5. แม่…แจ๊คจะซิ่วใหม่ !
ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ คงต้องอธิบายคำว่า “ซิ่ว” ให้ฟังก่อนว่าหมายถึงอะไร คำนี้ดิฉันเคยถามลูกแล้วว่ามันแปลว่าอะไร มีที่ไปที่มาอย่างไร ลูกแจ๊คบอกว่า มันแปลว่าจะสอบเอ็นทรานส์ใหม่ ใช้ได้กับผู้ที่สอบเอ็นทรานส์ได้แล้วเท่านั้น บางคนเมื่อเข้าเรียนในสถาบันที่ตนสอบติดแล้ว แต่เรียนๆไป ชักไม่ชอบใจ อยากจะออกมาสอบใหม่ ก็เรียกว่ามาซิ่วใหม่ บางคนสอบติดคณะที่ตนเองไม่พอใจ อยากเรียนในคณะหรือสถาบันที่ตนชอบ และคิดว่าตนมีความสามารถมากพอ ก็ไม่เข้าเรียนในสถาบันที่ตนสอบได้ เตรียมตัวดูหนังสือเพื่อสอบใหม่อีกครั้ง ก็เรียกว่าจะซิ่วใหม่ ส่วนคำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรลูกก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเขาพูดกันมาอย่างนี้ ก็พูดตามๆกันมา คุณคงพอเข้าใจคร่าวๆแล้ว ดิฉันก็จะได้เล่าเรื่องของลูกต่อไป
เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน ที่ลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ลูกๆมัวสนุกสนานกับกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ จนลืมการเรียนแบบใหม่ที่ต้องช่วยตัวเองมากขึ้น ผลการเรียนเลยทะรูดทะราดจนเจ้าตัวรับไม่ได้ ใช่แล้วค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกดิฉันเช่นกัน เคยบอกไว้แล้วว่า ลูกแจ๊คเรียนดีมากเมื่ออยู่ชั้นมัธยม คะแนนสอบเอ็นทรานส์ก็ดีมาก ขนาดที่ว่าจะเลือกเรียนคณะอะไรในมหาวิทยาลัยดังๆของรัฐฯก็ได้เกือบทุกคณะ เมื่อลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ตนต้องการได้แล้ว ก็สนุกสนานเพลิดเพลินกับการรับน้อง ซ้อมเพลงเชียร์ ซ้อมกีฬา กิจกรรมต่างๆของคณะฯและแม้กระทั่งเรื่อง “เพื่อนหญิง” จนกระทั่งผลการสอบเทอมแรกลูกได้เกรดสองจุดห้า ลูกตกใจและเสียใจมาก จึงพูดกับดิฉันว่า
“แม่! แจ๊คจะซิ่วใหม่” เมื่อได้ยินลูกพูดอย่างนั้น ดิฉันก็ถามลูกว่า
“ทำไมล่ะ”
“แจ๊คได้คะแนนไม่ดี แจ๊คว่าแจ๊คคงไม่ชอบคณะนี้”
“แล้วหนูจะเลือกคณะอะไร ถ้าจะซิ่วใหม่ปีหน้า”
“แจ๊คก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
“ก็หนูอยากจะเป็นอะไรล่ะ ถ้าหนูเรียนจบนะ”
“แจ๊คก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าแจ๊คอยากจะเป็นอะไร” ดิฉันนิ่ง
อึ้งไป ไม่รู้จะพูดอะไรดี รู้แต่ว่าขณะนี้ลูกกำลังเสียใจมาก และคงสับสนหรืองงๆกับคะแนนที่ตนได้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลูกได้คะแนนต่ำมาก ดิฉันได้แต่นิ่งเงียบและเก็บเรื่องของลูกไปคิดว่าจะพูดกับลูกอย่างไรดี
วันรุ่งขึ้น ลูกแจ๊คไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย เพราะเป็นช่วงปิดเทอมแรก เมื่อดิฉันกลับจากออกกำลังกาย เห็นลูกกำลังนอนเล่นดูทีวีอยู่ จึงบอกกับลูกว่า เดี๋ยวแม่อาบน้ำแล้วจะมาคุยด้วย สักครู่ใหญ่ๆเมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็มานั่งข้างๆลูกพูดขึ้นว่า
“แจ๊ค หนูคิดไว้แล้วหรือยังว่าจะซิ่วใหม่คณะอะไร”
“ยังเลยแม่ อีกตั้งนานหลายเดือน รอใกล้ๆก่อนค่อยคิดแล้วดูหนังสือ”
“แม่ว่า ความจริงคะแนนของแจ๊คมันก็ไม่น้อยหรอกนะลูก แต่เพราะหนูเคยได้แต่เกรดสี่ พอมาได้เกรดสองจุดห้าก็เลยรู้สึกว่ามันได้น้อย และอีกอย่างหนึ่งการเรียนในมหาวิทยาลัยกับการเรียนชั้นมอ.มันต่างกันมากนะลูก การเรียนระดับนี้ทุกคนต้องช่วยตัวเองอย่างมาก ไม่เหมือนชั้นมัธยมที่มีครูอาจารย์คอยบอกคอยสอน หรือคอยป้อนข้อมูลให้ นักเรียนไม่ต้องไปใฝ่หา คุณครูหามาให้เรียบร้อย เหมือนนักเรียนแค่เคี้ยวกับกลืนเท่านั้น เมื่อการเรียนมันเปลี่ยนแปลงมากอย่างนี้ นิสิตนักศึกษาเยอะแยะที่ปรับตัวไม่ทัน เกิดอาการที่เรียกว่า“Panic” เลยเรียนได้ไม่ค่อยดีในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นเมื่อปรับตัวได้ ก็จะเรียนได้ดีขึ้นเอง” ดิฉันนิ่งเพื่อดูอาการของลูก ลูกก็พูดขึ้นว่า
“แต่พวกเพื่อนที่เรียนเก่งมากๆก็มีเยอะนะแม่ พวกนั้นเขาเรียนเก่งจริงๆได้เกรดกันสูงๆ ตั้งสามจุดเจ็ด สามจุดแปด”
“แล้วพวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมเหมือนที่แจ๊คไปร่วมด้วยหรือเปล่าละ เช่นเล่นกีฬาหรือซ้อมเชียร์นะ”
“ก็มีบ้างนะแม่ แต่ไอ้พวกนี้มันไม่ยอมวางหนังสือเลย อือ! ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ค่อยร่วมกิจกรรมเท่าไร”
“แล้วหนูดูว่าเขาเครียดกันมากหรือเปล่าล่ะ พวกที่ได้เกรดสูงๆแบบนี้เยอะมั้ย แล้วพวกที่ได้เกรดพอๆกับหนูมีมากหรือมีน้อยกว่ากัน”
“ก็พอๆกันนะแม่ ครึ่งต่อครึ่ง”
“งั้นหนูก็หาเพื่อนติวซิลูก แม่จำได้ว่าตอนที่แม่เรียนมหาวิทยาลัย แม่ก็ต้องหากลุ่มเพื่อนเพื่อติววิชาเหมือนกัน ไม่มีใครเก่งไปซะหมดทุกวิชาหรอกนะลูก การเรียนในมหาวิทยาลัยต้องเรียนแบบช่วยเหลือกัน ขืนต่างคนต่างเรียนก็คงจะแย่กันหมด จะเหลือคนที่เก่งจริงไม่กี่คน และคนที่จะเป็นเพื่อนติวดีที่สุดคือเพื่อนที่เรียนได้เกรดพอๆกับเรา หรือสูงกว่านิดหน่อย เพราะคนที่เรียนเก่งมากๆมักจะไม่ยอมเสียเวลามาติวให้เพื่อน”
ลูกพยักหน้ารับไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“ลูกรู้มั้ย จากประสบการณ์ของแม่ที่ทำงานมายี่สิบกว่าปี สังเกตดูพวกที่เรียนเก่งมากๆมักจะเรียนต่อปริญญาโทหรือถึงปริญญาเอกเลย จบแล้วก็ไปเป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ มักไม่มาทำงานในหน่วยงานด้านธุรกิจหรือองค์กรทั่วไป ส่วนพวกที่ได้เกรดสองกว่าจนถึงสาม จะเป็นกำลังสำคัญให้กับหน่วยงานต่างๆมากกว่ามาก และสุดท้ายพวกที่ได้ดี ตำแหน่งสูง หรือทำงานได้เงินเยอะๆตามบริษัททั่วไป ก็ไม่เห็นมีใครเรียนเก่งมากๆซักคน ก็เกรดประมาณนี้แหละลูก เกรดจะสำคัญก็ตอนสมัครงานนะลูก ประมาณสองจุดแปดขึ้นถือว่าใช้ได้เลย ลูกคิดว่าซักสองจุดแปดมันจะยากเกินไปหรือเปล่าล่ะ”
“ก็คงพอได้มั่งครับ แม่” น้ำเสียงลูกที่ตอบมาเริ่มคลายกังวลไปบ้าง ดิฉันจึงพูดต่อว่า
“แม่จะบอกอะไรให้นะลูก แม่ไม่ต้องการลูกที่เรียนเก่งมากๆแล้วเคร่งเครียดหมกมุ่นอยู่กับตำราทั้งวันทั้งคืน แม่ต้องการให้ลูกเรียนแบบมีความสุข การเรียนระดับนี้ จะมีสามเรื่องให้หนูต้องระมัดระวังคือ เรียน เล่น รัก ทั้งสามเรื่องนี้หนูต้องแบ่งเวลาให้เป็น ในมหาวิทยาลัยจะมีกิจกรรมต่างๆให้เข้าร่วมมากมาย เรียกว่าถ้าจะทำแต่กิจกรรมแล้ว ก็ไม่เป็นอันต้องได้เรียนหนังสือกัน แต่เราต้องรู้ตัวว่า ที่เราบากบั่นมาเข้ามหาวิทยาลัยด้วยความยากลำบากนั้น เรามาเรียนหาวิชาความรู้หรือมาทำกิจกรรม แล้วเรื่องแฟนก็เหมือนกัน แม่ไม่ห้ามนะที่ลูกมีแฟน เพราะสมัยที่แม่เรียนหนังสือ แม่ก็มีหนุ่มมาชอบหลายคน แต่แม่ก็ยังคิดว่าเรื่องเรียนสำคัญ ถ้าหนุ่มไหนเรียนไม่ได้เรื่อง แม่ถือว่าหนุ่มนั้นอนาคตไม่ดีแน่นอน เพราะแค่เรื่องเรียนเรื่องเดียวในปัจจุบัน ยังไม่มีความรับผิดชอบ แล้วจะไปรับผิดชอบในอนาคตได้อย่างไร รู้มั้ย? ที่แม่เลือกป๊าหนูก็เพราะป๊าเรียนเก่งมาก แม่รู้ว่าถ้าแม่เลือกเขาแม่ต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน แล้วแฟนหนูเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“เรียนดีแม่ ได้เกรดประมาณสามจุดหก สามจุดเจ็ด”
“ดีลูก นั่นแสดงว่าเขาเห็นว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันเป็นตัวบ่งชี้ถึงงานในอนาคตของเขา ผู้หญิงชอบผู้ชายเก่งนะลูก เพราะจะทำให้รู้สึกถึงความเป็นผู้นำและความมั่นคงของอนาคต แม่จำได้ว่าหนูเคยบอกว่า โตขึ้นแล้วหนูอยากจะทำงานอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องยุ่งกับคนมากๆ ใช้ความสามารถของตัวเอง ทำงานในห้องแอร์สบายๆอยู่คนเดียว หรือคนน้อยๆ แล้วได้เงินเดือนเยอะๆ หนูยังคิดอย่างนั้นอยู่มั้ย”
ลูกพยักหน้ารับ ดิฉันจึงพูดต่อไปว่า
“งั้นแม่ว่า การที่หนูเลือกเรียนวิศวคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะถูกกับนิสัยของลูกแล้ว เพียงแต่ลูกต้องแบ่งเวลาให้ถูกเท่านั้น เรื่องเรียนต้องมาก่อนอันดับแรก ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องเล่น จะเป็นเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมก็ตาม ต้องมีเวลาเหลือจากเรียนแล้วจึงไปทำ ส่วนเรื่องรักต้องเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะถ้าหนูทำสองเรื่องแรกให้ดีแล้ว เรื่องรักก็จะพลอยดีไปด้วย แม่ว่าหนูลองแบ่งเวลาใหม่ แล้วลองตั้งใจเรียนดูอีกเทอมนึง ถ้าหนูยังรู้สึกว่าไม่ชอบเรียนคณะนี้ แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องจะซิ่วใหม่ ดีมั้ย”
ลูกรับคำด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายอย่างยิ่ง เทอมที่สองลูกเรียนดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ลูกก็ไม่พูดเรื่องที่จะไป“ซิ่วใหม่”อีกเลย เมื่อขึ้นปีสองซึ่งเป็นปีที่ลูกต้องเรียนวิชาของภาควิชาที่ตนเองเลือกไว้ ปรากฏว่าเรียนหนักมาก เพราะเป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด ช่วงนั้นลูกยังไม่ได้อยู่หอพักใกล้ๆสถานที่เรียน ต้องใช้เวลาเดินทางทั้งขาไปและกลับเกือบสี่ชั่วโมงทุกวัน ลูกจึงดูเหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดยิ่งนัก จนวันหนึ่งหลังจากสอบ“midterm” ลูกแจ๊คพูดกับดิฉันว่า
“แม่ แจ๊คคงต้องดร็อปวิชานึง เป็นวิชาหลักด้วย”
“ทำไมล่ะ”
“มันยากมาก แจ๊คเรียนไม่รู้เรื่อง คะแนนมิดเทอมออกมาก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ดร็อปแจ๊คอาจจะติด เอฟ”
“แล้วเพื่อนๆละ คะแนนเป็นยังไงกันมั่ง”
“ก็มีทั้งดีแล้วก็ไม่ค่อยดี แต่ของแจ๊คไม่ถึง มีน นะแม่ แจ๊คว่าแจ๊คคงเรียนไม่ไหว”
“มันยากขนาดเรียนไม่รู้เรื่องเลยเรอะ อาจารย์สอนเร็วเกินไปหรือว่าลูกฟังไม่รู้เรื่องเอง”
“อาจารย์ก็สอนตามปกติแหละแม่ แต่แจ๊คว่าแจ๊คฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเอง”
ลูกพูดด้วยสีหน้าที่เครียดขรึม ดิฉันนิ่งเพราะยังไม่รู้จะพูดกับลูกอย่างไรดี ( มีน หมายถึง ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบ )ในใจดิฉันรู้สึกทุกข์มาก เพราะลูกคนนี้ปกติเป็นเด็กเรียนดี เอาใจใส่การเรียนมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต และไม่เคยบ่นเรื่องการเรียนแม้สักครั้งเดียว มีหลายๆครั้งตอนที่เรียนชั้นมัธยม เพื่อนๆลูกพากันมานอนที่บ้านดิฉันเพื่อให้ลูกแจ๊คติววิชาให้ หรือบางครั้งก็โทรศัพท์ติววิชาให้เพื่อนที่โทร.มาถามเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ดังนั้นถ้าลูกเอ่ยปาก แสดงว่าลูกต้องรู้สึกว่าวิชานั้นยากจริงๆ ดิฉันจึงได้แต่เก็บไปคิดว่าจะพูดอย่างไรดีจึงจะช่วยให้ลูกคลายทุกข์ได้ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันนั้นเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดิฉันเห็นว่าลูกไม่ได้ไปไหน นั่งดูทีวีอยู่ จึงถามลูกว่า
“แจ๊คช่วงนี่ว่างหรือลูก”
“แจ๊คจะไปที่คณะตอนบ่าย เพิ่งสอบเสร็จยังไม่ค่อยมีอะไร แม่แจ๊คว่าจะไปอยู่หอพักใกล้ๆมหาวิทยาลัย”
“ก็ดีลูก แม่ว่าจะบอกหนูเหมือนกัน เดินทางวันละสี่ชั่วโมงหรือสี่ชั่วโมงกว่า มันน่าเหนื่อยและไม่เป็นผลดีกับการเรียนด้วย แล้วเรื่องวิชาที่ลูกว่าจะดร๊อป หนูคิดว่ายังไง”
“แจ๊คก็ยังคิดอยู่”
“วิชานี้มีเปิดซัมเมอร์หรือเปล่าละ”
“วิชาหลักไม่มีซัมเมอร์แม่ เปิดปีละครั้งเท่านั้น ถ้าปีนี้ไม่ผ่านก็ต้องไปซ่อมใหม่ปีหน้ากับพวกรุ่นน้อง”
“แล้วหนูยังคิดว่าวิชานี้มันยากอยู่หรือเปล่าล่ะ”
“ก็ยากแหละแม่”
“มันยากแบบไหนล่ะลูก”
“แจ๊คก็บอกไม่ถูก เอาเป็นว่าแจ๊คฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ” เสียงลูกบอกความเหนื่อยอ่อนนัก
“แล้วแจ๊คเคยถามเพื่อนๆมั้ย ว่าเขาฟังกันรู้เรื่องหรือเปล่า”
“ก็คงมีรู้มั่ง ไม่รู้มั่งแหละแม่ แต่เขาก็น่าจะรู้เรื่องกันนะ เพราะเขาก็สอบกันเกินมีนทั้งนั้นแหละแม่”
“แล้วมีหนูต่ำกว่ามีนอยู่คนเดียวเหรอ”
“ก็มีหลายคนเหมือนกัน”
“หนูเคยถามเพื่อนหรือเปล่าล่ะว่าวิชานี้มันยากหรือง่าย”
ลูกส่ายหน้าไม่ตอบว่ากระไร ดิฉันคิดว่าลูกคงไม่ถามใคร นิ่งกันไปครู่ใหญ่ ดิฉันคิดอยู่ในใจว่าคนเก่งก็เป็นแบบนี้เกือบทั้งนั้น ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่ จะให้ก้มหัวลงถามใคร คงทำได้ยาก จึงพูดต่อว่า
“อย่างนี้นะลูก ลองฟังแม่หน่อยนะ อะไรก็ตามที่เราคิดว่ายาก แค่คิดเท่านั้นมันจะยากเป็นหลายสิบหลายร้อยเท่า ตอนช่วงที่แม่ทำงานก็เหมือนกัน ถ้างานไหนแม่คิดว่ายาก จะรู้สึกว่างานนั้นทำไม่ได้ซักที จะคิดจะพูดจะทำมันยากไปหมด แต่ถ้ากลับความคิดใหม่ งานเดิมนั่นแหละ แต่คิดซะว่า มันยากก็ให้มันยากไป เราก็ทำเท่าที่เราสามารถทำได้ ลองทำดูใหม่ แล้วแม่ก็ทำได้จริงๆ แม้ว่าผลที่ออกมามันจะไม่ดีเลิศ แต่เราก็ทำได้ใช่มั้ย”
ลูกนิ่งไม่ตอบอะไร แต่ก็มีทีท่าสนใจฟัง ดิฉันจึงพูดต่อว่า
“ตอนสมัยที่แม่เรียนในมหาวิทยาลัยก็เหมือนกัน หนูก็รู้ว่าแม่เป็นเด็กต่างจังหวัด วิชาความรู้อะไรก็อ่อนมาก พอมาเจอการเรียนในมหาวิทยาลัย รู้สึกว่าแต่ละวิชายากๆทั้งนั้น เรียนไม่เคยจะรู้เรื่องได้ แถมสอบเทอมแรกได้เกรดแค่สองจุดสามเท่านั้น พอเห็นเกรดก็ตกใจมาก แต่ภายหลังแม่ปรับตัวและปรับใจใหม่ วิชายากก็ให้มันยากไป แม่จะไม่กลัวมัน จะตั้งใจเรียนเท่าที่ตัวเองรับได้ ภายหลังแม่ก็เรียนได้ดีขึ้นมาก แล้วแม่ก็เอาวิธีคิดแบบนั้นมาใช้กับการทำงานทุกเรื่องในทุกวันนี้
หนูลองอย่างนี้นะลูก ไอ้เจ้าวิชาที่หนูคิดว่ายากนั่นนะ หนูลองเฉยๆกับมันดู ลองคิดใหม่ว่ามันยากก็ยากไป เราก็เรียนเท่าที่เรารับได้ รู้เรื่องแค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องเรียนได้เกรดดีๆทุกวิชา ไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ไม่ว่าเพื่อนคนนั้นจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ตาม ถ้าวิชามันจะยากขนาดไหน เราก็เรียนรู้เท่าที่เราจะได้ อย่าไปแข่งกับใครแม้กับตัวเราเอง อย่าคิดโกรธตัวเองว่าทำไมเราเรียนไม่รู้เรื่อง ยิ่งเราคิดแบบนั้นมากเท่าไรเราก็จะยิ่งเรียนไม่รู้เรื่องมากเท่านั้น ลองปรับความคิดใหม่อย่างที่แม่ว่าดีมั้ยลูก ลองทำเฉยๆกับมันดู อย่าไปคิดว่าวิชานี้มันยาก เพราะถ้าเราคิดว่ายาก ความกลัวว่าฟังไม่รู้เรื่องจะเกิดขึ้นในใจเราทันที และทุกครั้งที่ลูกเรียนวิชานี้ ใจที่บอกว่ายากก็จะยิ่งทำให้เราฟังอาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง พอปรับความคิดใหม่ เออ! เอ็งอยากจะยากนักก็ยากไป ข้าก็จะเรียนเท่าที่ข้ารับได้ ทำใจให้เฉยๆกับมัน พอใจเราเฉยแล้ว เราก็จะไม่กลัวมันอีก แล้วลองฟังอาจารย์สอนดูใหม่ หนูจะรู้สึกว่าตัวเองฟังอาจารย์ได้รู้เรื่องขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ”
ดิฉันหยุดพูด ดูสีหน้าของลูกเห็นความกังวลคลายลงไปมาก รู้สึกว่าตนเองก็สบายใจขึ้น จึงพูดต่อไปว่า
“หนูยังจำได้ใช่มั้ยลูกที่แม่เคยบอกว่า แม่ไม่ต้องการลูกที่เรียนเก่งมากๆได้เกรดสูงๆ แต่ลูกไม่มีความสุข ต้องเคร่งเครียดกับการเรียนอย่างเดียว ไม่คบเพื่อน ไม่ร่วมกิจกรรม ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีแค่สี่ปีเองนะลูก ถ้าหนูต้องมานั่งเรียนด้วยความทุกข์ทั้งสี่ปี แม่ว่าหนูใช้เวลาไม่คุ้มกับที่ได้ทุ่มเทเพื่อให้ตนเองได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่เราเลือก หนูพยายามมองให้ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา แม้เรื่องเรียนก็มองให้เป็นเรื่องสนุกและง่ายๆ แม่รู้ว่าลูกตั้งใจเรียนเต็มที่มาตลอด ก็แค่ปรับใจใหม่เรียนแบบสบายๆ ไม่เคร่งเครียด ไม่ต้องเอาเกียรตินิยม ได้เกรดประมาณสองจุดแปดถึงสามก็พอแล้ว ลองหาเพื่อนติวซิลูก การเรียนระดับนี้ต้องมีเพื่อนติววิชานะลูก แล้วเพื่อนติวนี่แหละที่เราจะสนิทที่สุด จนแม้เมื่อออกไปทำงานแล้วก็ยังเป็นที่ปรึกษากันได้อีก”
ลูกนิ่งไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า ดิฉันเองก็ไม่พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้ลูกค่อยๆใคร่ครวญด้วยตนเอง หลังจากนั้นมา ดิฉันก็ไม่ถามลูกเรื่องการเรียนวิชาที่ลูกบอกว่ายากอีกเลย จนเมื่อลูกสอบ “Final” แล้ว ดิฉันถามลูกว่าได้ดร็อป วิชานั้นหรือเปล่า ลูกบอกว่าไม่ดร็อปและผลสอบออกมาแล้ว ลูกได้เกรดบีบวกในวิชานั้น จากนั้นเป็นต้นมาลูกก็เรียนได้เกรดดีขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายในขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ลูกเรียนอยู่ปีสี่เทอมที่สองใกล้จบแล้วอีกเดือนกว่าๆเท่านั้น แต่ภาคเรียนแรกของปีสี่ ลูกทำคะแนนได้ถึงสามจุดหกห้า ยังมาคุยอวดว่าเสียดายที่ปีหนึ่งทำคะแนนได้ต่ำกว่าสาม ไม่อย่างนั้นจะเอาเกียรตินิยมมาฝากแม่ ดิฉันก็ได้แต่ยิ้มบอกลูกว่า
“เพียงแค่นี้แม่ก็ภูมิใจลูกมากแล้ว แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ขออย่างเดียวให้ลูกมีความสุขในการเรียน แม่รู้ว่าแจ๊คเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนมาโดยตลอด ขอให้ลูกรักษาความดีไว้ สิ่งดีๆนี้ก็จะติดตัวลูกตลอดไป แม้เมื่อลูกจบออกไปทำงานลูกก็จะทำได้ดีเหมือนที่ลูกเรียน”
Leave a Reply