3. หาทางรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง

ถึงแม้ว่าจะยอมรับและปล่อยวางได้ในโรคที่ตนเองเป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ดิฉันจะละเลยนิ่งเฉยปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญตามกรรม แบบนั้นคือความประมาท และการวางเฉยแบบไร้ปัญญา พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ ดิฉันก็มาใคร่ครวญดูว่า เราจะเอาแนวทางไหนในการรักษาตนเอง บอกตัวเองว่า ถ้าเราต้องการให้เป็นเรื่องของธรรมชาติบำบัด แล้วอะไรล่ะที่จำเป็นที่สุดก่อน ทำให้นึกไปถึงหลัก 5 อ. อันเป็นปัจจัยหลักของการดำรงชีวิตให้มีสุขภาพดี คือ อาหาร, อากาศ, ออกกำลังกาย, เอนกาย(นอนหลับ), และอารมณ์ ซึ่งคำสอนนี้ดิฉันเคยได้ยินจาก หลวงพ่อโพธิรักษ์ ที่วัดสันติอโศก นานมากแล้วและก็จำฝังใจตั้งแต่บัดนั้นมา แต่ตอนนี้ ปัญหาที่มีคือ เราท้องผูกเป็นประจำและเป็นมานาน น่าจะเพิ่มอีก อ. หนึ่ง คือ อ. อุจจาระ สำหรับ อ. ที่หก คิดเอาเองค่ะ และคิดว่าสำคัญไม่น้อยกว่า อ. ทั้งห้าข้างต้น

เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็มาพิจารณาตนเองว่า เราขาด อ. ปัจจัยหลักอันไหนบ้าง อ. อาหาร เรื่องนี้สำคัญ ยกไว้ก่อน ค่อยพิจารณาทีหลัง แล้ว อ. อื่นๆละ เรื่อง อ. อากาศ ไม่มีปัญหา คงไม่ลืมว่า แม่แจ๋วเป็นครูสอนไท้เก๊ก เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายด้วยการรำไท้เก๊ก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ต้องไปสวนเกือบทุกวัน ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาแล้ว ก็มั่นใจว่าแค่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพียงเรื่องเดียว เราจะได้มาถึง 3 อ. คือ ออกกำลังกาย อากาศ และ เอนกาย

คำอธิบายคือ เมื่อออกกำลังกาย ร่างกายจะแข็งแรง นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว สถานที่ออกกำลังกาย เป็นสวนร่มรื่น มีต้นไม้เยอะแยะมากมาย ซึ่งช่วยเรื่องอากาศที่สดชื่น ได้ออกซิเจนที่สดใหม่ทุกวัน ผ่านไป 2 อ.แล้วนะคะ อีก อ. คือ เอนกาย พอเหนื่อยจากการออกกำลังกาย ก็จะทำให้นอนหลับได้ง่ายและนาน คงพอรู้ๆกันอยู่ว่า เมื่ออายุมากขึ้น เริ่มเข้าสู่ปัจฉิมวัย (ใช้คำบาลีสักหน่อย เพื่อไม่ให้สะเทือนใจกับคำว่า….แก่!) เวลาของการนอนหลับจะเหลือน้อยลง เพราะส่วนมากจะเป็นโรค……นอนไม่หลับ ให้สังเกตดู ถ้าใครเอาแต่นั่งๆนอนๆดูทีวี หรือเล่นเฟส เล่นไลน์ เชื่อเถิดร้อยทั้งร้อย จะเป็นโรคตาแข็งค้างนอนไม่หลับ พลิกกระสับกระส่ายทั้งคืน กว่าจะได้นอนก็พ้นเวลาการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย ตกลงเป็น 3 อ. ที่ได้อย่างชัดเจน บอกไว้หน่อย ช่วงเวลาการซ่อมแซมตนเองของร่างกายคนเราคือ ตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสอง

อันที่จริง อ.อาหารก็เป็นผลพลอยได้จากการออกกำลังกายเช่นกัน เพราะพอเหนื่อย ก็จะรู้สึกหิว และกินอาหารได้มากขึ้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกได้ว่า แค่ออกกำลังกายให้สม่ำเสมออย่างเดียว ก็จะได้ปัจจัยหลักของชีวิตถึง 4 ประการเลยทีเดียว

ส่วน อ.สุดท้ายคือ อารมณ์ สำหรับดิฉันแล้ว รู้สึกว่า ถ้าได้ออกกำลังกายแล้ว อารมณ์จะดี แจ่มใส ถ้าลองหยุดออกกำลังกายสัก 2 วัน มันให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล มันไม่คึกคัก ไม่สนุก พาลทำให้อารมณ์ไม่สุนทรีไปด้วย แท้จริงการรำไท้เก๊ก สำหรับดิฉันแล้ว ถือเป็นการทำสมาธิโดยการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการทำสมาธิโดยการเดินจงกรม ถึงกระนั้นก็ตาม ดิฉันก็ไม่ละเลยการนั่งทำสมาธิ ดูจิตดูใจตนเองทุกวัน ครั้งละ 15 – 30 นาที ทุกเช้า-เย็น ซึ่งการนั่งทำสมาธิของดิฉัน ไม่ใช่แค่การนั่งหลับตานิ่งๆ พยายามท่องพุทโธ หรือ นับลมหายใจเพื่อให้จิตสงบ แต่ดิฉันจะใช้เวลาตรงนั้น เพื่อทบทวนในสิ่งที่ตนเองได้กระทำไป ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเวลานอนว่า ในวันหนึ่งๆนั้นเราได้ทำอะไรไปบ้าง ประมาทพลาดพลั้งยังไง ต้องแก้ไขตนเองแบบไหนอย่างไร แต่หากทำอะไรที่คิดว่าดีแล้ว ก็ดูว่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้มั้ย ฯลฯ เมื่อหมดเวลาก็แผ่เมตตา และในระหว่างวัน ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่อย่างไร ที่ไหน ก็พยายามที่จะรู้เนื้อรู้ตัว ทำความรู้สึกตัวเอาไว้ มิให้จิตใจหลงไหลเพลิดพลินไปนาน เอาเป็นว่าแค่นี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นหนังสือสอนการปฏิบัติธรรมไป เมื่อทำอย่างนี้ทุกวัน อารมณ์ต่างๆก็เย็นลง จิตใจเกิดความเมตตา ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง ให้อภัยคนง่ายขึ้น ขี้โกรธน้อยลง ยอมรับความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น เรียกว่า อารมณ์แจ่มใสตลอดทั้งวันก็ว่าได้

คราวนี้มาพูดเรื่องอาหาร เมื่อได้ศึกษาถึงเรื่องอาหาร ก็เลยได้รู้ว่า อาหารประเภทเนื้อสัตว์ทั้งหลายเป็นอาหารของมะเร็งด้วย เพราะความเป็นกรด และอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นของทอด ปิ้งย่างต่างๆ มะเร็งก็ชอบ เลยเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารการกิน ด้วยการพิจารณาดูว่า ถ้าเราชอบหรืออยากอะไรมากๆ มะเร็งก็ชอบหรืออยากอย่างนั้นด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกินอาหารที่มะเร็งไม่ชอบ จึงหันมาศึกษาอาหารมังสวิรัติ และอาหารแนวชีวจิต การกินเนื้อสัตว์ยังไม่ตัดขาดทีเดียว แต่ก็น้อยลงมาก ถ้าใครสนใจอาหารแนวนี้ หาอ่านได้ในอินเตอร์เนต ในที่นี้จะไม่แจกแจงรายละเอียดนะคะ

เมื่อเปลี่ยนอาหารการกินแล้ว น้ำหนักก็ค่อยๆลดลง แต่ร่างกายยังสบายดีอยู่ ยกเว้นเรื่องท้องผูก ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องพึ่งยาระบายเหมือนเช่นเคย ตอนนั้นก็ไม่คิดว่า เป็นเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ทำให้ท้องผูก เพราะส่วนต่างๆของร่างกายไม่สำแดงอาการใดๆทั้งสิ้น ไม่เจ็บไม่ปวด ออกกำลังกายได้ทุกวัน กินได้หลับดี ช่วงนั้นได้แต่คิดว่า เราคงมาถูกทางแล้วที่เปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารการกิน ก้อนเนื้อคงจะค่อยๆยุบลง มั่นใจอย่างนั้น ก็ไม่สนใจกับเรื่องท้องผูก เพราะเป็นมานานมาก จนถือเป็นความปกติของชีวิต ไม่เคยเฉลียวใจว่า ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง กินผักผลไม้มากขึ้น แต่ทำไมท้องยังผูกอยู่ ยังต้องพึ่งยาระบายอยู่เป็นประจำ อย่างนี้เขาเรียกว่า ฉลาดแต่ไม่เฉลียว ยังมีเรื่องไม่เฉลียวใจแบบนี้อีกหลายครั้ง ติดตามต่อไปค่ะ

ผ่านไปหลายเดือนอาการท้องผูกเริ่มหนักข้อขึ้น ยาระบายที่กินอยู่เดิมชักไม่ได้ผล ต้องเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตอนเพิ่มจำนวนก็ดีขึ้นสักไม่กี่วัน จากนั้นก็จะถ่ายไม่สะดวก ถ่ายไม่มาก และเริ่มแน่นท้อง เพราะอุจจาระออกไม่หมด เริ่มมองหาเปลี่ยนยา ส่วนใหญ่จะเป็นยาสมุนไพรไทย ซึ่งจะได้ผลดีในระยะเริ่มแรก จากนั้นก็เหมือนเดิม เปลี่ยนยาอีก ก็ออกมาในรูปการณ์เดิมคือ ถ่ายดีในตอนแรก จากนั้นก็เริ่มถ่ายได้น้อยลง จนไม่ถ่ายเลย แม้จะกินยาจำนวนมากขึ้นก็ตาม อีกครั้งที่ไม่เฉลียวใจเลยว่า ก้อนเนื้อร้ายจะโตขึ้น จนขัดขวางการทำงานของระบบขับถ่าย ตอนนั้นคิดแต่ว่า ถ้าเราถ่ายได้ดี ถ่ายออกมาได้มาก เราก็จะไม่เป็นอะไร และเราก็จะหายจากการเป็นมะเร็ง คิดดังนั้นก็จัดการเรื่องท้องผูกด้วยการหายาระบายใหม่ๆ มาทดลองกินไปเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปจนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2560 ดิฉันไปสอนไท้เก๊กที่จังหวัดพิษณุโลก และเยี่ยมแม่เล็กเหมือนเช่นเคย ระบบขับถ่ายยังคงขัดข้องเหมือนเดิม ก็ใช้กินยาระบายช่วยไป ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ช่าง เพราะไม่มีอาการอะไรอื่นปรากฏขึ้นมาให้เห็น จนถึงวันที่กลับกรุงเทพฯ จำได้ว่าคือวันที่ 15 มีนาคม 2560 ดิฉันขับรถกลับกรุงเทพฯตามลำพัง แวะกินอาหารกลางวันตามปั๊มน้ำมัน ตลอดทางที่ขับรถกลับ มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนร่างกายจะร้อนกว่าปกติ กระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนมาก จึงมีอาการแปลกๆ ประมาณบ่ายแก่ๆก็ถึงบ้าน รีบอาบน้ำอาบท่า ร่างกายสบายขึ้น ทำอะไรไปตามปกติ จนได้เวลานอน ก็เข้านอน

ตกดึกประมาณเกือบเที่ยงคืน ตกใจตื่น เพราะร่างกายร้อนไปหมดทั้งร่างเหมือนไฟไหม้ รู้สึกร้อนรุ่มราวกับเนื้อจะปริทะลักออกมาทุกรูขุมขน โดยเฉพาะตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกรักแร้ ซอกขาหนีบ และข้อพับเข่า สัมผัสแล้วรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติอย่างยิ่ง ทั้งตกใจและแปลกใจ ตั้งสติได้ ก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดไปทั่วร่างกาย ทุเลาไปชั่วขณะที่โดนน้ำ แล้วก็กลับมาเป็นใหม่ ร้อนแผดเผาเหมือนเดิม ชักงงล่ะ! เอายังไงดี นึกได้ว่า ก่อนกลับบ้านซื้อน้ำย่านางคั้นขวดใหญ่มาขวดหนึ่ง น้ำย่านางมีฤทธิ์เย็น น่าจะพอช่วยได้ จึงเทใส่ถ้วยดื่มไปเกือบเต็มแก้ว จากนั้นก็เทน้ำย่านางลงในชามอ่าง เอาผ้าชุบเช็ดตลอดลำตัวเหมือนเดิม ทุเลาลงบ้าง แต่ก็กลับร้อนขึ้นมาอีก ตอนนั้นทั้งง่วงทั้งร้อน ส่องกระจกดู เห็นใบหน้าแดงจัด ตามแขนขาและลำตัว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะความร้อนที่ระอุมาจากข้างใน จึงไปเอาผ้าเช็ดหน้าที่มีทั้งหมด มาชุบน้ำย่านาง แล้วพันที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และข้อพับเข่า อีกผืนหนึ่งโปะไว้ที่หน้าผากและศีรษะ ตอนนี้นอนที่เก้าอี้ปรับเอนนอน เพลียมากหลับไปสักพัก ตกใจตื่นอีกครั้ง เพราะร่างกายเริ่มร้อนเหมือนไฟลุกอีกครั้ง ปรากฏว่าผ้าที่ใช้พันอยู่ตามจุดต่างๆแห้งสนิท เหลือบดูนาฬิกา ตอนนั้นตีหนึ่งกว่าแล้ว ร่างกายยังร้อนอยู่มาก เอายังไงดี?

คิดว่า…ลองอาบน้ำดูเผื่อจะดีขึ้น ก็เลยไปอาบน้ำ ตอนแรกก็ใช้น้ำอุ่นก่อน ไม่อุ่นจัด เปิดเป็นน้ำฝักบัวรดราดไปทั่วใบหน้าและร่างกาย แล้วค่อยเปิดเป็นน้ำเย็น ไม่กล้าราดน้ำที่ศีรษะ เพราะดึกมากแล้ว กลัวผมไม่แห้งจะยิ่งเป็นปัญหา จากนั้นก็เช็ดตัวให้แห้ง สบายเนื้อสบายตัวขึ้น แต่งตัวแล้วก็กลับไปนอนที่เก้าอี้เอนนอน เกือบหลับแล้ว ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมาอีก ใช้ผ้าเช็ดหน้าทั้งหมดชุบน้ำ โปะไปตามจุดอับของร่างกายเหมือนเดิม เหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง ตีสองกว่าแล้ว นอนลงสักพักหลับไปด้วยความเพลีย ตื่นมาอีกครั้งตีสามกว่าเกือบตีสี่ ร่างกายเย็นลงเป็นปกติ ผ้าที่ใช้พัน ใช้โปะตามจุดต่างๆ เกือบแห้งแล้ว เอาผ้าทั้งหมดออก จากนั้นก็นอนต่อและหลับไปได้จนถึงเช้าประมาณหกโมง ตื่นขึ้นมาร่างกายเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ก็ไม่ง่วง ไม่เพลีย และยังไปออกกำลังกายได้เหมือนเช่นเคย

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา ทำให้ดิฉันฉุกคิดขึ้นมาว่า อาการแบบนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน น่าจะเป็นสัญญาณจากก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่หรือเปล่า ไปเปิดเฟสบุ๊คดู ปรากฏหน้าหมอเขียวเด้งขึ้นมา พร้อมคำโฆษณาที่ว่า ศูนย์บาท รักษาทุกโรค แถมมีตารางอบรมค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม อะไรหว่า? พูดแปลกดี น่าสนใจ เข้าไปอ่านรายละเอียดในกูเกิล น่าสนใจมาก พอได้รายละเอียดก็ตัดสินใจทันทีว่า จะลองใช้แนวทางของหมอเขียวในการรักษามะเร็งของตนเอง

พอถึงวันกำหนดเปิดค่ายคือ วันที่ 31 มีนาคม 2560 ดิฉันขับรถไปเข้าค่ายอบรม เป็นค่ายสุภาพและพระไตรปิฎก หมอเขียวมาบรรยายทุกวัน เมื่อได้ฟังจากหมอเขียวถึงความเกี่ยวเนื่องของสุขภาพ และพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ จึงได้รู้ว่าพระปรีชาญาณของพระพุทธองค์นั้น ครอบคลุมไปทุกศาสตร์และศิลปอย่างเป็นระบบ บอกทั้งเหตุที่มาที่ไปแห่งสมุฏฐานของโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา รวมทั้งวิธีแก้ไขและป้องกัน ดิฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการบรรยายของหมอเขียวมาก วิธีรักษาโรคของที่นี่คือ เน้นเรื่องการกินอาหารเพื่อรักษาโรค ถ้าจะบอกว่าใช้อาหารเป็นยาก็ไม่ผิด แต่จริงๆแล้ว แค่อาหารอย่างเดียว ไม่อาจช่วยได้ทั้งหมด ต้องมีองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย หมอเขียวจึงคิดค้นสูตรยา 9 เม็ด เพื่อให้ครอบคลุมการรักษาทุกโรค ดิฉันจะบอกไว้ตรงนี้ว่า ยา 9 เม็ดมีอะไรบ้าง เผื่อจะมีคนสนใจทำตามก็เป็นประโยชน์มาก แต่จะไม่ลงในรายละเอียด ถ้าสนใจกรุณาไปเปิดในยูทูปหรือเฟสบุ๊ค ยา 9 เม็ด มีดังนี้ค่ะ

  1. การดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล
  2. การกัวซา หรือ ขูดพิษ
  3. การทำดีทอกซ์ หรือ การสวนล้างลำไส้
  4. การแช่มือ แช่เท้า
  5. การพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ เช็ด ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน
  6. การออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ การบริหารที่ถูกต้อง
  7. การกินอาหารปรับสมดุลร่างกาย
  8. การใช้ธรรมะ ละบาป บำเพ็ญบุญ เพิ่มพูนใจ ไร้กังวล
  9. การรู้เพียร รู้พักพอดี

คิดค้นโดยอาจารย์ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว) ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์วิถีธรรม สำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อเรียนรู้จากหมอเขียวแล้ว ดิฉันยังติดตามค่ายสุขภาพหมอเขียวอีก 4 ครั้ง ขอเป็นจิตอาสาไปช่วยงานในครัวเพื่อเรียนรู้การทำอาหารสุขภาพ ได้เห็นคนป่วยหนักจำนวนมากที่มีสุขภาพดีขึ้นในค่ายนั้น ได้เห็นคนที่ป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ ซึ่งหมอตามโรงพยาบาลไม่รับรักษาแล้ว เมื่อมาเข้าค่ายสุขภาพ ปฏิบัติตนตามยาเก้าเม็ดของหมอเขียว หายป่วยเป็นปกติกันมากมาย หลายท่านที่หายป่วยจากโรคร้ายแล้ว ก็หวนกลับมาเป็นจิตอาสาช่วยงานหมอเขียว ทุกคนมาช่วยด้วยความสมัครใจ ไม่มีเงินเดือน ในค่ายเองก็ไม่มีการเรี่ยไรเงิน ไม่มีกล่องหยอดเงินทำบุญ เพื่อเป็นค่าอาหาร น้ำ ไฟ และอื่นๆ สำหรับผู้ที่มาเข้าค่ายอบรม ฟรีตลอดรายการ แถมไม่รับเงินบริจาคจากผู้ที่เพิ่งมาเข้าค่ายเป็นครั้งแรก สมกับสโลแกนที่ว่า ศูนย์บาท รักษาทุกโรค จริงๆ

แล้วปัจจัยที่ใช้ในการต่างๆเหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากผู้ที่เข้ารับการรักษา หายป่วยแล้ว และเห็นด้วยหรือชื่นชอบกับการรักษาโรคด้วยวิธีการในแนวหมอเขียว ช่วยกันบริจาค แม้แต่ผู้ที่เป็นจิตอาสาเอง ก็ยังร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อให้งานของหมอเขียวดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะหมอเขียวเอง ก็สละเงินเดือนทั้งหมดของตนเอง เพื่อการนี้ด้วยตลอดมา ดังนั้น เงินทั้งหมดที่ใช้ในกิจกรรมศูนย์บาทรักษาทุกโรคของหมอเขียว จึงมาจากการเสียสละเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง โดยมิได้หวังว่าตนจะได้บุญจากเงินบริจาคนั้น

ดิฉันรักษาตนเองด้วยยาเก้าเม็ดของหมอเขียวมาตลอดเจ็ดเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2560 ช่วงแรกๆทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การดีทอกซ์ ทำให้การถ่ายหนักคล่องขึ้น เหมือนจะถ่ายได้หมดไส้หมดพุงจริงๆ รู้สึกสบายท้องมากๆ แต่มาสังเกตดูถ้าไม่ทำดีทอกซ์สวนล้างลำไส้ ก็ไม่สามารถถ่ายเองได้ จึงต้องทำดีทอกซ์ทั้งเช้าและเย็น ซึ่งเป็นภาระอย่างยิ่ง หนักๆเข้าพอเดือนที่เจ็ด การทำดีทอกซ์ไม่ได้ผล เพราะไม่มีอะไรออกมาเลย จำนวนน้ำที่ใส่เข้าไป1000 – 1500 cc. กับจำนวนน้ำที่ออกมาไม่สมดุลกัน คือไม่มีก้อนเนื้ออุจจาระออกมา มีแต่น้ำออกมาบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ดิฉันก็ไปปรึกษาเพื่อนที่ทำดีทอกซ์อยู่เป็นประจำ และทำมาก่อนที่ดิฉันจะใช้วิธีนี้ ปรากฏว่าของเธอไม่มีปัญหา ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และเธอยังแนะนำให้ดิฉันลองเพิ่มจำนวนน้ำที่ใส่เข้าไปให้มากขึ้นเป็น 2-3 เท่า ดิฉันก็ทำตาม ปรากฏผลออกมาเหมือนเดิม คือมีแต่น้ำออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดิฉันก็เริ่มสำเหนียกถึงความผิดปกติของตนเอง และรู้ว่าการรักษาด้วยวิธีของหมอเขียว ไม่ได้ผลสำหรับเราแล้ว ดิฉันไม่โทษว่าวิธีการของหมอเขียวไม่ถูกต้อง เพราะได้เห็นคนอื่นๆที่มารักษา หายจากโรคได้จริงๆ แต่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเหมาะควรกับดิฉันเท่านั้น ถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่เฉลียวใจอยู่ดีว่า ก้อนเนื้อมะเร็งในลำไส้โตขึ้น ในใจคิดแต่ว่า ถ้าขับถ่ายได้ดีทุกวัน มะเร็งจะหายได้ ยังไม่หมดเรื่องความอวดเก่ง คิดเองและไม่เฉลียวใจอีกค่ะ ติดตามต่อไป

หลังจากความผิดปกตินั้น 2 วัน ดิฉันก็ไปเป็นจิตอาสาของมูลนิธิพุทธฉือจี้ฯ เพื่อไปดูแลครอบครัวบุญคุณ(เราเรียกครอบครัวผู้ยากไร้ว่า ครอบครัวบุญคุณค่ะ) ที่บ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ได้พบเพื่อนท่านหนึ่ง เธอเล่าเรื่องพี่ชายที่เป็นอัมพาตครึ่งซีก กินนอนขับถ่ายอยู่บนเตียง นอนติดเตียงอยู่ปีครึ่ง เมื่อไปรักษาตัวที่วัดตรีวิสุทธิธรรม จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีหลวงพ่อไก่ เป็นผู้คิดค้นสูตรยา และวิธีการรักษาด้วยสมุนไพรไทย เพียง 30 วันพี่ชายเธอก็สามารถขยับเคลื่อนไหวได้บ้าง กินอาหารเองได้ และสามารถขับถ่ายด้วยตนเองได้ เรียกว่า ดีขึ้นถึงสี่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน และยังคงรักษาต่อเนื่องไปอีกประมาณ 1 ปี และตลอดเวลาที่เพื่อนท่านนั้นเข้าออกวัด ยังได้เห็นคนอื่นๆที่มารักษาโรคต่างๆ หายจากโรคร้ายทั้งหลายนั้น บางคนก็หายได้ภายใน 10 วัน, 20วัน หรือ 1 เดือน บางคนก็ต้องใช้เวลาในการรักษา อาจเป็น 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งการรักษาก็คือ ฟรี…ตลอดรายการทั้งเรื่องอาหาร ยาสมุนไพรทุกชนิด และการนอนพักในวัด ซึ่งอันนี้ถ้าจะบอกว่า เหมือนศูนย์บาท รักษาทุกโรคของหมอเขียว ก็ไม่ผิดค่ะ เพียงแต่ของหมอเขียวไม่มียา แต่ที่วัดใช้ยาสมุนไพรทั้งยาหม้อ และยาที่บรรจุในแคปซูลเป็นหลัก เมื่อฟังรายละเอียดแล้วดิฉันก็สนใจ จึงนัดวันไปกราบหลวงพ่อ แต่ในใจคิดไว้ว่า ถ้าไปกราบหลวงพ่อแล้ว และท่านใช้วิธีเป่ากระหม่อม รดน้ำมนต์ หรือเสกอะไรต่างๆ ก็จะไม่พูดอะไร จะจากไปแบบเงียบๆโดยไม่ใส่ใจอีก

หลังจากไปกราบหลวงพ่อไก่และฟังคำแนะนำจากท่านแล้ว ดิฉันก็ต้องทึ่งกับคำพูดของท่าน ท่านกล่าวว่า แพทย์แผนปัจจุบัน รักษาแต่ทางด้านร่างกายภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ แต่ที่วัดนี้ รักษาถึงสามทาง คือทางกาย ทางใจและทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการรักษาโรคจากต้นเหตุ เมื่อมาอยู่ที่วัด ก็จะได้ใช้วิธีการต่างๆที่ทางวัดจัดไว้ให้ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองทั้งสามทางดังที่กล่าวมาแล้ว

หลังจากกราบลาหลวงพ่อแล้ว เพื่อนท่านนั้นซึ่งมีความคุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่นั้นอย่างยิ่ง พาพวกเราเดินชมโดยรอบบริเวณวัด ไปยังห้องต่างๆที่ใช้ศาสตร์ทางการแพทย์พื้นบ้านรักษา อาทิเช่น ห้องนวดตัว ห้องนวดเท้า ห้องฝังเข็ม บ่อน้ำสมุนไพรแช่ตัว ห้องปรุงยาสมุนไพร ห้องพักนอนรวมของคนป่วยที่มารับการรักษาและอื่นๆ หลังจากเดินดูทั่ววัดแล้ว ดิฉันก็ตัดสินใจที่จะไปอยู่วัดหนึ่งเดือนตามคำแนะนำของหลวงพ่อ เพื่อกินยาสมุนไพร และรักษาร่างกายด้วยวิธีการต่างๆตามแบบของแพทย์แผนไทย เช่นการนวด ประคบ อบอาบน้ำสมุนไพร การฝังเข็ม การสวดมนต์และการทำสมาธิ ดิฉันคงจะไม่ลงในรายละเอียดของการรักษา แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังคือ

ทุกคนที่ไปรักษาตัวที่วัด ต้องกินยาถ่ายน้ำเหลืองทุกเช้าก่อนอาหาร 1 – 2 ชั่วโมง ยาตัวนี้เป็นยาหม้อสมุนไพรไทยเช่นกัน สาเหตุที่ต้องกินยานี้ ก็เพราะหลวงพ่อบอกว่ามนุษย์เกือบทุกคน จะมีสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ทั้งเล็กและใหญ่เยอะมาก และสิ่งนี้เองเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆแก่ร่างกายของเรา และเมื่อกินยานี้ ก็จะทำให้ถ่ายท้องออกมาหลายๆครั้งในหนึ่งวัน เพื่อขับพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด การถ่ายท้องนั้น โดยส่วนใหญ่จะถ่ายกันมากถึงวันละ 10 ครั้งขึ้นไป แม้กระนั้นก็ตาม ทุกคนไม่มีอาการเพลีย มวนท้อง หรือปวดหน่วงเหมือนการกินยาถ่ายทั่วๆไป แต่กลับทำให้การถ่ายนั้นคล่องมากขึ้น ถ่ายได้มากขึ้น และสบายเนื้อตัวมากขึ้น

ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นเวลา 1 เดือนเต็มที่ดิฉันอยู่วัดเพื่อรักษาโรค ปรากฏว่าเพื่อนๆที่ไปด้วยกัน และผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆที่มาจากทั่วทุกสารทิศ แม้แต่ชาวต่างชาติ ต่างก็หายจากโรคร้ายนั้นๆกันมากมาย บางคนที่เดินไม่ได้ ต้องแบกหามกันมา ก็สามารถเดินได้ภายใน 10 วัน หรือ 20-30 วัน หลายคนมีสภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดีขึ้น จิตใจแจ่มใสเบิกบาน จากการกินยาสมุนไพร และยาถ่ายน้ำเหลือง รวมทั้งการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนไทยอื่นๆ พวกเขาเหล่านั้น แม้จะมีบ้างที่น้ำหนักลดลง แต่ก็ดูแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส หลายคนก็อ้วนท้วนสมบูรณ์สดใสขึ้น ได้เห็นกระจ่างชัดแก่ตา แก่ใจ

แต่สำหรับดิฉัน กลับไม่เป็นเช่นนั้น กินยาถ่ายน้ำเหลือง ก็ไม่ถ่ายมากเหมือนคนอื่นๆ มีอาการท้องอืดและถ่ายไม่ค่อยคล่อง ถ้าวันไหนถ่ายได้สัก 5-6 ครั้งก็จะดีใจมากๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะแน่นท้อง ต้องใช้วิธีนวดท้องช่วย ซึ่งการนวดท้องก็จะช่วยได้ในระยะแรกๆ พอทำครั้งต่อไป ผลการถ่ายยังคงไม่ดีเหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อครบ 1 เดือน ร่างกายดิฉันกลับซีดเซียวผอมซูบและทรุดโทรมลงกว่าเดิม ถึงกระนั้นก็ยังไม่เฉลียวใจอยู่ดีว่า ก้อนเนื้อร้ายในลำไส้โตขึ้น คิดแต่ว่า เราคงทำอะไรไม่ถูกต้องแน่ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อครบกำหนด 1 เดือน คือสิ้นเดือนพฤศจิกายน กลับมาอยู่บ้าน กินอาหารได้มากขึ้น อ้อ! ลืมบอกไปค่ะว่า เมื่ออยู่วัด สำหรับผู้ป่วยหนักด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง, เบาหวาน, ไต งดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ทุกชนิด ดังนั้นเมื่อมาอยู่บ้าน แม้จะซื้อยาสมุนไพรจากทางวัดมาด้วย ดิฉันก็ไม่ได้งดเนื้อสัตว์เหมือนตอนอยู่วัด ร่างกายได้รับโปรตีนมากขึ้น ก็กลับอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้น น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ไม่ซีดเซียวเหมือนตอนอยู่วัด และยังคงไปออกกำลังกายตามปกติ แต่ในใจนั้นรู้ดีว่า ก้อนเนื้อร้ายยังอยู่ ยังคิดที่จะกลับไปรักษาตัวที่วัดอีกครั้ง คิดว่าครั้งต่อไปนี้จะต้องทำให้ดีที่สุด และเราจะต้องหายจากโรคมะเร็งแน่ๆ แต่เนื่องจากว่าติดนัดไปเที่ยวเชียงใหม่ 8วัน 7คืน ช่วงกลางเดือนมกราคม 2561 ดังนั้นจึงต้องรอให้จบทริปนั้นก่อนจึงจะไปได้

เมื่อเสร็จจากการไปเที่ยวแล้ว ก็มากำหนดกับเพื่อนๆทั้งคนเก่าและคนใหม่ว่าจะไปวัดวันไหน ซึ่งก็ได้วันที่ช่วงปลายเดือนมกราคม พ.ศ.2561 ไปอยู่วัดเพื่อกินยาสมุนไพรทั้งยาน้ำและแคปซูลเหมือนเดิม การไปครั้งนี้มีเพื่อนคนใหม่ไปด้วย ส่วนเพื่อนที่เคยไปด้วยกันในครั้งแรก และได้ผลดีจากการรักษา ก็พาญาติตนเองที่เป็นเบาหวานอย่างหนักไปด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ สำหรับคนอื่นๆที่ไปรักษาตัว ปรากฏว่าทุกคนได้ผลดีหมด เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพียงแค่สิบกว่าวันก็เห็นผลเลยว่า สภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้นมาก เพื่อนทุกคนที่ไปด้วยกันต้องการอยู่ต่อให้ครบ 1 เดือน เพื่อจะรักษาโรคต่างๆที่ตนเองเป็นอยู่ให้หายขาด โดยเฉพาะการกินยาถ่ายน้ำเหลือง เพื่อให้ยานั้นขับของเสียออกจากลำไส้ทั้งใหญ่และเล็กให้มากที่สุด หรือหมดเกลี้ยงไปเลย และพอผ่านไปได้สักยี่สิบวัน ทุกคนที่ไปด้วยกัน ก็มีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก จิตใจก็สบายแจ่มใส

ญาติของเพื่อนที่เป็นเบาหวานขนาดหนักนั้น ตอนมาแรกๆ เดินโขยกเขยก แข้งขาไม่มีกำลัง ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว จิตใจท้อแท้ ห่อเหี่ยว ใบหน้าซีดเซียว แววตาอมทุกข์ แต่พอผ่านไปได้ยี่สิบวัน ได้เปลี่ยนอาหารการกินตามที่ทางวัดจัดให้ และกินยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่างๆที่รุมเร้าอยู่ รวมทั้งการนวด อบ ประคบ แช่น้ำร้อนในบ่อสมุนไพร ฯลฯ ค่าของเบาหวานลดลงจนเป็นปกติ ลักษณะการเดินก็เปลี่ยนแปลงไป สามารถเดินได้ตรงทาง ไม่เดินโยกไปโยกมาเหมือนตอนแรกที่มา ร่างกายเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ใบหน้าผ่องใส แววตาแจ่มใสร่าเริง ดูมีความสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่เฉพาะแค่คนในกลุ่มที่มากับดิฉันเท่านั้น ที่มีอาการต่างๆดีขึ้นอย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว แม้คนอื่นๆที่มาจากที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และมาเพื่อรักษาตัวด้วยโรคต่างๆที่รุมเร้าอยู่นั้น ต่างก็มีสภาพทางกายและทางใจ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับดิฉัน ทุกอย่างเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับคนอื่นๆ สิบวันแรก ก็พอจะเป็นไปได้อยู่ แต่การตอบสนองต่อยาถ่ายน้ำเหลืองยังคงเหมือนครั้งแรกที่มา คือไม่ถ่ายคล่องเหมือนคนอื่นๆ พออยู่ต่อไปได้ยี่สิบวัน อาการก็กำเริบหนักขึ้น คราวนี้มีอาเจียน กินข้าวไม่ลง เบื่ออาหาร ท้องอืด ไม่ผายลม ไม่เรอ อึดอัดแน่นท้อง แม้จะกินยาขับลมเข้าไป ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น บางคืนร่างกายก็ร้อนราวกับไฟลุก ต้องเช็ดตัวตลอดคืน อาการต่างๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2560 น้ำหนักร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ผอมซูบไม่มีแรง โดยเฉพาะห้าหกวันก่อนครบกำหนดหนึ่งเดือน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ที่ทำให้ดิฉันเกิดอาการคันไปทั่วร่างกาย เกิดผื่นเป็นปื้นใหญ่ ไปทั่วทั้งลำตัวและแขนขา คันมากแม้จะทาคาราไมน์แก้คัน กินยาชนิดต่างๆที่ทางวัดจัดให้ ก็ไม่ทุเลา ช่วงนั้นเป็นมากขนาดกินไม่ได้ นอนไม่หลับติดต่อกันหกวัน อาการนอนไม่หลับคือ แม้จะรู้สึกง่วงจัดและอยากนอนมาก แต่พอล้มตัวลงนอน ก็จะสะดุ้งตื่นทันที ตาแข็งค้าง เป็นอย่างนี้ตลอดคืน ตื่นเช้าก็จะมีอาการตัวลอยๆ ไม่มีแรง สมองมึนงง ไม่มีความสุข เวลากินอาหาร ลิ้นไม่รู้รส อาหารทุกชนิดรสชาติเดียวกันหมด คือรสขื่นๆปร่าๆ และเจ็บปากมากเวลาเคี้ยว

ตอนนั้นดิฉันได้แต่โทษว่า ตนเองคงแพ้ตัวริ้น (แมลงชนิดหนึ่ง ตัวกลมๆ ดำๆ) เนื่องจากมีฝนตกใหญ่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ที่ดิฉันคิดว่าตนเองแพ้ตัวริ้น ก็เพราะว่าเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่ไปอยู่วัดป่า ตัวริ้นชุมมาก โดยเฉพาะหลังฝนตก และเมื่อโดนกัด ก็จะคันมากๆ มีตุ่มพองขึ้นมา ยิ่งเกายิ่งคัน คันจนกลัว แต่ในตอนนั้นไม่มีรอยผื่นเป็นปื้นเหมือนตอนนี้

หลังจากนอนไม่หลับหกวันเพราะอาการแพ้นั้น ก็ได้เวลากลับบ้านพอดี เมื่อถึงบ้านแล้วอาการผื่นคันยังคงเป็นอยู่ พอคันมากก็ทายา มียาอะไรก็สารพัดจะทา อาการคันทุเลาลงบ้าง รู้สึกง่วงจัด พอล้มตัวลงนอน ก็สะดุ้งตื่น ตาแข็งค้าง ไม่หลับ สุดท้ายได้งีบไปนิดหน่อยตอนค่อนแจ้ง ตื่นขึ้นมาเพลียมากๆ รู้สึกมึนๆลอยๆ คิดเอาว่าถ้ายังนอนไม่หลับอีก คงต้องตายแน่ๆแล้ว นี่ก็เจ็ดวันแล้ว รอยผื่นเป็นปื้นยังมีอยู่ทั่วร่างกายและคันมาก ลองเปิดอินเตอร์เน็ตดูเรื่องรอยผื่น ได้เห็นภาพถ่ายรอยผื่นที่ปรากฏ เป็นรอยลักษณะเดียวกับที่ดิฉันเป็นอยู่ และชื่อโรคนั้นคือ ”โรคไฟลามทุ่ง” สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “สเตรปโตคอคคัส ไพโอจีนัส”

เมื่อรู้จากอินเตอร์เนตดังนั้นแล้ว ก็มาคิดว่าจะไปหาหมอแผนปัจจุบันที่ไหนดี ตอนนั้นคิดไม่ออกจริงๆค่ะ เลยมานั่งคิดว่าจะมีใครที่เรารู้จักและแนะนำได้ คิดอยู่สักครู่ก็นึกถึง เพื่อนรุ่นน้องท่านหนึ่ง เป็นเภสัชกรเปิดร้านขายยาอยู่แถวแฟลตคลองจั่น น่าจะรู้เรื่องดี และเธอก็รู้เรื่องที่ดิฉันเป็นมะเร็ง จึงโทรศัพท์ไปคุย (ที่ต้องโทร.คุยเพราะเธออยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ พาลูกไปเรียนหนังสือที่นั่น) ดิฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เธอขอให้ดิฉันถ่ายภาพรอยผื่นที่เกิดขึ้นนั้นให้ดู ดิฉันทำตามคำแนะนำ ส่งภาพไปทางไลน์ส่วนตัว เมื่อเธอเห็นภาพ ก็โทรศัพท์กลับมาบอกว่า รอยที่เห็นนั้นไม่ใช่โรคไฟลามทุ่ง เพราะถ้าเป็นโรคไฟลามทุ่งจริงๆ จะเป็นเรื่องใหญ่มาก รอยผื่นนั้นน่าจะเกิดจากการแพ้อะไรสักอย่างหนึ่ง จากนั้นเธอก็แนะนำยาทาและยากินสำหรับอาการแพ้นั้น ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

เมื่อจดชื่อยาไว้แล้ว เพื่อนท่านนั้นก็พูดต่อไปว่า อาการต่างๆตามที่ดิฉันเล่าให้ฟังนั้น แสดงว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องอย่างหนัก น้ำหนักตัวที่ลดลง อาการแพ้อย่างมาก การนอนไม่หลับ และกินอาหารไม่รู้รส ล้วนเป็นการแสดงออกของภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งน่าเป็นห่วงมากๆ เธออยากให้ดิฉันไปพบหมอ และบอกให้ทางบ้านรู้ว่า ดิฉันเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ ดิฉันยังไม่อยากให้ใครๆรู้เรื่องมากไปกว่านี้ ยังไม่เชื่อถือการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน จึงปฏิเสธไป และเล่าให้เธอฟังเรื่องน้องชายสองคนที่เป็นโรคมะเร็ง ต้องตายไปด้วยการรักษาของแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แต่นี่ดิฉันสามารถยื้อชีวิตตนเองมาได้ถึงสองปี ด้วยวิธีต่างๆอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วนั้น จึงยังไม่คิดที่รักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน และก็เผอิญอย่างยิ่งที่เพื่อนเภสัชกรท่านนี้ เคยเรียนแพทย์แผนจีนกับอาจารย์แพทย์จีนท่านหนึ่งอยู่เป็นปี ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านต่างๆ เช่น การฝังเข็ม การกัวซารักษาโรค การนวดกดจุด การแมะชีพจรเพื่อตรวจระบบภายใน รวมทั้งเรื่องยาสมุนไพรจีน

ดิฉันจึงปรึกษาเธอ เรื่องที่จะรักษาด้วยวิธีของแพทย์แผนจีนซึ่งในช่วงตอนนั้น เธอมีการติดต่อกับหมอจีน ที่เดินทางมาจากเมืองจีน และกลับไปก่อนที่ดิฉันจะได้ออกจากวัดที่สุพรรณ เธอบอกว่า คุณหมอท่านนั้นกลับเมืองจีนไปแล้ว แต่สามารถติดต่อทางไลน์ได้ และคุณหมอจะวินิจฉัยโรคจากการ..ดูลิ้น..เท่านั้น ก็สามารถบอกได้ว่า เราเป็นโรคอะไร และต้องรักษาอย่างไร เธอบอกว่าให้ดิฉันถ่ายภาพลิ้นที่แลบออกมายาวที่สุด ยิ่งเห็นถึงโคนลิ้นได้ยิ่งดี จากนั้นก็ถ่ายภาพหน้าตรงของดิฉันเอง รวมทั้งบอกอาการต่างๆที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไปอย่างละเอียด ซึ่งเธอจะส่งคำถามเหล่านั้นมาเป็นข้อๆ ให้ดิฉันตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง คุณหมอก็จะสามารถวินิจฉัยโรค และสั่งยาได้ถูกต้อง ดิฉันตกลงใจที่จะทำตามที่เธอบอกมา และยังถามเธอว่า มียาอะไรที่ช่วยรักษาเรื่องภูมิคุ้มกันบกพร่องบ้างมั้ย เธอบอกว่า เท่าที่นึกได้ก็ยังไม่มี แต่จะลองสอบถามหมอจีนให้ และเธอยังบอกอีกว่าให้ดิฉันระวังตัวไว้ให้ดี เพราะต่อไปนี้ร่างกายจะแพ้อะไรๆได้ง่ายมากๆ ช่วงตอนนี้ก็ให้กินอาหารทำสุกใหม่ๆ กินให้มาก นอนให้มาก ก็จะช่วยได้ระดับหนึ่ง ดิฉันบอกขอบคุณเธอไป ก่อนที่จะยุติการสนทนา

ดิฉันไปซื้อยา กินยาและทายาตามคำแนะนำของเพื่อนท่านนั้นอย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการกินอาหาร แม้จะไม่รู้รสชาติของอาหารทุกชนิด และเจ็บปากมากขณะเคี้ยวและกลืน ก็ทนเอาคิดว่าอาหารก็เป็นยาอย่างหนึ่ง กินจนหมดชามทุกมื้อ อาการคันทุเลาลงมาก จนหายเป็นปกติภายใน 2-3 วันเท่านั้น แต่การกินอาหารไม่อร่อย เจ็บปากมากตอนกิน ยังมีเหมือนเดิมอยู่อีกนานพอสมควร

จบบทนี้ด้วยน้ำหนักที่ลดลงฮวบฮาบเหลือเพียง 44 กิโลกรัมเท่านั้น ในขณะนั้นคิดแต่เพียงว่า เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับเจ็ดวันเจ็ดคืน เลยทำให้น้ำหนักลด อันที่จริงมารู้ภายหลังว่า ถูกเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งมาจากการกำเริบของก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างหนัก