1. “แม่ครับ! ผมอยากได้…..”
ในโลกแห่งวัตถุนิยมและการแข่งขันกันโฆษณาที่ค่อนข้างสูงเช่นยุคปัจจุบันนี้ คุณแม่เกือบทุกคน คงต้องได้ยินคำพูดร้องขอนั่นขอนี่จากลูกๆกันมาแล้ว ไม่มากก็น้อย พ่อแม่หลายคนมักปฏิเสธลูกไม่ได้ เมื่อลูกอยากได้อะไรก็ตาม มักอ้างว่าเพื่อนๆมีของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าตนไม่มีเท่าเทียมหรือมากกว่าก็จะน้อยหน้าเพื่อนฝูง แทบว่าจะต้องถูกตัดขาดจากกลุ่มเพื่อนไปเลย และด้วยความคิดของบรรดาพ่อแม่มากมายในยุคโลกาภิวัตน์ ที่คิดว่าถ้ารักลูก การสนองความต้องการของลูกๆคือสิ่งที่พ่อแม่สมควรต้องกระทำ จึงต่างพากเพียรขวนขวายทำงานหนักมากขึ้น หาทรัพย์ให้ได้มากขึ้นในทุกวิถีทาง เพื่อสนองทั้งสิ่งที่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวคิดว่าต้องได้ ต้องมี ลูกๆของดิฉันเองก็ไม่ต่างกับลูกๆของคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆ ที่มักจะร้องขอในสิ่งที่เพื่อนๆมีกันแล้วเช่นกัน ดังเรื่องที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไป
ทุกเช้าหลังจากไปส่งจ๊อบลูกชายคนเล็กอายุห้าขวบที่โรงเรียนแล้ว ดิฉันก็จะเลยไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ดิฉันจะใช้เวลาออกกำลังกายเกือบสองชั่วโมงทุกเช้า และจะกลับถึงบ้านประมาณเก้านาฬิกาเป็นประจำทุกวัน เช้าวันนั้นก็เช่นกัน เมื่อเดินเข้าบ้าน แจ๊คลูกชายคนโตอายุ16ปี กำลังนั่งดูทีวี ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ โรงเรียนเด็กโตและเด็กเล็กเปิดไม่พร้อมกัน เมื่อลูกเห็นหน้ายกมือไหว้สวัสดีแล้วก็พูดขึ้นทันที
“แม่ครับ แม่จะออกไปไหนหรือเปล่า”
“มีอะไรล่ะ” ดิฉันถามลูก
“แจ๊คจะไปซ้อมบาสฯที่โรงเรียน ถ้าแม่จะออกไป แจ๊คจะติดรถไปด้วย”
“หนูจะซ้อมบาสฯกี่โมง”
“ซ้อมช่วงบ่าย แต่แจ๊คจะไปโรงเรียนก่อน นัดเพื่อนไว้หลายคน”
“นัดเพื่อนทำอะไรกัน” ถามตามประสาแม่ที่ต้องมีคำถามเสมอ
“นัดคุยกัน”
“อ้อ! ดี” อุทานตามประสาแม่อีกเช่นเคย
“งั้นให้แม่อาบน้ำกินข้าวก่อนแล้วค่อยไปได้มั้ย”
“ครับ” ลูกรับคำและนั่งดูทีวีรอ
ดิฉันไม่ห้ามลูก เพราะรู้จักเพื่อนลูกเกือบทุกคน และลูกเรียนหนังสือค่อนข้างดี อย่างเรื่องเล่นบาสเก็ตบอลก็เหมือนกัน เมื่อลูกสอบเข้าชั้นมัธยมปีที่หนึ่งของโรงเรียนที่ค่อนข้างดังในย่านลาดพร้าวได้แล้ว ดิฉันบอกลูกว่า ให้ลูกเลือกกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างเล่นกีฬาและเรียนดนตรี ด้วยหมายใจว่า ถ้าลูกมีกิจกรรมที่ตนชอบแล้ว ก็จะไม่มั่วสุมในเรื่องยาเสพย์ติด หรืออบายมุขอื่นๆ หลายครั้งที่ลูกขอให้ไปรับเมื่อซ้อมบาสฯจนเย็นมาก ดิฉันพยายามไปให้ได้ทุกครั้ง แม้ลูกจะขอให้ไปส่งเพื่อนที่บ้านในย่านใกล้เคียง ดิฉันก็ไม่เคยปฏิเสธ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้รู้จักบ้าน และพ่อแม่ของเพื่อนๆลูก เพราะทำให้เราประเมินได้ว่าลูกเลือกคบเพื่อนแบบไหน รวมทั้งเรื่องที่เด็กๆคุยกันในระหว่างที่เราขับรถให้ เราก็ได้รับรู้ความคิดอ่านของเด็กไปด้วย ดังนั้นจึงมีบ่อยๆที่ผู้พบเห็นจะยืนยิ้ม เมื่อเด็กนักเรียนชายตัวโตๆ อัดกันเข้าไปในรถครั้งละ 6 – 7 คน จนรถไหวยวบ หน้ารถแอ่นเชิด
“เอ้า! แม่เรียบร้อยแล้ว จะไปหรือยัง” ดิฉันเรียกลูกเมื่อพร้อมแล้ว
“ครับ” ลูกรับคำ ปิดทีวี และเดินไปขึ้นรถ
ดิฉันไม่ค่อยปฏิเสธเวลาลูกขอให้ไปรับไปส่งที่โรงเรียน เพราะเวลาที่นั่งอยู่ในรถเป็นเวลาที่เราจะคุยกันได้มากในทุกๆเรื่อง เมื่อลูกยังเล็กๆอยู่ ดิฉันจะขับรถไปรับส่งลูกทุกเช้าเย็น และถือว่าเวลานั้นเป็นเวลาที่มีค่ามาก ที่จะได้พูดคุยซักถามเรื่องที่โรงเรียนของลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครู ลูกก็จะเอามาเล่าให้ฟังตามที่เขาอยากจะพูด แม้จะอบรมสั่งสอนเรื่องอะไร ก็จะใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่นั่งกันอยู่ในรถให้เป็นประโยชน์ ทั้งนี้เพราะดิฉันรู้ดีว่า ถ้าเข้าบ้านแล้ว การบ้าน ทีวี อาหาร ของเล่น เกมฯลฯ จะดึงความสนใจของลูกไปหมด ลูกจะไม่สนใจฟังแม่พูดไม่ว่าเรื่องใดๆทั้งสิ้น การเปิดเครื่องเสียงในรถก็เช่นกัน ถ้าไม่มีเรื่องคุยกันมาก การเปิดวิทยุหรือเทปคาสเซต ดิฉันจะเลือกเปิดเทปนิทานธรรมะ นิทานชาดก หรือการเทศนาธรรมที่สนุกๆ อย่างของท่านหลวงพ่อพระพะยอมเป็นต้น บางครั้งลูกๆขอให้เปิดเพลงฟังบ้าง ดิฉันก็จะบอกว่า แม่ฟังเพลงแล้วขับรถไม่ได้ จะง่วงนอน แต่ถ้าฟังธรรมะแล้วจะตาสว่าง ขับรถปลอดภัย ลูกๆค้านกันสองสามครั้ง ดิฉันจึงบอกว่า อีกหน่อยลูกขับรถได้ ลูกจะเปิดฟังอะไรในรถ ก็ทำได้แม่จะไม่คัดค้าน ภายหลังลูกเริ่มชอบฟังธรรมะตามโดยไม่รู้ตัว
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เราแม่ลูกคุยกันสัพเพเหระ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่โรงเรียนของลูก เมื่อรถติดไฟแดงที่สามแยกใกล้บ้าน ลูกก็พูดขึ้นว่า
“แม่ แม่รู้จักอาดี…ดา..ส มั้ย?”
“เสื้อหรือรองเท้าล่ะ” ดิฉันถาม
“แม่รู้จักด้วยเหรอ” ลูกอุทาน
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงคิดว่าแม่ไม่รู้จัก” ดิฉันถามลูกยิ้มๆ
“เปล่า แจ๊คไม่คิดว่าแม่จะรู้จัก” ลูกตอบด้วยคำที่เป็นวัฒนธรรมการพูดของคนสมัยนี้คือ “เปล่า” ไว้ก่อนในทุกเรื่อง ด้วยใบหน้าที่เขินๆ
“เห็นว่าแม่แก่แล้ว ไม่น่าจะรู้จักเหรอ สินค้ายี่ห้อนี้มีมาตั้งแต่สมัยแม่เป็นวัยรุ่นแล้ว เดี๋ยวนี้น่าจะราคาเป็นพันแล้วมั่ง เพื่อนหนูใครมีล่ะ เสื้อหรือรองเท้า” ดิฉันอธิบายพร้อมกับถามลูกไปด้วย
“ไอ้เตยมีทั้งเสื้อกับรองเท้า” ลูกเอ่ยชื่อเพื่อนคนหนึ่ง(นามสมมติ)
“ราคาเท่าไรล่ะ ทั้งเสื้อ ทั้งรองเท้า” ดิฉันถามพร้อมกับออกรถเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว
“รองเท้าสองพันกว่า เสื้อพันกว่า” ลูกตอบ
“อือ! สองอย่างตั้งเกือบห้าพันบาท แม่เพื่อนหนูเขาทำงานอะไรเหรอ”
“ก็ทำงานบริษัท แม่ถามทำไม” ลูกถามดิฉันด้วยความสงสัย
“เปล่า” ดิฉันก็ตอบด้วยคำยอดนิยมเช่นกัน
“แล้วเขามีพี่น้องกี่คนละ”
“มีน้องอีกสองคน ถามทำไมล่ะแม่” ลูกสงสัยมากขึ้น
“ถ้าแม่เพื่อนหนูเขาทำงานได้เงินเดือนๆละห้าพันบาทหรือมากกว่านิดหน่อย แต่ต้องเจียดเงินค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ มาซื้อเสื้อกับรองเท้าราคาแพงๆให้เพื่อนหนู แม่เขาก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น อาจต้องทำงานหารายได้พิเศษ เพื่อหาเงินมาให้พอค่าข้าวกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน น่าสงสารคุณแม่เพื่อนหนูจังเลย”
จบคำพูดของดิฉัน ลูกนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เรานิ่งกันชั่วครู่ใหญ่ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า
“สมัยแม่เป็นเด็กวัยรุ่น แม่ก็อยากได้สินค้าแบรนด์เนมเหมือนเพื่อนคนอื่นๆเหมือนกัน แต่แม่เกรงใจอากุง (คุณตาของลูก) เพราะอากุงมีลูกหลายคน ถ้าซื้อของแพงให้ลูกคนหนึ่งก็ต้องซื้อให้ลูกคนอื่นๆด้วย และอากุงก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น ในตอนนั้นแม่เลยคิดว่าเอาไว้เมื่อไรที่แม่โตขึ้น ทำงานมีเงินมากพอแล้ว ค่อยเอาเงินน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมาซื้อดีกว่า ภูมิใจดีด้วย” จบคำพูด ดิฉันนิ่งไปชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าลูกไม่พูดอะไรต่ออีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยจนถึงโรงเรียนของลูก
สองวันต่อมาเจ้าลูกชาย(คนเดิม) เข้ามาถามดิฉันว่า
“แม่ แม่รู้จักตลาดนัดจตุจักรมั้ย”
“รู้นิดหน่อย มีอะไรล่ะ”
“เพื่อนแจ๊คเขาชวนไปซื้อกางเกงยีนส์ Le….ปลอม ตัวละสี่ร้อยบาทเอง แม่จะให้แจ๊คซื้อหรือเปล่า” ลูกยืนรอคำตอบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
ดิฉันส่งแบงค์ห้าร้อยให้ลูกพร้อมกับร้อง
“เฮ้อ!” (อยู่ในใจ)
Leave a Reply