9. ฟื้นฟูร่างกาย

เมื่อหมอกำหนดวันกลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว ดิฉันก็ยังคงเดินออกกำลังกายภายในวอร์ดของโรงพยาบาล วันละ 3 รอบหลังอาหารเหมือนเดิม เดินได้มากขึ้น ถึงรอบละ 800 ก้าว ซึ่งเท่ากับ 500 เมตรหรือครึ่งกิโลเมตร ถ้ารวมทั้งวันนับว่าเดินได้วันละ 1.5 กิโลฯ การเดินภายหลังก็แค่ให้ลูกจับต้นแขนเพื่อกันสะดุด ไม่ต้องประคองไหล่เดิน และยังคงเดินเอามือไพล่หลัง ตอนหลังนี่ สามารถเอามือไพล่หลังได้สูงขึ้นจนถึงกลางหลัง เดินอกแอ่นเลยเชียว กลัวหลังโกงนะคะ อาการเจ็บแผลก็ลดน้อยลงมาก กินอาหารได้มากขึ้น กินหมดทั้งสามมื้อ จนพยาบาลแปลกใจ หลายครั้งที่เมื่อมองเห็นถาดอาหาร ก็จะแปลกใจ เหมือนไม่ยอมเชื่อ เพราะส่วนใหญ่แล้ว คนไข้หลังผ่าตัดมักกินอาหารไม่ลง ดิฉันเลยบอกเธอว่า ก็ป้าคิดว่าอาหารเป็นยาชนิดหนึ่ง แถมเป็นยาที่อร่อยด้วย เลยกินได้ไง เธอยิ้มและบอกว่า มิน่าคุณป้าถึงหายไว แข็งแรงไว

ในช่วงก่อนกลับบ้าน กลุ่ม ETnurse นัดว่าจะสอนวิธีเปลี่ยนแป้นหน้าท้อง ให้มีคนที่บ้านมาอยู่เรียนรู้ด้วยกัน ปกติลูกชายทั้งสามคนจะผลัดกันมานอนเฝ้า และอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล แล้วแต่ว่าใครจะว่างหรือไม่ว่างวันไหน เขาจะจัดคิวกันเองในระหว่างพี่น้อง พอดีวันนั้นเป็นคิวของลูกชายคนโต จึงมาร่วมดู ร่วมปฏิบัติการ และถ่ายเป็นคลิปวิดีโอไว้ในโทรศัพท์ เผื่อกันการหลงลืมในบางขั้นตอน เพราะสิ่งนี้คือสิ่งใหม่ ที่ทุกคนในครอบครัวยังไม่มีประสบการณ์ จึงต้องมีการถ่ายคลิปไว้เพื่อทบทวนและกันความผิดพลาด เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำเองโดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญ ดิฉันคงจะไม่ลงในรายละเอียดของการเปลี่ยนแป้นและถุงหน้าท้อง เนื่องจากว่า หากถึงเวลาจำเป็นที่บางท่านอาจต้องทำอย่างนี้ ท่านก็จะได้รับคำแนะนำสั่งสอนโดยตรง จากผู้ชำนาญการที่แท้จริงอยู่แล้ว

ก่อนกลับบ้าน 1 วัน คุณหมอท่านที่จะเป็นผู้รักษาต่อเนื่อง ด้วยการให้ยาเคมีบำบัด ได้มาแนะนำตัว ดิฉันคาดว่า คุณหมอเจ้าของไข้คงจะติดต่อไว้ให้ ท่านยังไม่แนะนำอะไรมาก นอกจากมานัดวัน และกล่าวถึงการให้ยา และผลของการให้ยาเคมีบำบัด ต่อไปจะเรียกว่า “คีโม” และยังได้ถามถึงคนในครอบครัวว่า มีใครเป็นมะเร็งบ้างมั้ย ดิฉันก็ตอบไปว่า มีคุณแม่เป็นมะเร็งปากมดลูก เสียชีวิตตั้งแต่อายุท่านได้ 38 ปีเท่านั้น น้องชายอีกสองคนที่เป็นมะเร็งตับและลำไส้ อีกคนเป็นที่ต่อมลูกหมากด้วย ตายเมื่ออายุห้าสิบกว่าทั้งคู่ ดิฉันถามคุณหมอว่า สาเหตุที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นเพราะโรคท้องผูกเรื้อรังหรือไม่ เพราะดิฉันเป็นโรคท้องผูกมาตั้งแต่เด็กจนถึงแก่ คุณหมอว่าไม่เกี่ยว ฟังจากประวัติแล้วเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์แน่ๆ พอคุณหมอตอบอย่างนี้ ดิฉันก็เข้าใจเลยว่า ทำไมเราไปรักษาด้วยวิธีของหมอเขียว และวิธีของวัดที่สุพรรณฯ จึงมีอาการหนักออกมาทุกครั้ง ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่รักษาหรือทำตามวิธีนั้นๆแล้ว ได้ผลดีกันโดยถ้วนหน้า ไม่มากก็น้อย….แต่ที่เราไม่หายหรือทุเลาลงก็เพราะ “วิบากกรรม” ของเราเองแท้ๆ พอจิตใจรับรู้แบบนี้ การยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดกับเรา ก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ไม่ว่าผลการรักษาจะออกมาแบบไหน จะหายหรือตาย ยืดเยื้อหรือเรื้อรัง เสมอกันหมด ไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้านี้และจะเกิดต่อไปนี้ กรรมกำหนดไว้แล้ว จากเหตุที่เราเคยก่อไว้ในอดีต

วันที่จะกลับบ้าน คุณหมอหลายท่านที่มีส่วนในการรักษาดิฉันมาร่ำลาและให้กำลังใจ คุณหมอทุกท่านชมว่าเก่งมาก เข้มแข็งอดทนมาก ทำให้แข็งแรงได้ไว ดิฉันก็ว่า ต้องขอบคุณหมอทุกท่าน เพราะการรักษาและคำแนะนำของทุกท่าน ล้วนเป็นประโยชน์ต่อดิฉันทั้งสิ้น ดิฉันถามคุณหมอเจ้าของไข้ว่า จะออกกำลังกายได้มั้ย ถ้าสามารถเดินได้เป็นปกติ คุณหมอว่าทำได้ แต่ต้องไม่เป็นการออกกำลังกายที่รุนแรง และเกร็งหน้าท้อง ดิฉันก็ว่า ตามปกติก็รำไท้เก๊ก ไม่รุนแรง ไปช้าๆเนิบๆ และยังถามต่อว่า นานแค่ไหนที่จะขับรถเองได้ คุณหมอตอบว่า ถ้าสามารถใช้เท้าขวาสลับไปเหยียบคันเร่งและเบรคได้อย่างคล่อง ไม่ฝืนไม่เจ็บแผล ก็สามารถขับรถได้ สำหรับเรื่องอาหาร เมื่อคุณหมอทราบว่า ปกติดิฉันกินอาหารมังสวิรัติ คุณหมอทำหน้าไม่เสบยนัก ดิฉันถามว่าทำไมหรือ คุณหมอพูดด้วยความเกรงใจว่า กลัวว่าโปรตีนจะไม่พอ ถ้ากินเนื้อสัตว์ได้ ก็จะช่วยได้มาก ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไว และแข็งแรง ดิฉันถามว่า เนื้อสัตว์ประเภทไหนบ้าง คุณหมอว่าได้ทุกประเภทไม่จำกัด ดิฉันรับปากคุณหมอทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง คุณหมอยิ้ม มีสีหน้าสบายใจขึ้น

อีกประโยคที่ประทับใจจากคุณหมอที่จะเป็นผู้สั่งยาคีโม คือ ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว อย่าทำตัวเป็นคนป่วย พยายามเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่าออกห่างจากสังคม ดิฉันปิ๊งมากกับคำพูดนี้ จำได้ไม่ลืมและตั้งใจที่จะทำอย่างที่คุณหมอบอก “อย่าทำตัวเป็นคนป่วย และอย่าออกห่างจากสังคม” เหล่าทีมพยาบาลET nurse ก็มาร่ำลาและทบทวนคำแนะนำเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าการลุกจากที่นอน ที่นั่ง การยืน การเดิน ห้ามยกของหนัก ห้ามทำอะไรก็ตามที่เป็นการเกร็งหน้าท้อง ห้ามเดินขึ้นลงบันได ฯลฯ

เนื่องจากมียาหลายชนิดที่ต้องกินหลังผ่าตัด เช่นยาแก้อักเสบแผล ยาแก้ปวด ยาแก้คัน ที่ต้องมียาแก้คันเพราะช่วงอยู่โรงพยาบาล เกิดอาการคันทั่วร่างกาย คงจำกันได้ที่เล่าให้ฟังตอนต้นว่า ดิฉันเกิดอาการคันเนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนัก อันเป็นผลจากมะเร็งระยะสี่ ที่ทำให้เม็ดเลือดขาวลดลงอย่างมาก เมื่อไปอยู่โรงพยาบาล อาการคันนั้นกลับมาอีก จึงเรียนให้คุณหมอเจ้าของไข้ทราบ วันรุ่งขึ้นคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ขึ้นมาแนะนำตัวที่ห้องพักสอบถามอาการและสั่งยาให้กิน เมื่อจะกลับบ้าน จึงต้องมียาแก้คันติดกลับมากินที่บ้านด้วย

กว่าจะได้กลับบ้านจริง ก็ตกเข้าไปช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน เป็นช่วงที่ลูกๆหยุดงานเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ กลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าแล้ว ดิฉันก็นอนหลับไปทันที แจ๊คและโจ๊กลูกชายสองคนโต แยกบ้านไปแล้ว เมื่อลูกหมดธุระ ส่งแม่เรียบร้อยแล้ว ก็กลับบ้านตนเองไป เหลือแต่ลูกชายคนเล็กที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยปีสี่อยู่กับแม่ ส่วนคุณพ่อต้องไปดูแลกิจการที่จังหวัดพิษณุโลก

เช้าวันรุ่งขึ้นดิฉันตื่นแต่เช้า ทำกิจวัตรส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ลูกชายคนเล็กขับรถพาไปกินโจ๊กที่ตลาดใกล้บ้าน อิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยอาหารในสวนที่ใกล้ๆกันนั้น ตลอดเวลานั้นไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ขึ้นลงรถ หรือเดินออกกำลังกาย ลูกต้องประคองตลอด ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินด้วยตนเองได้ เพราะยังเจ็บแผลผ่าตัดอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้การทรงตัวไม่ดีไปด้วย ภายหลังลูกเสนอให้ใช้ไม้เท้า เพื่อช่วยเรื่องการทรงตัว ดิฉันเห็นดีด้วย ไม้เท้ามีอยู่แล้ว เพราะเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งของการรำมวยไท้เก๊ก นอกเหนือจากการรำพัดและกระบี่ การเดินครั้งต่อไปเมื่อใช้ไม้เท้าช่วย เดินสบายขึ้น มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือเอาไพล่หลังไว้ เพื่อกันหลังโกง และเปลี่ยนสลับมือกันไปทั้งซ้ายขวา

ช่วงเวลาต่อจากนั้นมาทุกวัน ดิฉันชวนลูกไปหาอะไรกินตามที่นึกอยากทั้งสามมื้อ ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา ไม่รู้เป็นยังไงนึกอยากกินอาหารอร่อยทุกมื้อ ชวนลูกขับรถไปแสวงหาอาหารกินไม่ซ้ำเจ้ากันเลยล่ะ แถมกินด้วยความอร่อยและกินได้มาก กินหมดชามหรือจานทุกมื้อไป ราวกับว่าร่างกายอดอยากมานานมาก เมื่อเจออาหารอร่อย ก็ไม่รั้งรอเลยเชียว เมนูอาหารมาจ่อคิวล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว กินมื้อนี้หมด ก็บอกลูกว่า มื้อต่อไปแม่อยากกินนั้นนี่ขึ้นมาทันที เป็นอย่างนี้อยู่สักสองเดือน กว่าจะเริ่มกินอาหารตามปกติทั่วๆไป เหมือนแต่ก่อนนี้ที่ร่างกายยังปกติอยู่

เช้าวันหนึ่งเมื่อกินอาหารเช้าแล้ว ไปเดินย่อยอาหารได้สักพัก ลูกชายก็บ่นว่า ปวดท้องอยากถ่ายเพราะวันนี้กินไปมาก อ้าว! ทำยังไงดี กลับบ้านมั้ย ตอนเย็นค่อยมาเดินใหม่ ลูกชายว่า ไม่เป็นไรยังทนได้ ทำให้ดิฉันนึกอะไรได้ ก็หัวเราะออกมา บอกลูกว่า แม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังที่มีถุงหน้าท้อง เหมือนมีส้วมติดตัวมาด้วย ปวดท้องถ่ายก็ลงถุงไปเลย ไม่ต้องวิ่งหาส้วมเพื่อถ่ายหนักเหมือนคนปกติทั่วไป ลูกชายพลอยหัวเราะไปด้วยบอกว่า นั่นซิแม่สบายไปเลย ได้เปรียบคนอื่นเยอะแยะ ขำๆนะคะคิดแต่แง่ดี ไม่มีทุกข์ สุขได้ทุกเรื่องและทุกที่

ดิฉันถือว่า การเดินออกกำลังกายทุกเช้าเย็น คือการฟื้นฟูร่างกายที่ดีที่สุด ยังคงนำหลัก 5 อ. มาใช้กับช่วงชีวิตที่เหลือ เพื่อนๆคงจำกันได้…. อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย(นอน) และอารมณ์ ส่วนที่ดิฉันเคยบอกว่า อ.ที่ 6 คือ อุจจาระ ตอนนี้ก็หมดห่วงไปแล้ว เพราะถ่ายลงถุงอย่างสบายๆ วันละ 4-5 ครั้ง โล่งท้องไปเลย เรื่องอาหารเล่าให้ฟังแล้วว่า เป็นช่วงของการเจริญอาหารอย่างมาก กินอร่อย กินได้มาก เรื่องอากาศเป็นผลพวงจากการได้สูดอากาศดีๆในสวนที่ร่มรื่นทั้งเช้าและเย็น ส่วนที่บ้านลูกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้ใช้ ทำให้นอนหลับอย่างสบายได้นานถึง 6-7 ชั่วโมง อารมณ์แจ่มใสเบิกบานดี ไม่มีความเครียดหรือกังวลใดๆทั้งสิ้น ตามที่พูดให้ฟังมาโดยตลอดว่า ยอมรับทุกเรื่องได้ ก็วางได้ทุกสิ่ง

มาคุยเรื่องการเดินดีกว่าค่ะ ตามที่พูดให้ฟังในตอนแรกๆว่า การเดินยังต้องให้ลูกประคอง ใช้ไม้เท้าช่วย และเดินแค่ระยะทางสั้นๆ ดิฉันใช้วิธีสังเกตตัวเองค่ะว่า “เราไหวแค่ไหน” ไม่อวดเก่ง หรือพยายามทำเก่งเอาชนะความเจ็บปวด การเดินในช่วงแรก ดิฉันใช้การนับก้าวเป็นเกณฑ์เหมือนตอนเดินที่วอร์ดในโรงพยาบาล เมื่ออยู่ตัวแล้ว ก็เพิ่มระยะทางให้ยาวขึ้น เดินอยู่ในระยะทางขนาดนั้นสัก 2-3 วัน จากนั้นก็เพิ่มระยะทางขึ้นอีก จาก 0.5 กม.เป็น 1 กม. เดินจนกำลังอยู่ตัวแล้วก็ค่อยเพิ่มทีละ 0.5 กม. เป็น 1.5 กม. ต่อการเดินแต่ละครั้ง แล้วสังเกตตัวเองว่า เมื่อเดินเพิ่มระยะทางตามที่ตั้งใจไว้นั้น ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยเกินไปมั้ย หรือยังสบายๆอยู่ ถ้าสบายดี ไม่เหนื่อยไม่เมื่อย ก็เพิ่มระยะทางยาวขึ้น เป็นอย่างนี้จนภายหลัง ดิฉันสามารถเดินได้ถึง 4-5 กม.ต่อครั้ง ภายในเวลาเพียงสามเดือน ร่างกายแข็งแรง สดชื่นขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ เวลาผ่านไปแล้วถึง 8 เดือนกว่า ดิฉันก็ยังเดินสลับกับการรำไท้เก๊กตลอดมา

ส่วนไม้เท้าที่ช่วยการทรงตัว ดิฉันก็ใช้วิธีสังเกตตัวเองเช่นกันว่า การทรงตัวดีขึ้นมั้ย ดูจากการก้าวเดินแรกๆที่เจ็บมาก การทรงตัวไม่ดี จึงก้าวเท้าค่อนข้างช้า แต่พอได้ไม้เท้าช่วยและมีลูกประคองอยู่อีกด้านหนึ่ง การก้าวเท้าก็เริ่มเร็วขึ้นได้บ้าง เดินหลายวันเข้าสังเกตการก้าวที่มั่นคงขึ้น บอกกับลูกว่า จะลองเดินเองด้วยไม้เท้า ลูกไม่ต้องประคอง หรือจับแขนแม่เพียงแต่เดินใกล้ๆแม่ก็พอ เผื่อพลาดพลั้งจะได้จับแม่ไว้ทัน เมื่อลองเดินดู ก็ทำได้สบาย ทำอย่างนี้อยู่สองวันจากนั้นก็บอกลูกว่า แม่จะลองไม่ใช้ไม้เท้า ลูกถือไว้ให้ เดินอยู่ใกล้ๆ แรกๆที่ไม่มีไม้เท้าก็เดินช้าหน่อย พอเริ่มอยู่ตัว สาวเท้ายาวขึ้น เร็วขึ้นนิดหน่อย ก็โอเคค่ะ ทำอย่างนี้อยู่สองวัน เท่ากับสี่รอบ อย่าลืมว่าดิฉันเดินเช้าเย็น ไม่เคยเว้น ทำให้เดินได้ชำนาญขึ้น

อันที่จริงเมื่อฝึกเดินได้ 4 วัน ดิฉันให้ลูกประคองพาเดินไปซื้อผักสดและเนื้อสัตว์ เพราะอยากทำอาหารกินเองสักวันละหนึ่งมื้อ ได้ของมาพอทำได้ 2 มื้อ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลองทำอาหารง่ายๆดู ประเภทผัดๆต้มๆ ก็ทำได้นะคะ เพลินดีค่ะ ดีกว่านั่งๆนอนๆดูทีวี ลูกชายคนกลางเอาทีวีจอใหญ่มาติดตั้งให้ บอกว่าแม่จะได้นอนดูสบายๆ แต่การนั่งนอนทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย ไม่ใช่วิสัยของคนที่ชอบออกกำลังกายอย่างดิฉัน เลยต้องหาอะไรทำเพื่อได้เคลื่อนไหว ลืมบอกไปว่าช่วงที่ดิฉันตัดสินใจไปโรงพยาบาลและผ่าตัด ไม่มีญาติทางบ้านดิฉันและทางฝ่ายสามีทราบเลยสักคน ดิฉันบอกลูกและสามีว่า ไม่ต้องบอกใครทั้งสิ้น เพราะไม่อยากให้ใครต้องลำบากมาเยี่ยมเยียน เนื่องจากญาติส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด การเดินทางเพื่อมาเยี่ยมไข้ เป็นเรื่องลำบากยุ่งยาก ทั้งเรื่องการจราจรในกรุงเทพ และเรื่องที่พัก

เวลาผ่านไปได้ 1 สัปดาห์หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้าน รู้สึกตนเองแข็งแรงดีแล้ว ดิฉันจึงโทรศัพท์ไปหาแม่เล็ก คงยังจำได้ แม่เล็กเจ็บหลังเพราะหกล้ม ทำให้กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอวแตกร้าวเล็กน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันทราบดีว่า ท่านกังวลกับโรคของดิฉันมาก เมื่อโทรศัพท์ไปก็ถามไถ่ทุกข์สุขไปตามปกติ คุยเรื่องจิปาถะตามที่แม่เล็กอยากเล่าให้ฟัง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดิฉันก็บอกกับแม่เล็กว่า ไปผ่าตัดลำไส้มาแล้ว แม่เล็กตกใจมาก อุทานเสียงดัง ถามว่าไปทำมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่บอก ดิฉันก็ว่า นี่อยู่บ้านแล้ว ก็เล่ารายละเอียดเรื่องการผ่าตัดให้ฟัง แม่เล็กงงมากบอกว่า คุยตั้งนานฟังเสียงไม่ออกเลยว่า ไปผ่าตัดมามากมายขนาดนี้ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ดิฉันก็เล่าให้ฟังเรื่องการเดินฟื้นฟูร่างกาย ตั้งแต่ที่โรงพยาบาลและต่อเนื่องจนมาถึงบ้าน ก็ยังคงปฏิบัติไปตามปกติ ร่างกายก็สบายดี ดีกว่าตอนก่อนผ่าตัดมาก ระบบต่างๆของร่างกายก็ดี พอคุยเรื่องการถ่ายลงถุงหน้าท้อง แม่เล็กบอกว่าอยากเห็น ดิฉันก็ว่าไม่ต้องมาดู เดี๋ยวแข็งแรงแล้วอีกเดือนสองเดือนจะไปเยี่ยมที่พิษณุโลก จะได้เห็นกันจะๆเลย

พอแม่เล็กได้รู้เรื่องการผ่าตัดของดิฉันเท่านั้น เพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ ญาติทั้งหมดของครอบครัวก็ได้รับรู้กันทั่ว น้องๆที่อยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงก็พากันมาเยี่ยมเยียน เมื่อพบหน้ากันแล้ว ดิฉันบอกกับทุกคนว่า วันหลังไม่ต้องเสียเวลามาเยี่ยม ใช้โทรศัพท์ก็ได้ เพราะต้องเดินทางลำบาก กรุงเทพฯไม่เหมือนต่างจังหวัด ไปมาไม่สะดวก แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้ว ทุกคนที่มาเยี่ยมก็จะบอกว่า ดูแข็งแรงมาก ไม่มีลักษณะท่าทีของคนป่วยเลย ดิฉันก็ติดตลกพูดไปว่า หมอสั่งไว้ว่า ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อย่าทำตัวเป็นคนป่วย เลยต้องทำตามที่หมอสั่ง กลัวหมอจะเสียใจนะ…..เลยได้หัวเราะกัน

ญาติหลายคนที่อยู่ไกล โทรศัพท์มาเยี่ยมไข้ ซุ่มเสียงวิตกกังวลมาก ดิฉันก็พูดคุยด้วยจนคลายใจ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟังจากการพูดคุยแล้ว ถ้าไม่บอก จะไม่รู้เลยว่าผ่านการผ่าตัดใหญ่มาภายในเวลาไม่ถึงเดือน ดิฉันก็ว่า ทุกอย่างอยู่ที่ใจนะ ถ้ายอมรับได้ ไม่ทุกข์ ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล ถ้าเราเองไม่กังวลแล้ว คนอื่นก็ไม่ควรที่จะต้องมากังวลห่วงใยด้วย ขอให้ทุกคนสบายใจได้ ตอนนี้สุขสบายดีทั้งกายและใจ

เมื่อเดินได้คล่องขึ้นมาก ลูกชายคนเล็กต้องไปเรียนหนังสือแล้ว ดิฉันก็ไปเดินคนเดียวได้อย่างสบาย แรกๆก็เดินที่สวนใกล้บ้าน สามารถเดินไปและกลับได้เอง พอผ่านไปสักสามสัปดาห์ ลองขับรถดูภายในละแวกบ้าน เพื่อสร้างความคล่องตัวของการใช้อวัยวะต่างๆที่ต้องสัมพันธ์กันในการขับรถ เมื่อคล่องตัวดีแล้ว ก็ขับรถไปที่สวนสาธารณะที่ไกลออกไป ซึ่งเป็นสวนที่กว้างขวางกว่า สะอาด ต้นไม้ร่มรื่น บรรยากาศดีกว่า มีทางสำหรับคนเดิน และทางสำหรับขี่จักรยาน คู่ขนานกันไป หนึ่งรอบของการเดิน คือ 500 เมตร ตอนนี้ใช้นับรอบเอา และตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันถือว่าการเดินออกกำลังกาย คือการเดินจงกรมทำความรู้สึกตัวไปตลอดทาง เดินสบายๆ แกว่งแขนสองข้างพร้อมกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้ไปด้วย ส่วนการเดินก็คือการกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองที่โคนขาหนีบ

การเดินก็ค่อยๆเพิ่มรอบไป ยังคงขับรถไปเดินทุกเช้าเย็น ระยะทางการเดินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามกำลังที่เพิ่มขึ้น เช้าวันหนึ่ง เมื่อเดินมาขึ้นรถ เห็นคนที่มาออกกำลังกายบางคน ถ่ายรูปตนเองกับบรรยากาศในสวน เลยมานึกว่า เราก็น่าจะทำอย่างนั้นบ้าง จะได้ส่งรูปไปให้บรรดาญาติ และเพื่อนๆ โดยเฉพาะลูกที่แยกบ้านไปแล้วได้ดู จึงเข้าไปในรถหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปตนเอง โดยพยายามให้เห็นวิวในสวนนั้นด้วย เขียนกำกับภาพไปด้วยว่า เป็นวันที่เท่าไหร่หลังการผ่าตัด เดินได้กี่ร้อยเมตร ไม่เหนื่อยเลย น้ำหนักตัวขึ้นมาเป็นเท่าไรแล้ว รูปถ่ายก็ยิ้มอย่างสดชื่นเบิกบาน ส่งภาพและข้อความนั้นไปทางไลน์ของครอบครัว และเพื่อนๆ พอส่งภาพและรายละเอียดไปแล้ว ก็ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นและให้กำลังใจจากพวกเขาเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ถ่ายรูปและเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับตนเองส่งไปเป็นระยะๆ จนภายหลังดิฉันสามารถเดินได้ถึงครั้งละ 4,000 เมตรโดยไม่เหนื่อยเลย น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนผ่าตัดหนักเพียง 44 กิโลกรัม แต่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายน้ำหนักเพิ่มตลอดทุก 1-2 สัปดาห์ ครั้งละครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัม ภาพถ่ายที่ส่งไปแต่ละครั้ง จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายและใบหน้าอย่างชัดเจน

ภายหลังเมื่อถึงเวลาที่ต้องไปรับยาคีโมที่โรงพยาบาล ดิฉันก็ยังคงถ่ายรูปจากห้องพักในโรงพยาบาล ส่งพร้อมรายละเอียดผลการวินิจฉัยหลังการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าต่างๆในร่างกาย ส่วนการเดินก็ไม่เคยทอดทิ้ง ยังคงถ่ายรูปส่งไปเป็นระยะ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะดิฉันคิดว่า บุคคลแวดล้อมอันเป็นที่รักนั้น ทุกคนต่างก็รัก เป็นห่วงและกังวลกับเรา เราไม่อาจห้ามความรักและความห่วงใยนั้นได้ แต่เราต้องอย่าให้เขามากังวลกับโรคที่เราเป็น ดังนั้นการถ่ายภาพพร้อมกับการแจกแจงรายละเอียดไปเป็นระยะๆ ของการฟื้นฟูและรักษาร่างกายอย่างต่อเนื่อง คือวิธีการหนึ่งที่จะลดความกังวลห่วงใยนั้นได้ ซึ่งก็ได้ผลอย่างยิ่ง เพราะทุกคนคลายความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากเสียงโทรศัพท์สอบถามเยี่ยมไข้ที่หายไปเลย แต่มาตอบรับและให้กำลังใจในไลน์ของครอบครัวและไลน์มิตรสหายแทน ……ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่

ดิฉันคิดว่า เพื่อนๆหลายคนคงรู้จักเรื่องการตัดไหมที่ใช้เย็บแผลผ่าตัดกันดี แต่เดี๋ยวนี้วิทยาการก้าวหน้าแล้ว การเชื่อมรอยผ่าตัดให้ติดกัน ใช้ลวดโลหะเหมือนลวดเย็บกระดาษเป็นตัวเชื่อม การ “ตัดไหม” คือการใช้คีมดึงลวดนั้นออกจากแผล ซึ่งดิฉันเองก็เจอกับตนเองเป็นครั้งแรกจากการผ่าตัดครั้งนี้ หลังผ่าตัดแผลบวมมาก ลวดเย็บนั้นติดแน่นกับเนื้อหนัง ตอนนั้นดิฉันคิดว่า หากถึงเวลาเอาลวดเย็บออก คงเจ็บมากๆ เคยถามหมอค่ะว่าจะเจ็บมากมั้ย หมอก็ว่า พอสมควรแต่ก็ต้องทน ดิฉันรู้สึกสยองนะคะในตอนนั้น เพราะลวดที่ใช้เชื่อมแผลนั้นมีถึง 30 ตัว แผลนั้นถูกปิดด้วยผ้าก๊อตช์ ห้ามโดนน้ำเด็ดขาด ก่อนออกจากโรงพยาบาล หมอสั่งให้ไปล้างแผลที่โรงพยาบาลหรือคลีนิคใกล้บ้าน ทุกวันหรืออย่างน้อยก็วันเว้นวัน โดยมีหนังสือกำกับวิธีการล้างแผลและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำความสะอาดแผลติดไปด้วย

โชคดีที่การเดินออกกำลังกายทุกวัน และการหมั่นดูแลทำความสะอาด ไม่ให้แผลเปียกน้ำ ทำให้ฝีเย็บที่ยาวถึงกว่า 10 นิ้วนั้นยุบตัวลงและแห้งสนิท ลวดโลหะที่ใช้เชื่อมแผลให้ติดกัน หลวมจนสามารถดึงออกได้โดยง่าย เมื่อถึงเวลาเอาลวดออก จึงสะดวกง่ายดายมาก ไม่เจ็บเลยแม้สักนิด เมื่อเรียบร้อยแล้ว ดิฉันถามหมอเรื่องการออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊ก ว่าจะทำได้เมื่อไหร่ หมอตอบว่าถ้าไม่เจ็บแผลและตึงหน้าท้อง ก็สามารถทำได้เลย คงจะประมาณสัก 1 เดือน ตอนที่ไปพบหมอเพื่อเอาลวดเย็บออกนั้น ระยะเวลาห่างจากการผ่าตัดเพียง 18 วันเท่านั้น เมื่อหมอบอกมาอย่างนี้ ดิฉันก็นับวันคอยที่จะได้ไปรำไท้เก๊ก พอถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2561 อันเป็นวันที่ครบ 1 เดือนหลังการผ่าตัด วันนั้นเป็นวันเสาร์พอดีค่ะ รู้ว่าเพื่อนๆต้องมาออกกำลังกายกันเยอะในวันหยุดสุดสัปดาห์ ดิฉันตื่นแต่เช้า จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถไปรำไท้เก๊กกับเพื่อนๆที่สวนอย่างมีความสุข จากนั้นมาดิฉันก็รำไท้เก๊กสลับกับการเดินโดยตลอด ไม่เคยขาดเลย ยกเว้นตอนไปรับยาเคมีบำบัดที่ต้องนอนโรงพยาบาลสามวันสองคืน แต่ก็ไม่เคยหยุดการเดินรอบวอร์ดเหมือนที่เคยทำมา