราะพ่อแม่อยากให้เรียน หรืออยากให้เป็น

แต่ลูกต้องเลือกเรียนเพราะลูกอยากจะเรียน และรักที่จะเรียน และให้คิดว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะทำงานแบบไหน ชอบงานที่ทำหรือเปล่า และถ้าทำงานนั้นๆสักสองปีแล้วลูกยังจะชอบอยู่มั้ย ถ้าทำสักห้าปีแล้วจะก้าวหน้าหรือเปล่า เข้าใจมั้ยลูก ทีนี้ลูกก็ตัดสินใจเลือกเองได้แล้วนะ”

“ครับแม่ ขอบคุณครับ”

หลังจากการสอบรอบที่สองในเดือนมีนาคม คะแนนสอบของลูกเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ลูกจึงเลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่เขาชอบเป็นอันดับหนึ่ง และเลือกมหาวิทยาลัยอื่นเผื่อสำรองอีกสามแห่ง ซึ่งก็ได้รับคัดเลือกเข้าเรียนตามที่ลูกต้องการ คุณพ่อเองไม่ได้คัดค้านอะไร ดิฉันคิดว่าลูกคงทำความเข้าใจกับคุณพ่อเขาเป็นที่เรียบร้อยก่อนแล้ว