4. อาการกำเริบของมะเร็ง

เมื่อทุเลาอาการคันแล้ว ดิฉันก็ไปออกกำลังกายที่สวนเป็นปกติ ทุกคนที่รู้จักพบเจอ ต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นอะไรไป ทำไมผอมมากอย่างนี้ ดิฉันก็ได้แต่บอกไปว่า…..ไปแพ้ตัวริ้นที่วัด กินไม่ได้นอนไม่หลับเจ็ดวันเจ็ดคืน น้ำหนักลดไป 5-6 กิโล เกือบตายแล้ว นี่ดีว่าได้ยาดี เลยหายคัน พอกินได้นอนได้บ้าง ก็เลยมาออกกำลังกาย….. ทุกคนมองด้วยความสงสัยและห่วงใยอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครกล้าพูดหรือบอกอะไร หลายคนมากทั้งที่สนิทกัน เมื่อเดินสวนกันหรือเดินผ่าน จำแม่แจ๋วไม่ได้ต้องกลับมาดูหน้าชัดๆ และถามว่า “ใช่..แม่แจ๋ว..หรือเปล่า?” ดิฉันก็ต้องตอบไปทุกครั้งว่า..ใช่แล้ว…และอธิบายเรื่องแพ้ตัวริ้นให้ฟังทุกคนไป

แม้เมื่อลูกๆถาม ดิฉันก็ได้แต่บอกลูกไปเช่นนั้น และยังบอกว่า แม่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เลยผอมอย่างนี้ แต่แม่ก็ออกกำลังกายได้เป็นปกติ ลูกๆไม่สงสัยแต่อย่างไร ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะผอมมากจากน้ำหนักเดิม 55-57 กิโลกรัม ลดเหลือเพียง 44-45 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ดิฉันก็ไม่รู้สึกว่าแปลก อาจเพราะเราคุ้นชินกับใบหน้าของตนเองในกระจกที่เห็นอยู่ทุกวัน และยังออกกำลังกายได้ตามปกติจริงๆ คือประมาณ 1 ชั่วโมงอย่างน้อย ถ้าเสาร์อาทิตย์ก็ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะนอกจากรำไท้เก๊กแล้ว ก็ยังมีรำพัด รำกระบี่ที่เคยฝึกปรือไว้ แถมยังกินได้ทุกมื้อ แม้จะไม่รู้สึกอร่อย และยังนอนหลับได้ดี

ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังไม่คิดว่า โรคมะเร็งกำลังกำเริบขึ้น ได้แต่คิดว่า เราเป็นโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันบกพร่อง เราแพ้ตัวริ้น ตอนนี้หายคันแล้ว ก็รักษาร่างกายให้แข็งแรง ยังกินได้ดี นอนหลับได้ถึงวันละ 5-6 ชั่วโมง ออกกำลังกายได้ตามปกติทุกวัน ระบบขับถ่ายก็เป็นไปตามปกติ คือถ่ายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็กินยาถ่ายเอา ดิฉันยังได้ซื้อยาถ่ายน้ำเหลืองจากวัดกลับมาด้วย เมื่อต้มกิน ก็ถ่ายได้ทุกเช้า แม้จะไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าได้ถ่าย ไม่สงสัยเลยด้วยซ้ำว่า ทำไมถ่ายแค่หนเดียว เพราะคนที่กินยาถ่ายน้ำเหลืองของวัด ต้องถ่ายหลายหน ได้แต่คิดว่า ร่างกายคงปรับสภาพ ถ่ายได้ทุกเช้าก็ดีแล้ว อาการอื่นๆไม่มีอะไร แค่ถ่ายไม่ค่อยดีเท่านั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่เฉลียวใจ

ช่วงตอนที่ดิฉันกลับจากวัด เป็นต้นเดือนมีนาคม ซึ่งในเดือนมีนาคมของทุกปี ครอบครัวเราจะนัดกันที่จะไหว้บรรพบุรุษเนื่องในเทศกาลเชงเม้ง ที่สุสานในจังหวัดพิษณุโลก ช่วงเวลาที่กำหนดของทุกปี มักจะเป็นวันที่ยี่สิบกว่าๆของเดือน ตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์ แล้วแต่ความสะดวกของคนส่วนมากของครอบครัว ปีนี้กำหนดเป็นวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561 ดิฉันตกลงใจที่จะไปพิษณุโลกก่อนเชงเม้ง 2-3 วันและจะอยู่ต่ออีก 5-6 วัน เพื่อสอนและปรับท่าไท้เก๊กให้กับลูกศิษย์ที่พิษณุโลก เมื่อตกลงใจแล้วก็แจ้งให้ลูกศิษย์ทราบทั่วกัน

ก่อนที่จะไปพิษณุโลก มีเวลาอยู่กรุงเทพฯ 2 สัปดาห์กว่า ในช่วงกลางเดือนมีนาคม เกิดอาการอย่างหนึ่งขึ้นกับดิฉันตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบรุ่งแจ้ง ซึ่งอาการนี้เคยเกิดกับดิฉันมาแล้วครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่วัด คืออาการแน่นท้อง ไม่ผายลม ไม่เรอ มีอาการจุกขึ้นมาถึงหัวใจและลิ้นปี่ เจ็บมากไปทั้งช่วงท้องถึงหน้าอก แน่นอึดอัด และไม่ถ่ายหนัก กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาจนหมด ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย กินยาอะไรไม่ได้เลย อาเจียนออกมาหมด แต่พออาเจียนแล้วก็พอสบายท้องขึ้นมาบ้าง นั้นคือตอนที่อยู่วัด และเกิดอาการเหล่านี้ในช่วงกลางวัน

แต่ที่บ้าน อาการดังกล่าวเกิดขึ้นในตอนหัวค่ำ ประมาณสองทุ่ม ดิฉันรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง ไม่ผายลม ไม่เรอ ลมภายในดันขึ้นมาเหมือนเข็มแหลมทิ่มตำที่ลิ้นปี่และหัวใจ จนแน่นเจ็บไปหมดทั้งลำตัว นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี เลยเอาน้ำมันเหลืองทาทั่วช่องท้องและหน้าอก นอนสักพักอาการทั้งหลายยังไม่ทุเลาลง ก็นึกว่าน่าจะลองล้วงคอให้อาเจียนออกมา คงจะสบายขึ้น เดินไปที่โถชักโครก เอานิ้วล้วงคอเพื่อให้อาเจียน มีน้ำเหนียวๆและเศษอาหารเล็กน้อยหลุดออกมา สักสองสามโอ้กก็พอสบายขึ้น ดื่มน้ำอุ่นแล้ว กลับไปเอนตัวลงนอน งีบไปหน่อยด้วยความเพลีย อาการทั้งหมดนั้นก็เกิดขึ้นอีก สะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จึงลุกขึ้นไปดื่มน้ำอุ่นจัดหนึ่งแก้ว แล้วก็เดินตัวงอเอามือกุมท้องไปเข้าห้องน้ำ มือที่กุมอยู่ทางด้านขวาสัมผัสก้อนแข็งๆเป็นลำยาวทอดขวางอยู่ในท้อง พอคลำดูรู้สึกได้ว่าเป็นแท่งอุจจาระ ยืนงงสักพัก นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ท้องก็แน่นมาก คิดว่าการที่ท้องแน่นคงเพราะก้อนอุจจาระเหล่านี้แน่ๆ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอยากจะถ่ายหนัก ลองล้วงคอดูให้อาเจียนอีก เผื่อความแน่นอึดอัดจะเบาลงบ้าง คราวนี้ไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำลายเหนียวๆ และเจ็บคอมาก ความเจ็บปวดและแน่นท้องยังเช่นเดิม ลองเอาน้ำมันเหลืองมานวดๆคลึงๆหน้าท้อง เผื่อจะผายลม หรือเรอออกทางปาก จะได้เบาสบายขึ้น ไม่ได้ผลค่ะ

อาการปวดเป็นริ้วๆขึ้นมาจากท้องไปเสียดที่ลิ้นปี่และหัวใจ ยืนตรงไม่ได้ ต้องยืนตัวงอ เอามือข้างหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งพาดไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว ซบหน้าลงไปกับมือที่พาดอยู่ ความจุกเสียดยังทะลวงต่อไม่หยุด ตอนนั้นนึกอยากจะไปโรงพยาบาล แต่ขับรถไม่ไหวแน่ คิดถึงลูกชายคนโต และคนรองที่มีบ้านและคอนโดฯ อยู่ใกล้ที่พักของดิฉัน คิดว่าถ้าโทรศัพท์เรียกลูกมารับไปโรงพยาบาล ถ้าลูกรู้ว่าแม่ป่วยมาก เกิดความตกใจ รีบเร่งขับรถอย่างเร็ว ไปชนกับใครเข้า เราต้องเสียใจมากที่เป็นต้นเหตุให้ลูกต้องเกิดอุบัติเหตุ คิดต่อไปอีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว เกือบเที่ยงคืนแล้ว ถ้าลูกพาไปส่งโรงพยาบาล กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ค่อนแจ้ง ลูกจะไม่ได้นอน พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้า เดี๋ยวเขาจะไปทำงานไม่ไหว ยังคิดต่อไม่เลิกว่า ถ้าไปถึงโรงพยาบาล เดี๋ยวหมอซักมากๆเข้าก็จะรู้ว่า สาเหตุเกิดจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลูกก็จะพลอยรู้ไปด้วย เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่โต อย่ากระนั้นเลย ไม่ต้องเรียกใครดีกว่า

พอสรุปด้วยจิตใจที่สับสนวกวนนั้นแล้ว ก็ไม่โทรศัพท์เรียกลูกชายทั้งคนโตและคนรอง แต่จิตยังคิดไม่หยุด จิตประหวัดมาคิดถึงลูกชายคนเล็กที่อยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย ปกติจะกลับบ้านวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ใจอยากให้ลูกกลับบ้านวันนี้ ลองโทรศัพท์ไปคุยดู เผื่อโทร.ไปแล้วจะกลับมาบ้าน อย่างน้อยมีลูกอยู่ใกล้ๆก็อุ่นใจ พอโทรศัพท์ไปถามว่าจะกลับบ้านวันไหน ลูกบอกว่า งานเยอะใกล้สอบ จะกลับวันอาทิตย์ช่วงบ่าย เพราะวันจันทร์ไม่มีเรียน เลยบอกลูกว่า ดีแล้วตั้งใจอ่านหนังสือไป ดิฉันไม่ได้บอกลูกว่าเป็นอะไรอยู่ ลูกก็ไม่สงสัยด้วยค่ะว่าแม่กำลังป่วยหนัก ชวนลูกคุยเรื่องจิปาถะอีกเล็กน้อย เมื่อจบเรื่องก็วางโทรศัพท์ เดินไปที่เตียง นอนคว่ำลงเอาหมอนหนุนสอดรองไว้ที่ท้อง สบายขึ้นมาเล็กน้อย มาคิดต่ออีกว่า ถ้าเราป่วยหนักขนาดนี้ เกิดนอนหลับไปแล้ว และไม่ตื่นขึ้นมาอีกในวันรุ่งขึ้น กว่าลูกจะกลับก็อีกหลายวัน เกิดกลิ่นเหม็นเน่า คนบ้านใกล้เรือนคียงจะลำบาก ประตูบ้านมีสองชั้น เป็นประตูเหล็กดัดที่ล็อคกลอนข้างไหน คนข้างนอกจะเปิดไม่ได้ อีกบานเป็นประตูไม้ลูกบิด อย่ากระนั้นเลย เผื่อเราต้องตายไป คนนอกที่จะเข้าบ้านต้องลำบาก เปิดกลอนประตูเหล็กดัดทิ้งไว้ เหลือแต่ประตูลูกบิด ยังพอไขเข้ามาได้ คิดได้อย่างนั้น ก็เลยลุกเดินตัวงอๆด้วยความเจ็บปวด ไปเปิดกลอนประตูเหล็กดัดไว้ เหลือบดูนาฬิกา ตีสามกว่าแล้ว เดินกลับมาที่เตียง นอนคว่ำต่อเหมือนเดิม จิตใจไม่หวั่นไหวว่าอาจจะตาย ยอมรับได้ว่าถ้าพรุ่งนี้เช้าไม่ตื่น ก็แปลว่าตายแล้ว ในใจก็ว่า…ตายก็ตาย ไม่เป็นไร จิตก็ท่องพุทโธไปเรื่อยๆ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย รุ่งเช้าประมาณตีห้ากว่า รู้สึกตัวตื่นขึ้น อาการต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หายไปแล้ว แต่เพลียมากๆ ลุกไปดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำ มีถ่ายออกมาเป็นน้ำบ้างนิดหน่อย รู้สึกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แม้จะเพลียมาก แต่ก็ยังอาบน้ำแต่งตัวไปออกกำลังกายเป็นปกติเหมือนทุกวัน

(ภายหลังที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง ดิฉันถามลูกชายคนเล็กว่า วันนั้นฟังเสียงแม่ออกมั้ยว่า แม่กำลังป่วยหนักมาก ลูกบอกว่า ฟังไม่ออกเลย เสียงแม่เป็นปกติมาก จับไม่ได้เลยว่า แม่ปวดท้องหนักขนาดนั้น ลูกยังพูดต่อว่า ทำไมแม่ไม่บอกว่าป่วยละ ลูกๆจะได้แสดงความกตัญญูบ้าง ฟังลูกพูดแล้ว ดิฉันน้ำตาคลอเลยค่ะ ซาบซึ้งใจมาก และรู้สึกได้ว่า ที่เราคิดนั้นผิดทั้งหมดเลย มัวแต่ห่วงกังวลกับลูก จนลืมไปว่า ลูกเองก็รักและห่วงใยแม่เช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่บอกเรื่องที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้ลูกรู้ค่ะ)

เหตุการณ์วันต่อๆมาก็เป็นปกติ กินได้นอนได้ ขับถ่ายได้บ้างไม่ได้บ้าง กินยาช่วยระบายท้องเหมือนเดิม จนได้เวลาที่ต้องเดินทางไปพิษณุโลกดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ดิฉันขับรถไปเองเหมือนเช่นเคย ลูกๆไม่มีใครว่างจะไปร่วมไหว้บรรพบุรุษด้วย ยกเว้นลูกชายคนโตและลูกสะใภ้จะตามไปภายหลัง และอยากให้แม่พาไปไหว้ที่สุสานและกราบเยี่ยมอาม่าทั้งสองบ้าน คือแม่ของป๊าและแม่ของแม่ ดิฉันก็ตกลงตามนั้น

ก่อนลูกชายจะมาถึงพิษณุโลก ได้เกิดเหตุการณ์ปวดเสียดท้องอีกครั้งหนึ่งเหมือนตอนที่อยู่กรุงเทพฯ คราวนี้แม่เล็กรู้เห็นเหตุการณ์ด้วย ท่านกังวลมาก ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็เจ็บหลังมาก เพราะไปหกล้มมา แต่ด้วยความรักท่านพยายามนวดท้องให้ดิฉัน เผอิญไปคลำถูกก้อนอุจจาระที่ทอดเป็นลำขวางอยู่ ตกใจมากถามว่าเป็นอะไร ดิฉันก็ว่าถ่ายท้องไม่ออก คงเป็นก้อนอุจจาระ ท่านพยายามนวดคลึงบริเวณท้อง เผื่อดิฉันจะคลายปวดบ้าง ความจริงไม่ทุเลาลงเลย แต่ไม่อยากให้แม่เล็กกังวลมาก จึงบอกท่านว่าดีขึ้นแล้วจะไปนอนละ ดิฉันเดินขึ้นห้องไปนอนคว่ำหน้า เอาท้องกดแนบกับหมอน พอให้รู้สึกสบายขึ้น จิตก็ท่องพุทโธ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย ตื่นขึ้นมาตอนค่อนแจ้ง อาการต่างๆหายไปแล้ว แต่ยังเพลียอยู่พอสมควร ถ่ายท้องออกมาเป็นน้ำจำนวนหนึ่ง สบายท้องขึ้น ก็ไปออกกำลังกายกับเพื่อนๆชาวพิษณุโลก และยังสอนไท้เก๊กด้วยรวมเวลาแล้วก็สองชั่วโมงกว่า

เมื่อกลับมาบ้าน ดิฉันโทรศัพท์ไปหาเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นเภสัชกร เพื่อปรึกษาเรื่องอาการที่เป็น เธอฟังแล้วบอกว่า คงเป็นเพราะก้อนเนื้อในลำไส้โตขึ้น แนะนำว่าดิฉันควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ดิฉันบอกเธอว่า กลับกรุงเทพฯแล้วจะไปพบแพทย์ แต่ตอนนี้ ขอให้ช่วยแก้ไขอาการปวดเสียดแน่นท้องและหน้าอกก่อน เพราะไม่ตด ไม่เรอเลย แถมไม่ถ่ายด้วย ก้อนเนื้ออุจจาระแทบไม่มี มีแต่ส่วนที่เป็นน้ำออกมา เธอก็บอกชื่อยามาให้สองตัวค่ะ เป็นยาขับลมตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งเป็นยาช่วยย่อยอาหาร ดิฉันไปซื้อยาในร้านที่มีเภสัชกร ส่งใบยาที่จดไว้ให้ เภสัชกรซักถามอาการอย่างละเอียดและจัดยาให้ เมื่อกลับบ้านกินยาแล้ว สักครู่ใหญ่อาการแน่นท้องทุเลาลง เหมือนลมถูกขับออก และการย่อยอาหารดีขึ้น ส่วนเรื่องการขับถ่ายก็เหมือนเดิมคือ ต้องกินยาระบาย เพื่อให้ถ่ายได้บ้างในตอนเช้า อาการปวดท้องไม่ปรากฏขึ้นมาอีก ช่วงนั้นดิฉันยังอยู่พิษณุโลก เพื่อรอลูกชายและลูกสะใภ้ที่จะตามมาในอีก 2 วัน

ที่ดิฉันต้องเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและผลเป็นอย่างไรนั้น ก็เพื่อให้ทราบว่า นี่คืออาการกำเริบของมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสี่ (ตอนที่เกิดอาการนั้น ยังไม่ทราบว่าเป็นมะเร็งระยะไหน แต่มารู้ทีหลังจากหมอค่ะ) มันสุดแสนทรมานปางตายจริงๆ แต่ก็อดทน ไม่คร่ำครวญ และหาทางให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนั้นเป็นคราวๆไป เพราะตอนนั้นยังไม่อยากใช้วิธีของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ในที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าหมดหนทางแล้ว ก็ต้อง….ตัดสินใจ ซึ่งการตัดสินใจนี้มีสาเหตุมาจากการที่แม่เล็ก ได้เห็นความทรมานที่เกิดจากการจุกเสียดแน่นท้องของดิฉัน เธอคิดว่า อาการของดิฉันต้องเกิดจากเนื้องอกในลำไส้โตขึ้นแน่ๆ เธอเร่งให้ดิฉันไปพบแพทย์ ดิฉันไม่ยอมไป ได้แต่บอกว่า ไม่เป็นอะไรแล้ว ไปรำไท้เก๊กและสอนได้เป็นปกติ ซึ่งเธอก็เห็นแบบนั้นจริงๆ แต่แม่เล็กไม่ยอมแพ้ ไปบอกให้พี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉันและพี่สะใภ้ให้มาช่วยพูดเกลี้ยกล่อม พี่สะใภ้พูดว่า ตอนนี้โรงพยาบาลในพิษณุโลก มีหมอเก่งๆเยอะ น่าจะไปหาหมอให้ตรวจดูอาการ ดิฉันก็ได้แต่นั่งฟังยิ้มๆ และบอกว่ากลับกรุงเทพฯแล้ว ก็จะไปหาหมอเองแหละ ตอนนี้ไม่เป็นอะไร แข็งแรงดี กินได้ นอนหลับ แล้วยังรำและสอนไท้เก๊กได้ทุกวัน ไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ชั่วโมง ทุกคนหมดปัญญา ลุ้นไม่ขึ้น ได้แต่ส่งสายตากังวลมา เพราะตอนนั้นดิฉันผอมมาก เมื่อมีคนถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงผอมขนาดนี้ ดิฉันก็ได้แต่บอกว่าเปลี่ยนวิธีกินอาหารและแพ้ตัวริ้น ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ7วัน7คืน น้ำหนักลดไปทีเดียว 5 กิโลฯ คนก็เลิกถาม

แม่เล็กยังไม่ละความพยายามที่จะให้ดิฉันไปพบแพทย์ให้ได้ เธอทำอย่างไร ติดตามเรื่องราวต่อไปค่ะ