6. ผ่าตัดมะเร็งตับและลำไส้ใหญ่

เมื่อบอกแจ็คลูกชายคนโตให้พาไปโรงพยาบาลเพื่อพบหมอ ลูกบอกว่า กำลังทำธุระบางอย่างอยู่ ให้น้องจ๊อบ(ลูกชายคนเล็ก)ขับรถพาไปก่อน จะโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนไว้ เสร็จธุระแล้วจะรีบตามไปที่โรงพยาบาล ตกลงตามนั้น ดิฉันก็โทรศัพท์ไปตามลูกชายคนเล็กที่กำลังทำงานกับเพื่อนๆอยู่ที่มหาวิทยาลัย บอกลูกว่าถ้าเสร็จธุระแล้ว ให้กลับมารับแม่ไปส่งโรงพยาบาลด้วย ลูกบอกว่ากำลังขับรถจะกลับบ้านพอดี อีกสักพักจะถึงแล้ว เมื่อวางโทรศัพท์แล้ว ดิฉันก็ไปจัดกระเป๋าเตรียมเอกสารทั้งหมด ที่เกี่ยวกับการตรวจร่างกายเมื่อสองปีที่แล้ว และแผ่นซีดีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ รวมทั้งใบแจ้งผลการพิสูจน์เนื้อร้าย อีกทั้งยังจัดเสื้อผ้าอีก 2 ชุด เผื่อต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ลืมที่จะเตรียมผ้าพันคอไปด้วย เพราะรู้ว่าอากาศในโรงพยาบาลส่วนใหญ่จะค่อนข้างเย็นมาก ซึ่งเป็นปกติของโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง จะเปิดแอร์คอนดิชั่นด้วยอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำ

ประมาณบ่ายสามโมง ลูกจ๊อบกลับถึงบ้าน รับดิฉันไปโรงพยาบาลตามที่คุยกันไว้ เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่แถวถนนพระรามเก้า เมื่อไปถึงแผนกทางเดินอาหาร แจ้งชื่อเสียงเรียงนาม กรอกใบต่างๆแล้ว พยาบาลดูเหมือนจะรู้แล้วว่ามาพบคุณหมอท่านใด และขอเอกสารผลการตรวจทั้งหมดจากดิฉัน แล้วให้นั่งรอ เพราะหมอติดคนไข้อยู่ สักพักหนึ่งแจ๊คลูกชายคนโตก็ตามมา ยังคงรอคุณหมออยู่อีกพักใหญ่ ในขณะที่รอกันอยู่ ดิฉันก็บอกลูกแจ๊คให้โทรศัพท์ไปตามน้องโจ๊ก(ลูกชายคนกลาง) และคุณพ่อเขามาด้วย เพื่อจะได้รู้เรื่องพร้อมๆกัน

คุณหมอให้พยาบาลมาตามลูกแจ๊ค ไปพบที่ห้องคุณหมอคนเดียวก่อน คุยกันอยู่พักใหญ่ แล้วจึงออกมาเรียกให้ดิฉันเข้าไปพบ ตอนนั้นลูกโจ๊กและคุณพ่อเขามาถึงโรงพยาบาลพอดี จึงเข้าไปพบคุณหมอพร้อมกันทุกคน เมื่อลูกแจ๊คแนะนำตัวกันแล้ว คุณหมอถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันก็เล่าอาการที่หนักๆให้ฟัง รวมทั้งอาการที่เป็นวันนี้ด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจมาโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา คุณหมอดูในเอกสารที่ดิฉันนำมาด้วยนั้น และถามว่า

“ดูจากผลการตรวจที่ผ่านมา มันตั้งสองปีแล้ว คุณหมอที่ตรวจคุณแม่ ได้แนะนำให้มีการรักษาอย่างไรหรือเปล่าครับ”

“มีค่ะ” ดิฉันตอบ

“แต่แม่ไม่อยากรักษาที่พิษณุโลก เพราะจะเป็นภาระมาก จึงขอผลการตรวจทั้งหมดจากโรงพยาบาลที่นั้น แล้วนำเอกสารทั้งหมด ไปที่โรงพยาบาลรามาฯ คุณหมอดูเอกสารโดยละเอียดแล้ว บอกว่าคงไม่ต้องส่องกล้องซ้ำ เพราะเพิ่งตรวจไปไม่ถึงเดือน และแนะนำให้ผ่าตัดทำถุงหน้าท้อง ตอนนั้นแม่คิดว่า มันเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคนทั่วๆไป ไม่อยากเป็นอย่างนั้น และคิดว่ามะเร็งในตอนนั้นเป็นแค่ระยะ 1-2 เท่านั้น น่าจะมีวิธีรักษาให้หายได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดทำถุงหน้าท้อง เลยบอกยกเลิกกับทางโรงพยาบาลไป”

“สองปีที่ผ่านมา คุณแม่ทำอะไรบ้างครับ หรือปล่อยไว้เฉยๆจนเกิดเหตุการณ์อย่างที่เล่ามาให้ฟัง” คุณหมอถามต่อ

ดิฉันก็ตอบไปว่า “อ้อ..แม่คิดจะใช้วิธีธรรมชาติบำบัดนะคะ คือใช้อาหารเป็นยา เลยไปเปิดกูเกิลดูว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เขาต้องปฏิบัติตัวอย่างไร กินอาหารแบบไหน อาหารอะไรที่มะเร็งชอบ เราก็อย่าไปกิน ก็กินอาหารที่มะเร็งไม่ชอบ แล้วก็ออกกำลังกาย นอนหลับให้พอ และมีจิตใจที่เข้มแข็งแจ่มใสเบิกบาน ไม่กลัวการเป็นมะเร็ง ไม่กลัวว่าจะต้องตาย ก็หลายเดือนอยู่ค่ะ แต่ตอนหลังเริ่มถ่ายไม่ออก ก็ไปใช้วิธีของหมอเขียว ดีในตอนแรก ถ่ายได้ดีด้วยการทำดีทอกซ์ ผ่านไปเจ็ดเดือน ตอนหลังเริ่มถ่ายไม่ออกอีก ก็ตัดสินใจหยุดวิธีนั้น พอดีมีเพื่อนแนะนำให้ไปที่วัดที่สุพรรณบุรี ไปกินยาสมุนไพรไทย และรักษาโรคด้วยวิธีของแพทย์แผนไทยหลายๆอย่าง รวมทั้งการกินอาหารที่ต้องงดเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาดด้วย ผ่านไปห้าเดือน ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่แย่ลง เลยตัดสินใจให้ลูกพามาพบคุณหมอนี่แหละค่ะ”

ถึงเวลานี้ ทั้งลูกและสามีรู้กันหมดแล้วว่า ดิฉันเป็นโรคร้ายมากว่าสองปี และทำอย่างไรเพื่อรักษาโรคตนเองบ้าง ทุกคนนิ่งเงียบ คุณหมอฟังแล้วก็นิ่งไปสักครู่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า

“ผมจะให้คุณแม่ไปทำซีทีสแกน เพื่อดูว่าก้อนเนื้อโตขนาดไหน เพื่อหาแนวทางในการรักษาต่อไป”

ดิฉันพยักหน้ารับรู้ตามนั้น คุณหมอจึงให้ออกไปนั่งรอนอกห้องเพื่อรอการซีทีสแกนต่อไป พวกเราทั้งหมดเดินออกจากห้องนั้น แต่ลูกแจ๊คถูกเรียกไว้ให้อยู่ก่อน ดิฉันคิดว่าหมอคงอยากพูดอะไรกับลูกแจ๊คตามลำพัง ภายหลังลูกบอกว่า หมอเรียกไปคุยว่า อันที่จริงการรักษาตัวเองของดิฉันที่ผ่านมาก็มีผลดีอยู่บ้าง เพราะสามารถอยู่มาได้ตั้งสองปีกว่า แต่ตอนนี้เป็นเรื่องซีเรียสมาก ก้อนเนื้อคงโตขึ้นมาก จึงมีอาการรุนแรงอย่างที่เห็น จากนั้นลูกก็ตัดพ้อกับดิฉันว่า แม่น่าจะบอกตั้งแต่แรกๆที่เป็น จะรักษาได้ง่ายมากและแม่ก็ไม่ทรมานด้วย หมอสมัยนี้เก่งมาก วิทยาการต่างๆก็เจริญก้าวหน้าไปมาก

ดิฉันบอกลูกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของแม่นะ เพราะคนอื่นๆที่เขาไปรักษากัน ทั้งวิธีการของหมอเขียวและวิธีแพทย์แผนโบราณของทางวัดที่สุพรรณฯ ก็เห็นหายจากโรคต่างๆกันเกือบทั้งหมด มีแต่แม่แหละที่ยิ่งใช้วิธีการเหล่านั้น ก็ยิ่งแย่ลง เมื่อไม่หายก็เปลี่ยนวิธีไป ก็เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอกลูก เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว เอามาพูดอีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงตอนนี้ก็รักษาด้วยวิธีการแพทย์สมัยใหม่ให้เต็มที่ ผลจะออกมาอย่างไร แม่ก็ยอมรับนะลูก”

หลังจากทำซีทีสแกนในตอนค่ำแล้ว ดิฉันตัดสินใจนอนโรงพยาบาล 1 คืน เพื่อรอฟังผลการทำซีทีสแกนในวันรุ่งขึ้น หมอมาแจ้งผลในตอนสายๆ ปรากฎว่าก้อนเนื้อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ด้านขวาโตขึ้นมาก เกือบจะปิดลำไส้อยู่แล้ว ขวางกั้นเนื้ออุจจาระไว้ จึงทำให้ถ่ายไม่ออก ส่วนก้อนเนื้อทางลำไส้ใหญ่ด้านซ้ายที่ใกล้รูทวารยังไม่โตขึ้นสักเท่าไร ไม่น่าเป็นห่วงมาก นอกจากนี้มะเร็งยังลามไปที่ตับ และต่อมน้ำเหลืองบางส่วน ช่วงนี้หมอสั่งงดอาหารทุกประเภท ให้กินได้แต่น้ำซุปใสเท่านั้น และยังแนะนำให้ผ่าตัดโดยเร็วที่สุด หมอบอกกับลูกว่า ถ้าไม่ผ่าตัด หากอุจจาระแทงทะลุลำไส้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย นอกจาก..”ตาย”..อย่างเดียวเท่านั้น เรื่องนี้หมอไม่กล้าบอกกับดิฉันค่ะ คงคิดว่าดิฉันอาจจะตกใจและกลัวมาก แต่ลูกชายเอามาบอก เพราะอยากให้แม่ตัดสินใจผ่าตัดด่วนที่สุด และรู้ว่าถึงจะบอกแม่ ก็ไม่มีปัญหา ใจแม่รับได้เสมอ

เมื่อหมอแนะนำดังนั้นดิฉันก็รับปากกับหมอว่า จะผ่าตัดเร็วที่สุด แต่ขอปรึกษากับครอบครัวก่อน ขณะนั้นลูกชายคนรองโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อนอยู่ครู่ใหญ่ วางโทรศัพท์แล้วบอกว่า มีเพื่อนเป็นหมออยู่โรงพยาบาลศิริราช เขาแนะนำให้ไปผ่าตัดที่ศิริราช แม่จะไปมั้ย ดิฉันตอบตกลงทันที จึงถามหมอว่า ถ้าแม่ตัดสินใจผ่าตัด จะไปทำที่โรงพยาบาลอื่นได้มั้ย เพราะลูกมีเพื่อนเป็นหมออยู่ศิริราช หมอบอกว่า ไม่มีปัญหา ขอให้ผ่าตัดเร็วที่สุดที่ไหนก็ได้ และจะเตรียมผลการตรวจทั้งหมดให้ พร้อมกับเขียนใบส่งตัวและรายละเอียดต่างๆแนบไปให้ด้วย

เมื่อตกลงใจดังนั้นแล้ว ลูกก็ถามว่า แม่จะกลับไปบ้านก่อนมั้ย ดิฉันว่า ไม่ต้องกลับบ้าน ออกจากโรงพยาบาลนี้แล้ว ก็ไปต่อที่ศิริราชเลย แม่ไม่อยากไปนอนผวาที่บ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก แม่ว่าอยู่ใกล้หมออุ่นใจกว่า มีอะไรเกิดขึ้นก็เรียกหากันได้ เมื่อคืนนี้แม่นอนโรงพยาบาล หลับสนิทเลย ไม่ต้องนอนผวาเหมือนนอนที่บ้าน เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลูกๆก็ต่อว่าแม่ว่า ความจริงเวลาแม่เป็นอะไร ควรบอกให้ลูกรู้ จะได้พามาโรงพยาบาล หมอเดี๋ยวนี้เก่งมาก แม่จะไม่ต้องปวดทรมานเลย ดิฉันบอกลูกไปว่า ช่างเถอะ เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว เก็บมาพูดก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้แม่ก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ยอมรับการรักษาทุกอย่างตามที่หมอแนะนำแล้วไง ลูกๆก็เงียบกันไป

ลูกโจ๊กติดต่อถามรายละเอียดกับทางโรงพยาบาลศิริราชปิยะมหาราชการุณย์ ตามที่เพื่อนแนะนำ ส่วนคุณหมอเพื่อนลูกแจ๊คก็ไปเตรียมเอกสาร เพื่อทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลเดิม เสร็จเรียบร้อยเวลาบ่ายโมงกว่า พวกเราทั้งครอบครัวก็พากันไปที่โรงพยาบาลศิริราชปิยะฯ ถึงโรงพยาบาลประมาณบ่ายสองโมงกว่า เมื่อแจ้งเรื่องราวและส่งเอกสารทั้งหมด จากโรงพยาบาลเดิมให้กับนางพยาบาล พร้อมกับระบุชื่อแพทย์ที่จะเป็นเจ้าของไข้ตามที่เพื่อนลูกแนะนำ เจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องตามขั้นตอนของโรงพยาบาล กว่าจะได้ห้องพักก็เกือบห้าโมงเย็น ก่อนขึ้นห้องพัก พยาบาลแจ้งว่าได้นำข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ดิฉันนำมาด้วยนั้น ใส่ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแล้ว และคุณหมอเจ้าของไข้ก็รับทราบแล้ว พรุ่งนี้เช้าคุณหมอจะมาพบที่ห้องพัก เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของคุณหมอ

เช้าวันจันทร์ที่ 2 เมษายน ประมาณแปดโมงกว่า คุณหมอเจ้าของไข้ที่เพื่อนลูกแนะนำก็มาพบดิฉันที่ห้องพัก แจ้งว่าได้ดูเอกสารทั้งหมดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผลการตรวจละเอียดชัดเจนดี หมอคิดว่าก็คงต้องผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่ลำไส้ทางด้านขวาออกเพราะโตมาก ส่วนก้อนเนื้อทางลำไส้ด้านซ้ายที่ใกล้รูทวาร หมออยากตัดเนื้องอกนั้นไปพิสูจน์ดูว่า ใช่เนื้อร้ายมั้ย เพราะหากไม่ใช่แล้ว การปิดรูทวารและเจาะถุงหน้าท้อง จะกลายเป็นเรื่องไม่สมควรทำ แต่ถ้าใช่เนื้อร้าย ก็ต้องตัดออกและเจาะถุงหน้าท้อง และคงต้องผ่าตัดเปิดท้องยาวมาก เพราะมีก้อนมะเร็งที่ตับด้วย ยาวออกมาประมาณ 1 นิ้ว และส่วนที่ใกล้ๆกันอีกสองแห่ง ยังไม่เป็นก้อนเนื้อ แต่อาจจะมีรากที่เป็นเชื้อมะเร็ง ก็ต้องตัดรากนั้นทิ้งไปด้วย ส่วนที่ต่อมน้ำเหลืองมีก้อนเนื้อบ้างประปรายแต่ก็เล็กมาก ในชั้นนี้ก็ยังไม่ต้องทำอะไร เมื่อได้ทำคีโมหลังผ่าตัดแล้ว ก็อาจจะดีขึ้น

สายๆวันนั้นดิฉันก็ไปเข้าห้องผ่าตัด เพื่อตัดก้อนเนื้อตามคำแนะนำของคุณหมอ เมื่อเสร็จแล้ว คุณหมอบอกว่าจะกลับบ้านก่อนก็ได้ เพราะผลการตรวจจะออกมาหลังจากนี้สามวัน คือวันพฤหัสฯ ดิฉันบอกหมอว่าจะขอนอนรออยู่ที่โรงพยาบาลนี่แหละ เพราะบ้านอยู่ไกลจากโรงพยาบาลมาก ไปมาลำบาก และยังลำบากลูกๆต้องหยุดงานมาส่ง แถมมาถึงแล้วก็ต้องทำเรื่องห้องพักใหม่ ซึ่งเสียเวลามาก หมอเลยว่าจะพยายามเร่งให้ ก็บอกขอบคุณหมอไป

เช้าวันอังคารที่ 3 เม.ย. 2561 วันนี้ว่างค่ะ เพราะต้องรอผลจากการทำซีทีสแกน ดิฉันก็ไปเดินเล่นที่เขื่อนริมน้ำเจ้าพระยากับลูกชายคนรอง พอได้เหงื่อซึมๆ แล้วก็ขึ้นมากินอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ อาหารตอนนี้ทุกมื้อคือ น้ำซุปใสไก่กรองเท่านั้น ถามคุณหมอก็ได้ความว่า ที่ต้องกินแบบนี้ก็เพื่อให้มีกากอาหารน้อยที่สุดก่อนการผ่าตัด กินแบบนี้ก็ดีค่ะ รู้สึกสบายท้องดี หลังอาหารทุกมื้อ ดิฉันจะเดินรอบวอร์ดไปตลอดความยาวของตึก ถือเป็นการย่อยอาหารและออกกำลังกายไปในตัว ในใจรู้สึกว่า ถ้าร่างกายเราแข็งแรง จะมีแรงสู้กับโรคและการผ่าตัดได้

เช้าวันพุธที่ 4 เม.ย. คุณหมอเจ้าของไข้มาแต่เช้า บอกว่าผลการตรวจชิ้นเนื้อออกมาแล้ว คุณหมอที่เป็นผู้อ่านผลซีทีสแกน โทรศัพท์มาแจ้งเมื่อคืนนี้ ผลการตรวจที่เป็นเอกสารจะมาถึงวันนี้ตอนสายๆ และผลของก้อนเนื้อในส่วนที่ใกล้รูทวารนั้น เป็นมะเร็งแน่นอนแล้ว แต่ก็แค่ระยะ1-2 เท่านั้น อย่างไรก็ดี ควรตัดออก และการตัดเอาเนื้อร้ายออกทั้งหมดนั้น ต้องตัดลำไส้ไปประมาณหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ลำไส้หดสั้นลง และจะต้องผ่าตัดทำถุงหน้าท้อง ดิฉันถามว่า ถ้าไม่ปิดรูทวารและต้องการให้ถ่ายตามปกติ จะทำได้มั้ย คุณหมอว่าทำได้ ถ้าหากเนื้อร้ายนั้นอยู่ห่างจากรูทวารมากพอที่เมื่อตัดลำไส้แล้ว ยังเหลือความยาวของลำไส้ระดับหนึ่ง ที่จะทำให้ไม่ต้องถ่ายบ่อยจนเกินไป แต่ของดิฉัน เนื้อร้ายอยู่ใกล้รูทวารมาก จนเมื่อตัดลำไส้ไปแล้ว ก็ต้องปิดรูทวารเท่านั้น เพราะเมื่อตัดลำไส้สั้นลงแล้ว จะขับถ่ายบ่อยมาก อาจถึงวันละ 7-8 ครั้ง ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไป ก็จะถ่ายทันที การมีถุงหน้าท้อง จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เลือกได้หากต้องการให้ขับถ่ายตามปกติ ก็ต้องยอมทนกับการต้องเข้าห้องน้ำวันละ 7-8 ครั้ง ซึ่งการจะเดินทางไปที่ไหนๆย่อมลำบาก

ดิฉันใคร่ครวญตามคำพูดของคุณหมอแล้ว ก็คิดว่า คงต้องตัดสินใจผ่าตัดทำถุงหน้าท้องดีกว่า เพราะการนั่งเฝ้าหน้าส้วมทั้งวัน ไม่เป็นเรื่องที่น่าพิสมัยแต่อย่างใด เมื่อตกลงใจดังนั้นแล้ว ดิฉันจึงถามคุณหมอว่า จะผ่าตัดวันไหน คุณหมอตอบว่า วันพรุ่งนี้ แต่จะเป็นเวลาใดนั้นต้องดูว่าคุณหมอ…… ที่จะเป็นผู้ผ่าตัดก้อนเนื้อที่ตับนั้นจะสะดวกเวลาไหน เพราะต้องผ่าตัดร่วมกัน โดยจะตัดก้อนเนื้อที่ตับก่อน แล้วจึงทำที่ลำไส้ต่อไป พอพูดถึงตอนนี้ คุณหมอ…..ซึ่งจะเป็นผู้ผ่าตัดตับก็โทรศัพท์มาพอดี เมื่อคุณหมอทั้งสองท่านคุยกันแล้ว มีเวลาว่างตรงกันคือวันพฤหัสบดี เวลา 19.30 น. เมื่อมาบอกให้ดิฉันทราบแล้ว คุณหมอก็สั่งความกับพยาบาล และบอกว่าจะให้ทีมETnurse มาแนะนำรายละเอียดสำหรับคนที่มีถุงหน้าท้อง เพื่อให้ดิฉันได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ชั้นหนึ่งก่อน (แผนก ET nurse มาจากคำว่า Enterostomai Therapy nurse คือ พยาบาลเฉพาะทางการดูแลบาดแผล ช่องเปิดลำไส้ทางหน้าท้องและภาวะกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้)

ตกช่วงบ่าย ทีมงาน ETnurse 3 คน ก็มาแนะนำเรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับการทำถุงหน้าท้อง มีภาพประกอบมากมาย รวมทั้งภาพความสดใสของผู้ที่มีถุงหน้าท้อง ใส่ชุดว่ายน้ำบีกีนี่โชว์ถุงหน้าท้องเป็นลวดลายต่างๆ ที่เตะตาก็คือถุงหน้าท้องลายธงชาติอเมริกา จากนั้นก็พูดคุยถามไถ่เพื่อดูสภาพจิตใจของผู้ที่ต้องทำถุงหน้าท้อง บอกข้อดีของการทำถุงหน้าท้อง การดูแลความสะอาด….ฯลฯ ในที่นี้จะไม่แจกแจงรายละเอียดนะคะ เพราะถ้าท่านใดต้องทำถุงหน้าท้องจริง ท่านจะได้ศึกษารายละเอียดในทุกขั้นตอนอยู่แล้วค่ะ จากนั้นหัวหน้าทีมพยาบาล ETnurse ก็สอนให้ดิฉันออกกำลังกายหลังการผ่าตัด เนื่องจากต้องนอนหลับยาวโดยไม่ขยับเลยในช่วงผ่าตัด เมื่อฟื้นขึ้นจะมีอาการปวดเมื่อย การได้ขยับแขนขาตามที่สอนไว้จะช่วยได้มาก วิธีก็ง่ายๆค่ะ แค่นอนยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไปเหนือศีรษะ หายใจเข้า พอเอาแขนลงก็หายใจออก ทำสัก 5-10 ครั้ง แล้วแต่จะไหวแค่ไหน ส่วนที่เท้าก็กระดกปลายเท้า ด้วยการงอเข้าและยืดออก อีกท่าคือการชันเข่าและเหยียดขา เพื่อลดอาการขาแข็ง ขาชา ดิฉันก็ทดลองทำตามคำแนะนำนั้น เพื่อจะเอาไว้ทำหลังการผ่าตัด ตั้งใจไว้เลยค่ะ

ตกค่ำสามทุ่มกว่า มีคุณหมออีกท่านหนึ่ง เข้ามาในห้องพัก และแนะนำตัวท่านเองว่าเป็นหมอหัวใจ จะมาตรวจหัวใจ ดิฉันก็แปลกใจนะคะเลยถามหมอว่า

“ดิฉันเป็นมะเร็ง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวใจด้วยค่ะ”

คุณหมอก็ว่า “เอ้า! ถ้าหัวใจคุณไม่แข็งแรง พรุ่งนี้จะผ่าตัดได้มั้ยล่ะ”

ดิฉันก็ว่า “เออ! จริง งั้นเชิญค่ะคุณหมอ”

เมื่อคุณหมอตรวจเสร็จแล้ว ดิฉันก็ถามว่าเป็นยังไงมั่ง คุณหมอก็ว่าปอดและหัวใจปกติ แข็งแรงดี ดิฉันเลยพูดอวดคุณหมอไปว่า

“ก็แน่ละ ปอดและหัวใจต้องแข็งแรงอยู่แล้ว เพราะรำไท้เก๊กมาตั้งยี่สิบปี”

หมอหัวเราะและพูดว่า “อื้อ! ขี้โม้จริงๆ” ดิฉันก็ขำไปด้วย

สภาพจิตใจของดิฉันในคืนก่อนการผ่าตัดก็ไม่มีอะไรค่ะ ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ตกใจ ไม่วิตกกังวล นอนหลับสบายดี ยอมรับได้กับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องมีหรือต้องเป็นอะไร อย่างไร แบบไหนในวันพรุ่งนี้

เช้าวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 ช่วงระหว่างวันที่ยังไม่ถึงเวลาผ่าตัด ดิฉันยังคงทำทุกอย่างตามปกติ ไปเดินเล่นหลังอาหารสามมื้อเหมือนเดิม ดูทีวี คุยเล่นสนุกกับลูกๆ มีเพื่อนลูกมาเยี่ยม ดิฉันก็พูดคุยด้วยเป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหว ยังคงยิ้มหัวเราะได้ จนเพื่อนลูกบอกว่า ทำไมบรรยากาศในห้องนี้ ไม่เห็นเหมือนห้องคนป่วยเลย ทำไมคุณแม่ดูเป็นปกติมาก ดูสบายๆ ไม่เครียดเลย ไม่เหมือนกับที่เคยไปเยี่ยมคนไข้ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นญาติ หรือคนรู้จัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด วิตกกังวล ซึ่งแค่เห็นหน้าคนไข้ หรือญาติคนไข้ ก็รู้สึกทุกข์ไปด้วยแล้ว แต่ที่ห้องนี้ ไม่ใช่แบบนั้น อยากจะกราบคุณแม่จริงๆค่ะ…ทำได้ยังไง ดิฉันก็ได้แต่หัวเราะและบอกไปว่า

“ก็แม่ไม่กลัวไง ทั้งไม่กลัวเจ็บ ทั้งไม่กลัวตาย มันก็เลยไม่มีอะไรให้เครียด ให้กังวล ทุกอย่างอยู่ที่เรายอมรับนะ แม่ก็แค่ยอมรับว่าแม่เป็นมะเร็ง มันก็เลยไม่มีอะไร ที่คนส่วนใหญ่เขาเป็นอย่างที่หนูพูดมา ก็เพราะเขาไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเขาเป็นไง พวกเขาได้แต่คร่ำครวญว่า “ทำไมโรคร้ายจึงต้องมาเกิดกับฉันด้วย” เขาไม่รู้จักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น มันเป็นผลจากการกระทำของเขาเองที่ผ่านมา ทุกสิ่งมันต้องมีเหตุ จึงจะเกิดผลอย่างนั้นๆ ”

ตกเย็นประมาณห้าโมงครึ่ง พยาบาลมาบอกให้เตรียมตัวเพื่อไปที่ห้องเตรียมผ่าตัด เตียงรถเข็นจะมารับเวลาหกโมงเย็น ให้อาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับใช้ในห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นชุดที่ต้องใส่กลับหน้าหลัง และผูกเชือกไว้ที่ด้านหลัง เมื่อถึงเวลาพนักงานก็เข็นเตียงมารับ พาไปยังห้องเตรียมผ่าตัด พอไปถึงพยาบาลก็เอาปลอกแขนสำหรับวัดความดันโลหิตมาสวมให้ โดยไม่ถอดออก เพราะต้องใช้ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องผ่าตัด ดิฉันก็นอนดูลมหายใจไป จนใกล้เวลา 19.30 น. คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งจะเป็นผู้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ก็มาทักทาย สักครู่คุณหมอที่ต้องทำหน้าที่ผ่าตัดตับก็มาแนะนำตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถที่ดิฉันนอนอยู่นั้น เข้าไปที่ห้องผ่าตัด เลื่อนตัวเปลี่ยนไปนอนบนเตียงผ่าตัด ช่วงนั้นดิฉันมองเข้าไปที่ใจของตนเอง ก็ไม่หวั่นไหวอะไรนะคะ แต่มีภาพในจิตเกิดเป็นภาพหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งเป็นภาพรูปปั้นท่ายืนของท่าน ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่หน้าโบสถ์ของวัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี ไม่ได้อาราธนาขออะไรทั้งสิ้น เพราะมันรู้อยู่แก่ใจว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าผลการผ่าตัดออกมาเป็นเช่นไร ก็ยอมรับได้ทั้งสิ้น ใจเฉยๆนะคะ

เมื่อถูกฉีดยาไปเข็มหนึ่ง ไม่นานเท่าไร ก็หลับไป การหลับครั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม มันเหมือนว่าเราดับหายไปจากโลก ไม่คิด ไม่ฝัน ไม่มีนิมิตใดๆเกิดขึ้น ไม่รู้เลยมาเวลาผ่านไปเท่าไร จนถูกปลุกด้วยเสียงเรียกชื่อของคุณพยาบาล ความรู้สึกตัวคืนมาแบบคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ตอนนั้นยังมึนๆอยู่ค่ะ แต่รู้สึกได้ว่าทั้งร่างกายระโยงระยางไปหมด ด้วยสารพัดอุปกรณ์ทางการแพทย์ ลูกแจ๊คและลูกจ๊อบที่นั่งรออยู่หน้าห้องไอซียู ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทักทาย เห็นอาการของแม่แล้วลูกก็ถามว่าเป็นยังไงมั่ง เจ็บมั้ยแม่ ดิฉันก็ว่า ฮื่อ! กี่โมงแล้ว ลูกแจ๊คดูเวลาจากโทรศัพท์แล้วตอบว่า เที่ยงคืนกว่าเกือบตีหนึ่งแล้ว ดิฉันจึงว่า ลูกกลับไปนอนพักเถอะ แม่จะนอนแยกกายกับจิต ตอนหลุดคำพูดนี้ออกไป ดิฉันรู้สึกตัวดีอยู่นะคะ เพราะยังจำได้จนบัดนี้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมจึงพูดไปอย่างนั้น น่าจะเกิดจากจิตใต้สำนึก

ลูกๆกลับออกไปแล้ว ดิฉันก็หลับไปอีกด้วยฤทธิ์ของยาสารพัด ตื่นขึ้นมาอีกครั้งไม่ทราบเวลาเท่าไร นึกได้ถึงคำสอนของพยาบาลETnurse ที่บอกว่าเมื่อรู้สึกตัวเมื่อไร ก็ให้ขยับแขนขาพร้อมลมหายใจเข้าออก ดิฉันก็ทำตามนั้นทันที ยกแขนขึ้นลงพร้อมกระดกปลายเท้าตามลมหายใจ พอง่วงก็หลับไป รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ทำตามคำสอนนั้นอีก ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องไอซียู ทุกครั้งที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดิฉันจะทำอย่างนั้นจนกว่าจะเมื่อยหรือง่วงหลับไป กลัวร่างกายจะเป็นพังผืดถ้านอนเฉยอย่างเดียว ตามคำขู่ เอ้ย…คำบอกของคุณพยาบาลทั้งหลาย หลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วตอนยกแขน กระดกเท้า ขยับขาขึ้นลง ทั้งๆที่เพิ่งผ่าตัดมาใหม่ๆ เจ็บมั้ย? …เจ็บค่ะ แต่ยอมทนเจ็บ ด้วยความกลัวว่าแผลผ่าตัดจะเป็นพังผืดแล้วเดินไม่ได้มีมากกว่า

พยาบาลประจำห้องไอซียู จะคอยถามว่า เจ็บแผลมั้ย ถ้าเจ็บขอให้บอกเลย จะฉีดยาแก้ปวดให้ อย่าทนเจ็บ ดิฉันก็ถามว่า ทำไมล่ะ เธอตอบว่า คุณหมอบอกว่า ถ้าคนไข้เจ็บหรือปวดแผลน้อยที่สุด จะทำอะไรได้มากกว่าคนไข้ที่เจ็บปวดมากๆ ดิฉันก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เรื่องความเจ็บปวดนี้ ทางโรงพยาบาลแห่งนี้จะมีการให้คะแนน จาก 0 ถึง 10 คะแนน เมื่อเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา ความเจ็บปวดนั้นจะไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบทนไม่ได้ หรือเกินทน การแบ่งคะแนนนั้น เราต้องหัดสังเกตและพิจารณาเอาเอง อันที่จริงการให้คะแนนความเจ็บปวดนั้น ทางETnurse ได้สอนไว้ก่อนแล้ว แต่ยังไม่เจอความเจ็บปวดจริง ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่พอมาเจอความเจ็บปวดที่แท้จริงหลังการผ่าตัด มันก็รู้ได้เองเลยทีเดียวว่า คะแนนความเจ็บปวดน่าจะเป็นระดับที่เท่าไร และสมควรต้องฉีดยาแล้วหรือยัง ดิฉันจะแยกระดับคะแนนนั้นให้ดูค่ะ เผื่อใครจะเอาไปใช้ได้เมื่อเกิดอาการเจ็บปวด

ถ้าระดับ 1 – 5 คะแนน แปลว่าพอทนได้ ไม่ต้องฉีดยาก็ได้

ถ้าระดับ 5 – 6 หรือ 7 คะแนน ให้บอกทันที จะฉีดยาให้ เพราะยาที่ฉีดนั้นต้องอาศัยระยะเวลาหนึ่ง จึงจะออกฤทธิ์ต่อการทำให้ความเจ็บปวดนั้นลดน้อยลงได้

แต่ถ้าปล่อยไว้จนถึงระดับ 8 – 10 คะแนนแล้ว แสดงว่าความปวดนั้นเพิ่มขึ้นมาก จนแม้จะฉีดยาแก้ปวดให้แล้ว ก็ยังต้องทนเจ็บปวดไปอีกระยะเวลาหนึ่ง จึงจะทุเลาลง ซึ่งนั่นคือความทรมานอย่างยิ่ง ก็อย่าเสี่ยง

อันที่จริงตอนอยู่ในห้องผ่าตัด คุณหมอได้ฉีดยาบล็อคหลังให้แล้ว และจะยังคงอยู่ถึงสามวันจึงจะถอดออก ก่อนเข้าห้องผ่าตัด คุณหมอบอกไว้ก่อนแล้ว เรื่องการให้ยาบล็อคหลังแก้ปวด ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะภายใน 3 วันหลังผ่าตัด จะเป็นช่วงที่ปวดมาก แต่หลังจากนั้นความเจ็บปวดจะทุเลาลงไปเรื่อยๆ จนเหลือน้อยที่สุดหรือไม่ปวดเลย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความอดทนของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน

ช่วงอยู่ในห้องไอซียู เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นอย่างหนึ่งคือ ความดันโลหิตของดิฉันลดต่ำลงมาก เหลือเพียง 60/50 หรือ 60/40 ต้องให้เลือดถึงสองถุง แต่ก็ดีขึ้นไม่มาก ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ปกติก่อนหน้านั้น ดิฉันก็เลือดน้อยอยู่แล้ว เพราะพิษของก้อนเนื้อร้าย ตอนอยู่ในห้องผ่าตัด ไม่ทราบว่ารับเลือดไปกี่ถุง แต่ก็ไม่มีอาการอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้นปรากฎ เพราะเหตุอันเกิดจากความดันต่ำนั้นนอกจากความมึน ความปวดหนึบๆของแผล และความง่วงซึมจากฤทธิ์ของยาแก้ปวดเท่านั้น ปกติการเฝ้าดูอาการหลังจากผ่าตัด จะอยู่ในห้องไอซียูไม่เกิน 24 ชั่วโมง สำหรับคนไข้ที่ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ แต่สำหรับดิฉัน ต้องอยู่นานกว่า 30 ชั่วโมง จนความดันค่อนข้างคงที่ 80 – 60 ไม่กระเตื้องขึ้นอีก พยาบาลก็มาบอกว่า คุณหมอให้ย้ายไปห้องพักฟื้นได้ ถ้ากลับไปที่ห้องนั้นแล้ว ความดันโลหิตอาจจะเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง ดิฉันคิดว่าคุณหมอคงให้เฝ้าดูอาการอันอาจเกิดขึ้นได้จากความดันโลหิตต่ำ แต่เมื่อผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว อาการทั้งหลายไม่ปรากฎว่าจะมีอะไรที่ร้ายแรง จึงสั่งให้ย้ายห้อง

ถ้าดูจากช่วงเวลาของการเข้าโรงพยาบาลแล้ว จะเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะวันหยุดต่างๆตามปฏิทินมีหลายวัน เป็นโอกาสให้ลูกๆ ทั้งที่ทำงานแล้วและกำลังเรียนอยู่ สามารถผลัดกันมานอนเฝ้าแม่ ตามข้อกำหนดของทางโรงพยาบาลได้สบาย