10. รักษาด้วยเคมีบำบัด ( คีโม )
คุณหมอที่จะเป็นผู้รักษาต่อเนื่องด้วยยาเคมีบำบัด หรือคีโมนั้น นัดให้ดิฉันไปทำซีทีสแกนหลังการผ่าตัด 40 วัน หมอบอกว่า ปกติจะนัดคนไข้ภายในไม่เกิน 1 เดือนหลังการผ่าตัด แต่เนื่องจากแผลผ่าตัดของดิฉันมีหลายแห่งทั้งภายนอกและภายใน(ตามที่ได้บอกไปแล้วในบทก่อน) จึงยืดเวลาให้แผลนั้นทุเลาอาการลงก่อน ถึงจะเริ่มรักษาใหม่ การทำซีทีสแกนคือ การที่หมอจะรู้รายละเอียดต่างๆภายในร่างกาย รวมทั้งค่าของมะเร็งด้วยว่ายังหลงเหลืออีกเท่าไร จะต้องรักษาด้วยยาเคมีบำบัดสูตรไหน อย่างไร ส่วนการทำซีทีสแกนต้องทำอย่างไร เราไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียด นอกจากทำตามคำสั่งของหมอและพยาบาลเท่านั้น เมื่อผลออกมา หมอเท่านั้นจะเป็นผู้วินิจฉัยและสั่งการเรื่องการให้ยาเคมีบำบัด และการรักษาอื่นๆต่อไป
หมอนัดคุยรายละเอียดการรักษาด้วยคีโม หลังจากทำซีทีสแกนได้สองวัน ผลคือค่ามะเร็งลดลงเกือบหมด จากก่อนผ่าตัดที่ค่ามะเร็งบอกผลว่าเป็นระยะที่สี่ แต่ก็ยังต้องรักษาต่อเพื่อกำจัดเซลมะเร็งที่ยังอาจมีคั่งค้างอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่ไม่ได้แสดงผล การให้ยาคีโมมีสองแบบคือ แบบแรกนอนโรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน เป็นยาน้ำที่ต้องฉีดเข้าทางเส้นเลือดโดยตรง ในรูปแบบนี้ต้องมีการ “เจาะพอร์ท” ต่อเข้ากับเส้นเลือดดำใหญ่ของหัวใจ เพื่อให้ยานั้นเข้าถึงโดยตรง และมีผลข้างเคียงต่อเส้นเลือดและส่วนต่างๆของร่างกายน้อยที่สุด วิธีการฉีดยาคีโมนี้ดิฉันเคยเห็นจากน้องชายคนเล็กที่เป็นมะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และต้องฉีดยาเคมีเข้าเส้นเลือดที่แขน ร่างกายเนื้อตัวดำเกรียมไปหมด เล็บมือ เล็บเท้าดำ ผมร่วงเกือบหมด เบื่ออาหาร มีอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นบางครั้ง ร่างกายซูบผอม น้ำหนักลดลงโดยตลอด มีแผลในปาก ปากเจ็บเวลาแปรงฟันหรือเคี้ยวอาหาร และเมื่อหมอบอกถึงผลข้างเคียงของยาคีโมที่จะใช้กับดิฉัน ก็เป็นไปในทางเดียวกันกับที่กล่าวไปแล้ว
แบบที่สองคือการกินยาเม็ด ผลข้างเคียงอันเกิดจากฤทธิ์ยานั้นไม่แตกต่างกันเลย แต่ในใจหมอนั้นอยากให้ดิฉันรับยาเป็นการฉีดเข้าเส้นโดยตรง เมื่อได้ฟังคุณหมอแนะนำเช่นนั้น ลูกชายรีบถามหมอทันทีว่า การฉีดยาคีโมนั้นไม่มีอันตรายใดๆเลยใช่มั้ย คุณหมอตอบแบบไม่รั้งรอเลยว่า
“ไม่แน่ครับ บางคนตายคาเข็มเลยก็มี”
ลูกชายฟังแล้วก็สะดุ้งหน้าเสีย หันมามองหน้าแม่นิ่งไป พูดไม่ออก ดิฉันพูดกับลูกว่า
“ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคนหรอกลูก แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละคนนะ ถ้ามันจะต้องเกิดกับแม่ มันก็ต้องเกิดแหละ มีสองอย่างนะลูก ไม่หายก็ตาย ไม่มีอะไรหรอก แม่ไม่มีปัญหา เมื่อเราตัดสินใจที่จะรักษาด้วยวิธีนี้แล้ว ก็ต้องทำใจนะลูก ยอมรับได้กับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
เมื่อดิฉันถามหมอว่า ทำไมไม่แนะนำยากิน หมอบอกว่า ค่ายาไม่แตกต่างกัน แต่การรับยาไปกินที่บ้าน หากมีผลข้างเคียงของยาเกิดขึ้น เกรงว่าจะแก้ไขไม่ทัน เพราะห่างหมอห่างพยาบาลที่มีประสบการณ์ ดิฉันก็เห็นด้วยนะคะ เพราะการรักษาด้วยเคมีบำบัด เป็นของใหม่ เราไม่รู้จัก การอยู่ใกล้ชิดผู้ชำนาญการ ย่อมเป็นที่อุ่นใจมากกว่า เมื่อตัดสินใจดังนั้นแล้ว หมอก็นัดวันมาเจาะพอร์ท และวันที่จะเข้ารับยาคีโม ห่างออกไปอีก 1 สัปดาห์ ซึ่งคุณหมอที่จะเจาะพอร์ทของดิฉัน ก็คือคุณหมอเจ้าของไข้ที่ผ่าตัดใหญ่ให้ดิฉันในครั้งก่อนนั้น เมื่อคุณหมอทั้งสองท่านนัดกันเรียบร้อยแล้ว ดิฉันก็ถามว่า ก่อนจะมารับยาคีโม ดิฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง คุณหมอตอบคำเดียวสั้นๆ และหนักแน่นว่า
“เตรียมใจ”
ดิฉันบอกหมอว่า เรื่องเตรียมใจนั้นมีมาตลอดอยู่แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย หมอว่าไม่มีอะไรต้องเตรียม ทำใจให้สบาย กินอิ่ม นอนหลับ ก็ใช้ได้แล้ว ดิฉันก็นิ่งไป แต่ในใจรู้ว่าแค่นั้นไม่พอ คิดว่าการเตรียมร่างกายให้แข็งแรง น่าจะมีส่วนสำคัญอย่างมาก ดูจากการเดินออกกำลังหลังการผ่าตัดใหญ่ ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้เร็ว และตอนนี้ผ่านไปเดือนครึ่งแล้ว น้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงสองกิโลครึ่ง กินได้นอนหลับดี ถ้าเรามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์จริง เราก็อาจสู้กับผลข้างเคียงอันเกิดจากฤทธิ์ยาคีโมได้ ดิฉันยังปักใจมั่นว่า นอกเหนือจากเรื่องของจิตใจอันเป็นตัวหลักแล้ว การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอยังเป็นตัวรองที่ช่วยได้ทุกเรื่อง
การเจาะพอร์ทคือ การทำ Port-A-Cath เจ้าสิ่งนี้คือกระเปาะเล็กๆทำด้วยโลหะไททาเนี่ยม ใหญ่กว่าเหรียญบาทเล็กน้อย และกระเปาะตรงกลางเป็นพลาสติกหนาๆ อุปกรณ์นี้จะมีท่อต่อเข้ากับเส้นเลือดดำใหญ่ที่ส่งถึงหัวใจโดยตรง หมอจะเจาะเข้าไปบริเวณใต้ไหปลาร้า เอาพอร์ทใส่เข้าไปใต้ผิวหนังหุ้มเส้นเลือดดำใหญ่นั้น เวลาจะใช้พอร์ทนี้เพื่อให้ยาคีโม หรือยาอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องฉีดเข้าเส้น พยาบาลจะเจาะเข็มเข้าไปที่ปากพอร์ท แทงทะลุผิวหนังเข้าไปที่เส้นเลือดดำโดยตรง ผลดีของการให้คีโมทางนี้คือ เส้นเลือดจะไม่ไหม้เกรียม ไม่แสบร้อนเหมือนการให้คีโมทางเส้นเลือดตามแขนทั้งสองข้าง เพราะเส้นเลือดที่แขนเล็กกว่ามาก ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการให้คีโมทางพอร์ท ก็ค่อนข้างต่ำกว่า และเมื่อใช้งานเสร็จในแต่ละครั้ง ก็ไม่มีรอยแผลจากการแทงเข็ม เหลือไว้แต่รอยบากเล็กๆยาวประมาณ 1 นิ้ว ที่เป็นรอยอันเกิดจากการเจาะเพื่อใส่พอร์ทเข้าไปเท่านั้น
เมื่อถึงวันที่ต้องเจาะพอร์ท ดิฉันก็มาตามนัด การเจาะพอร์ทปกติเป็นผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่าเปิดใต้ผิวหนังบริเวณใต้ไหปลาร้าด้านขวา แต่พอฟื้นขึ้นมาจากการดมยา ดิฉันรู้สึกปวดเมื่อยต้นคอและไหล่ทั้งสองข้างอย่างมาก สักครู่หมอก็มาบอกว่า ต้องเจาะทั้งสองข้าง เพราะเดิมเจาะข้างขวาใต้ไหปลาร้าก่อน แต่พอใส่พอร์ทเข้าไป ปรากฎว่า เส้นเลือดดำนั้นแทนที่จะตรงดิ่งเข้าหัวใจ กลับย้อนกลับไปที่คอ หมอลอง 2-3 ครั้ง ยังคงเป็นเช่นเดิม จึงต้องตัดสินใจที่จะเจาะใหม่ทางด้านซ้ายก่อนที่ยาจะหมดฤทธิ์ และก็ทำได้สำเร็จ หมอถามว่าดิฉันเคยไปทำอะไรทางไหล่ขวามั้ย เพราะมีพังผืดเกาะหนามาก แถมเส้นเลือดดำก็อยู่ผิดที่ผิดทาง ดิฉันเลยนึกได้บอกกับคุณหมอไปว่า เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เคยมีก้อนซีสที่ไหล่ขวาอันเกิดจากการสะพายกระเป๋าถือหนักๆเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยไหล่อยู่ตลอดเวลา บีบนวดอย่างไรก็ไม่หาย ดิฉันไปพบหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอแนะนำให้ผ่าตัดเอาซีสนั้นออก แค่ฉีดยาชาก็ทำได้แล้ว จากนั้นอาการปวดเมื่อยก็หายไป คุณหมอพยักหน้ารับทราบ ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากเจาะพอร์ทแล้ว ก็เป็นเวลาของการให้ยาเคมีบำบัด เนื่องจากการให้ยานั้น ต้องใช้เวลา 3 วัน 2 คืน หมอจึงนัดสัปดาห์ถัดไปหลังจากการเจาะทำพอร์ทแล้ว เข้าโรงพยาบาลเช้าวันศุกร์ นอนสองคืน กลับบ้านวันอาทิตย์ การให้ยาคีโมต้องครบคอร์ส คือแล้วแต่อาการของคนไข้ สำหรับดิฉันต้องทำคีโมถึง 12 ครั้ง เพราะมะเร็งลามไปหลายที่ เผอิญดิฉันเคยฟังจากคนที่ทำคีโมอื่นๆมาบ้างว่า ทำคีโมแค่แปดครั้งเท่านั้น ก็ครบคอร์ส คุณหมอบอกว่า ถ้าเป็นมะเร็งแค่ที่เดียว เช่น ที่ต่อมน้ำเหลืองแห่งเดียว ทำคีโมแค่ 8 ครั้งก็พอ เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว คุณหมอก็กำหนดให้ดิฉันต้องมาทำคีโมทุกสัปดาห์เว้นสัปดาห์ แต่ถ้ามีธุระอะไรที่จำเป็นก็อาจเลื่อนไปเป็นสามสัปดาห์ได้ แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน มิฉะนั้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ของการรับยาเคมี
ก่อนจะให้ยาเคมี ต้องไปตามวันนัดแต่เช้า เพื่อเจาะเลือดหาค่าต่างๆ เช่นค่าของเม็ดเลือดขาวและแดง ค่าตับ ไต หัวใจ ปอด ค่าไขมันทั้ง HDL , LDL ฯลฯ รวมทั้งค่ามะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งสามารถวัดได้จากเลือดที่เจาะในแต่ละครั้งนั้น ส่วนการวัดดูความแข็งแรงของปอดและหัวใจ คุณหมอก็จะใช้หูฟัง(Stethoscope)ในการตรวจวินิจฉัยตามปกติ ผลการตรวจเลือดแต่ละครั้ง ก็เพื่อใช้ในการผสมสูตรยาเคมีบำบัด ที่อาจเหมือนกันหรือต่างกันในแต่ละครั้งของการทำคีโม ซึ่งคุณหมอต้องเป็นผู้คำนวณจำนวนยา สูตรการผสมยา และสั่งการเท่านั้น เพื่อเป็นใบสั่งให้ทางห้องยาเป็นผู้ผสมสูตรยาเคมีในแต่ละครั้งที่อาจเหมือนหรือแตกต่างกันไป
ผลข้างเคียงอันเกิดจากการรับยาเคมีบำบัด ในระยะ 2 – 3 ครั้งแรกนั้น มีอาการเวียนศีรษะเล็กน้อย คลื่นไส้นิดหน่อยไม่ถึงขั้นอาเจียน แต่ยังกินอาหารได้ตามปกติ แต่เจ็บปากมากที่กระพุ้งแก้มทั้งสองข้าง เพดานปากและมุมปาก การให้คีโมในรอบถัดๆไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาการแพ้ก็แทบไม่มี เหมือนร่างกายจะปรับสภาพให้รับกับฤทธิ์ของยาเคมีได้ แต่ยังคงมีอาการเจ็บแสบปาก หรือเป็นแผลในปาก หมอแนะนำให้ใช้ยาสีฟันเด็ก อมน้ำเกลือหลังอาหารทุกมื้อ พอทำตามที่แนะนำ อาการเจ็บปาก เป็นแผลที่กระพุ้งแก้ม ก็ลดน้อยลงไปมาก นอกนั้นก็ไม่มีอาการอื่นใด แต่คุณหมอบอกไว้ล่วงหน้าว่า จะมีอาการชาปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าหลังจากให้คีโมรอบที่ห้าหรือหก ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านว่าไว้ ดิฉันสังเกตดูว่า ทุกครั้งที่โดนน้ำก๊อก หรือจับของเย็น เช่นผลไม้ในตู้เย็น อาการแสบชาที่ปลายนิ้วจะเกิดขึ้น และคงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง จึงหันมาดื่มน้ำอุ่น ผลปรากฏว่า อาการชาดังกล่าวนั้นหายไปได้ แต่เมื่อแตะต้องสิ่งของที่เย็นกว่าอุณหภูมิปกติ ก็ยังคงมีความแสบชาเหมือนเดิม แต่หายเร็วขึ้น ดิฉันใช้วิธีสังเกตตัวเองว่า ในแต่ละรอบของการทำคีโม เรามีอาการอย่างไรบ้าง แจ้งอาการนั้นๆให้กับคุณหมอหรือพยาบาลทราบ ก็จะได้รับคำแนะนำให้แก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาได้ทุกครั้งไป
ทุกวันที่สองของการรับยาในแต่ละรอบ ช่วงเช้าหลังจากการไปเดินออกกำลังกายรอบวอร์ด เมื่อกลับมาที่ห้องพักอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว ดิฉันจะถ่ายรูปตนเอง พร้อมแจ้งรายละเอียดว่าเป็นการให้คีโมครั้งที่เท่าไร วันเดือนปีอะไร ผลของการตรวจเลือดเป็นอย่างไรบ้าง ตัวไหนเพิ่มลดอย่างไร หลักๆก็เป็นเรื่องของผลเลือดทั้งขาวและแดง ค่ามะเร็ง ค่าไขมัน ค่าตับ ไตและอื่นๆเท่าที่ปรากฏในใบรายงานผลแล็ป ภาพนั้นก็จะชูนิ้วบอกเป็นนัยว่าเป็นการทำคีโมครั้งที่เท่าไร พร้อมรอยยิ้มที่สดชื่นเบิกบาน ไร้ความกังวล พอส่งภาพออกไปให้ญาติมิตร ก็ได้รับเสียงเชียร์ให้กำลังใจทุกครั้งไป สิ่งที่ดิฉันได้กลับคืนมาและคุ้มค่าการถ่ายรูป คือความไม่กังวลใจของญาติมิตรอันเป็นที่รัก
ดิฉันยังคงถือหลักเดิมเคร่งครัดคือ การเดินย่อยอาหารรอบวอร์ดหลังอาหารทั้งสามมื้อ ถึงกระนั้นก็ตาม พอครบวันที่กลับบ้านรู้สึกเพลียมากอยากแต่จะนอน คงเนื่องจากฤทธิ์ยาที่รับเข้าไปนั้นกำลังออกฤทธิ์ เมื่อกลับถึงบ้านก็นอนทั้งวันทั้งคืนถึง 2 วัน วันที่สามหลังจากนอนเต็มที่แล้ว ค่อยมีกำลังขึ้น ก็ขับรถไปเดินออกกำลังกายที่สวนเดิม แต่เดินตามกำลังที่มีอยู่ ยังไม่ได้ระยะทางมากเพราะยังเพลียอยู่ ไม่หักโหมเกินกำลัง ไม่ให้ตนเองต้องรู้สึกเหนื่อยเกินไป แค่ไหนแค่นั้น เดินเสร็จแล้วก็ถ่ายรูป พร้อมกับรายงานสภาพร่างกายไปด้วยว่าเดินได้ระยะทางเท่าไร น้ำหนักตัวหลังจากให้คีโมแล้วสามวัน เพิ่มเป็นเท่าไร ที่ต้องรายงานน้ำหนักตัวด้วยนั้น เนื่องจากคุณหมอบอกว่า คนเป็นมะเร็ง ถ้าอ้วนขึ้นจะมีโอกาสหายจากโรคได้มาก คือยิ่งอ้วนยิ่งดี เรื่องนี้เป็นที่ชอบใจของดิฉันมาก เพราะสามารถกินได้ไม่อั้น เพื่อจะได้อ้วนๆตามที่หมอต้องการ บางครั้งไปกินข้าวกับลูก ดิฉันกินได้มากจนลูกออกปากว่า “แม่กินเก่งจริงๆ!”
ดิฉันก็หัวเราะบอกลูกว่า “หมอบอกว่า ยิ่งอ้วนยิ่งดี นี่แม่ทำตามที่หมอต้องการนะลูก ไม่งั้นเดี๋ยวหมอจะน้อยใจว่าแม่ไม่ทำตามคำแนะนำ”
ลูกๆหัวเราะชอบใจบอกว่า “ดี ดีแล้ว แม่กินเยอะๆเลย” หลังผ่าตัดใหญ่ ดิฉันกลายเป็นชูชกไปเลย กินได้ทุกอย่างไม่มีเกี่ยงงอน
ก่อนคีโมครั้งที่สาม 3 วัน ดิฉันไปพิษณุโลก เพราะมีงานเลี้ยงแต่งงานลูกชายเพื่อนสนิท และถือโอกาสไปเยี่ยมแม่เล็กด้วย เมื่อดิฉันคุยกับคุณหมอเรื่องนี้แล้ว ท่านไม่คัดค้าน บอกว่าออกสังคมได้ตามปกติ ตอนนั้นน้องสาวอาสาขับรถให้ทั้งไปและกลับ เมื่อไปงานเลี้ยง เพื่อนๆทั้งหมดในงานไม่มีใครรู้เรื่องที่ดิฉันเป็นมะเร็ง เพิ่งผ่านการผ่าตัดและกำลังอยู่ในระหว่างการให้คีโม เพื่อนเก่าเจอกัน เป็นธรรมดาที่ต้องมีการพูดคุยกันใกล้ชิด ถ่ายรูปกับเพื่อนๆไปเยอะแยะมากมาย ผลจากการคลุกคลีใกล้ชิด ทำให้เม็ดเลือดขาวตกลงไประดับหนึ่ง แต่คุณหมอบอกว่า ไม่ซีเรียส ยังอยู่ในขั้นที่ยังคงให้คีโมได้อยู่ เพราะปกติของคนไข้ที่รับยาเคมีบำบัด จะถูกตั้งค่าของเม็ดเลือดขาวไว้ต่ำกว่าปกติอยู่แล้ว หลังการทำคีโมแล้ว ดิฉันออกกำลังกายทุกวัน ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินและการคลุกคลีกับเพื่อนๆ
อ้อ! มีเรื่องน่าขันมาเล่าให้ฟัง หลังจากได้คุยกับแม่เล็ก เรื่องผ่าตัดปิดรูทวารและมีถุงหน้าท้อง ท่านซักรายละเอียดเรื่องถุงหน้าท้อง ดิฉันก็เล่าไปตามที่เป็นจริงว่า มีถุงอยู่หน้าท้องด้านซ้ายของสะดือ สำหรับเป็นที่ใส่อุจจาระ ไปไหนมาไหนก็อึลงถุงหน้าท้องไปเลย ไม่ต้องวิ่งหาส้วม ถ้าเป็นคนปกติ เวลาปวดท้องจะถ่ายต้องวิ่งหาส้วม ถ้าไม่มีส้วมก็ต้องกลั้นอึกันหน้าเขียวหน้าเหลือง แต่นี่ท้องก็ไม่ปวด ถ่ายลงถุงตอนไหนก็ได้แล้วแต่ร่างกายจะเป็นไป เมื่อเล่าให้ฟังแล้ว ดิฉันก็ไม่ทราบหรอกค่ะว่า ท่านจินตนาการเรื่องถุงหน้าท้องอย่างไรบ้าง แต่เมื่อไปบ้านที่พิษณุโลก เจอหน้ากันครั้งแรกหลังผ่าตัดและทำคีโมไปสองครั้ง แม่เล็กดีใจมาก จ้องมองดิฉันเต็มที่อยู่ครู่ใหญ่ ไม่พูดไม่จา สุดท้ายอดรนทนไม่ได้ ถามดิฉันว่า
“อ้าวไหนว่ามีถุงหน้าท้องไงล่ะ นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ดิฉันเลยถึงบางอ้อ… หัวเราะและบอกว่า
“ก็มีนั่นแหละ แต่ใครจะเอาถุงขี้มาโชว์ล่ะ นี่อยู่ในกางเกงนี้” แล้วก็ตบๆไปที่หน้าท้องให้ดู แม่เล็กว่าเอาออกมาให้ดูหน่อย ดิฉันก็เลยต้องโป๊หน่อย เลิกชายเสื้อขึ้น รูดซิปขยายกางเกงออกให้หลวม และงัดเอาถุงหน้าท้องออกมาโชว์ โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีอุจจาระ…..ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. แม่เล็กก็ซักใหญ่ว่า ติดกับหน้าท้องได้ยังไง ต้องล้างยังไง เปลี่ยนยังไง ทำเองได้มั้ย ใครทำให้ ฯลฯ แม่เล็กคงดูรายการยี่สิบคำถาม ซักซะละเอียดยิบ ดิฉันอธิบายให้ฟังว่า ตอนนี้ยังทำเองไม่ได้ ไม่คล่องตัว น้องจ๊อบลูกชายคนเล็กเป็นคนทำให้ ….บลา บลา บลา….เอาเป็นว่าจะไม่พูดรายละเอียดในที่นี้ ถ้าใครต้องมีถุงหน้าท้องก็จะได้เรียนรู้เองค่ะ
มีอีกครั้งที่เม็ดเลือดขาวตกมาก สาเหตุเพราะหลังจากทำเคมีบำบัดครั้งที่เจ็ดได้ 2 สัปดาห์ ดิฉันมีเหตุจำเป็นต้องไปพิษณุโลกอีก ไปครั้งนี้คือไปสอนลูกศิษย์ที่กำลังจะไปแข่งขันรำมวยไท้เก๊กของสมาคมไท้เก๊กแห่งประเทศไทย การไปและกลับครั้งนี้ ดิฉันนั่งเครื่องบินไปตามลำพัง เมื่อเสร็จธุระแล้ว กลับถึงบ้านได้หนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ต้องไปทำคีโมครั้งที่แปด พอพยาบาลเจาะเลือดไปตรวจเหมือนทุกครั้ง ปรากฏผลแล็ปออกมาว่า เม็ดเลือดขาวตกมาก ค่ามะเร็งเพิ่มขึ้น ทำให้คุณหมอต้องเปลี่ยนสูตรยาเคมีใหม่ และยาตัวใหม่นี้ ทำให้ดิฉันต้องปวดชาที่แขนซ้ายอย่างมาก เพราะการให้คีโมครั้งนี้ เป็นการเจาะแทงเข็มที่หลังมือด้านซ้ายแทนการให้ทางพอร์ทเหมือนครั้งที่เจ็ด และต้องฉีดยาเพิ่มเม็ดเลือดหลังจากการให้คีโมเสร็จสิ้นแล้ว 24 ชั่วโมง จากนั้นอีกสามสัปดาห์ คุณหมอก็นัดผ่าเอาพอร์ทออก เพราะเส้นเลือดดำใหญ่ที่พอร์ทหุ้มอยู่นั้นอุดตัน ไม่สามารถให้คีโมในช่องทางนี้ได้อีกต่อไป ซึ่งจะได้เล่ารายละเอียดว่า เหตุใดพอร์ทจึงตันและต้องถอดออกก่อนเวลาอันควร คำว่า “พอร์ทตัน” เป็นศัพท์ของหมอและพยาบาลค่ะ
ด้วยวิบากกรรมที่ยังมีอยู่ ต้องชดใช้กันต่อไป การให้คีโมครั้งที่เจ็ดเริ่มมีปัญหา เพราะเส้นเลือดดำในพอร์ทเกิดเลือดคั่งค้างอยู่ ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด ทำให้การฉีดยาทั้งหลายเข้าไปทางพอร์ทมีปัญหา อันที่จริงตอนเริ่มแทงเข็มที่ปากพอร์ทเพื่อให้ยานั้น ไม่มีปัญหาอะไร แม้พยาบาลจะแทงเข็มผิด ต้องทำถึงสองครั้ง แต่การให้ยาในวันแรกไม่มีปัญหา แต่พอวันที่สอง ปรากฏว่าดิฉันเจ็บทางเข็มที่แทงเจาะนั้นมาก จนพยาบาลต้องหยุดให้ยา และให้น้ำเกลือเพื่อขับยาที่ยังค้างอยู่ในเส้นเลือดให้ผ่านลงไปให้หมด แต่เมื่อพยาบาลกดไซริงก์(Syringe)น้ำเกลือ ดิฉันเจ็บมากจนต้องระงับการให้น้ำเกลือ มาเป็นการดูดยาออกแทน ซึ่งการดูดออกกลับสบายกว่าไม่เจ็บเลย คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ให้ยาคีโมต่อไม่ได้ ดูเหมือนพยาบาลจะประชุมกันทั้งวอร์ด ติดต่อคุณหมอเจ้าของไข้ไม่ได้ เพราะไปประชุมต่างประเทศ และคุณหมอไม่ตอบไลน์ที่ทีมพยาบาลประจำวอร์ดส่งไป จนพยาบาลต้องติดต่อหมอท่านอื่นที่สามารถตัดสินใจแทนได้ เวลาผ่านไปร่วมสามชั่วโมง สุดท้ายคือ ต้องระงับการให้ยาทางพอร์ท ถอดเข็มออกจากพอร์ท มาเจาะแทงเส้นเลือดที่หลังมือซ้ายแทน เพื่อรับยาเคมีที่เหลือทั้งหมดต่อไป พยาบาลที่มาเปลี่ยนเข็มแทงเส้นเลือดหลังมือนั้น เป็นพยาบาลคนละคนกับพยาบาลคนแรกที่มาแทงเจาะพอร์ท เธอกล่าวขอโทษดิฉันแทนพยาบาลคนนั้นที่ แทงเข็มถึงสองครั้งตอนเจาะพอร์ทและบอกว่า
“น้องเขาไม่กล้ามาพบคุณป้า น้องเสียใจมากที่ทำให้คุณป้าต้องลำบากและฝากขอโทษมาด้วย เขาไม่กล้ามาขอโทษด้วยตัวเอง และต่อไปน้องเขาบอกว่า จะไม่แทงเข็มเจาะพอร์ทให้ใครอีกแล้ว”
ดิฉันตอบเธอไปว่า “คุณไปบอกหนูเขานะว่า ไม่ต้องขอโทษหรอก ป้าไม่โกรธหนูเขาเลย ป้ารู้ว่าการแทงเข็มเข้าพอร์ทนั้น ต้องเล็งแล้วเล็งอีก เพราะไม่มีเส้นเลือดให้มองเห็นได้เหมือนแทงเข็มที่มือหรือแขน คุณไปบอกหนูเขาด้วยว่า อย่าเสียใจจนต้องเลิกทำเลย เพราะพยาบาลที่จะเชี่ยวชาญทางนี้มีน้อย ถ้าหนูเขาเลิกทำ คนไข้ก็จะเดือดร้อนนะคะ การทำงานทุกอย่างมันก็ต้องมีพลาดบ้างเป็นธรรมดา มันเป็นวิบากกรรมของป้าเองแหละ ที่ต้องมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ตัวหนูเขาเองก็ไม่เคยทำพลาดเลยไม่ใช่หรือ” คุณพยาบาลท่านนั้น ก็รับปากว่าเป็นเช่นนั้น ดิฉันเองก็ยอมรับว่ามันเป็นวิบากกรรมของเราเองที่ต้องยอมรับและชดใช้กันไป ไม่กล่าวโทษใครทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากการให้ยาทางพอร์ทมีปัญหา ทีมพยาบาลจึงต้องติดต่อกับคุณหมอที่เป็นผู้ผ่าตัดใส่พอร์ทได้ เมื่อคุณหมอทราบเรื่องแล้ว ท่านให้แทงเข็มเข้าไปที่พอร์ทใหม่ และเอ็กซเรย์เพื่อดูว่า หลอดเลือดดำนั้นตันหรือเปล่า ตกลงเจ็บตัวอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมออ่านผลเอ็กซเรย์แล้ว ก็มาแจ้งว่า หลอดเลือดยังดีอยู่ ไม่ตัน ครั้งหน้าคือครั้งที่แปดให้ลองแทงเข็มที่พอร์ทดูใหม่ คิดว่าน่าจะใช้ได้
อีกสามสัปดาห์ต่อมา เป็นครั้งที่แปดของการทำคีโม พยาบาลแทงเข็มที่พอร์ท ก็สามารถแทงเข้าได้ตามปกติ (การแทงเข็มเข้าที่พอร์ทนี้ ถ้าสามารถแทงเข้าเส้นเลือดได้ จะไม่เจ็บเลย และการให้ยาคีโมหรือยาอื่นๆก็จะสบายมาก) จากนั้นก็ใช้ไซริงก์ดูดเลือดไปเพื่อตรวจเช็คตามปกติที่เคยทำมาทุกรอบ ตอนดูดเลือดออกไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ พยาบาลคาเข็มไว้ เพื่อรอใบสั่งยาจากคุณหมอ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากเจาะเลือดไปแล้ว พอได้ยามาพยาบาลต่อสายยาเข้าที่พอร์ท กดไซริงก์ให้ยาเข้าไปทางเข็มที่คาอยู่นั้น ไม่ปกติแล้ว เพราะดิฉันเจ็บมากในช่วงการให้ยาเข้าไปในร่างกาย พยาบาลต้องระงับการให้ยาทันที และดูดยาที่ค้างอยู่ในเส้นเลือดออก แจ้งให้คุณหมอทั้งสองท่านทราบ จากนั้นไม่นาน พยาบาลก็มาเปลี่ยนเป็นเจาะเส้นเลือดที่หลังมือซ้ายเหมือนเดิม แต่เป็นอีกเส้นเลือดหนึ่ง การให้คีโมแต่ละครั้งจะให้ซ้ำเส้นเลือดเดิมไม่ได้ เพราะเส้นเลือดที่ผ่านการให้คีโมแล้ว มักจะแข็งและเปราะแตกง่าย ผลจากการแทงเข็มให้คีโมทางหลังมือซ้ายทั้งสองครั้ง ทำให้มีรอยไหม้เกรียมไปตามแนวเส้นเลือด ยาวจากหลังมือจนเกือบถึงข้อศอก ตามขอบเล็บมือและปลายนิ้วมือทั้งสิบเกิดเป็นรอยสีคล้ำ ต้องสังเกตจึงจะเห็น ส่วนเล็บเท้าดำคล้ำทั้งหมด นอกจากนี้ยังเกิดรอยแผลช้ำที่รูเข็มบนหลังมือทั้งสองรอย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฤทธิ์ร้อนของยาเคมีบำบัด
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของผู้คน เวลาออกไปนอกบ้าน หรือไปออกกำลังกาย ดิฉันจึงใช้วิธีปกปิดร่องรอยนั้น ด้วยการสวมเสื้อแขนยาวและใช้พลาสเตอร์ปิดรอยแผลช้ำบนหลังมือทั้งสองรอยนั้น เพื่อกันการซักถามจากเพื่อนๆมากมายที่ต้องเจอะเจอกัน แม้กระนั้นรอยปิดพลาสเตอร์ก็ยังเป็นที่ปรากฏชัดอยู่ดี และก็จริงดังที่คาดไว้ มีคนถามจริงๆว่า ไปโดนอะไรมา ดิฉันก็ตอบไปว่า “โดนของมีคม” หลายคนฟังคำตอบแล้วก็ไปต่อไม่ถูก แต่ยังมีคนขี้สงสัยไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆซักต่อว่า “โดนมีดบาดหรือ?” ดิฉันก็ได้แต่หัวเราะและพูดว่า “เล็กน้อยนะอย่าใส่ใจเลย ปิดพลาสเตอร์ไว้กันฝุ่นนะ”
แต่โชคยังดีที่ผมไม่ร่วง จึงทำให้ปิดบังเพื่อนฝูงไปได้อีกนาน แถมน้ำหนักเพิ่มตลอด จนถึงคีโมครั้งที่แปด น้ำหนักตัวเพิ่มเป็น 53-54 กิโลฯ ร่างกายที่เคยผอมมาก ก็กลับเป็นปกติมากขี้น แถมยังมีคนชมด้วยซ้ำว่า เดี๋ยวนี้หุ่นดีแล้ว เปรียบเทียบกับตอนผอมมากๆ ที่มีน้ำหนักตัวเพียง 44-45 กก. การออกกำลังกายก็เป็นปกติ สามารถรำไท้เก๊กติดต่อกันได้ 60-70 นาทีโดยไม่พัก และไม่เหนื่อย ในขณะที่เพื่อนๆหลายคนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ ดิฉันเองก็ดีใจมาก ที่ยังไม่ต้องเปิดเผยเรื่องของตนเองออกไป คิดในใจว่า เขียนหนังสือเสร็จเมื่อไหร่ วันที่แจกหนังสือคือวันเปิดเผยความจริงทั้งหมด
อันที่จริงเรื่องการทำคีโมแล้วผมร่วง เป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วๆไป ถ้าเห็นใครศีรษะล้านหรือสวมหมวกคลุมศีรษะมิดชิด สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า ไปทำคีโมมา เรื่องผมร่วงเพราะฤทธิ์ยาเคมีบำบัดนี้ ดิฉันเคยเรียนถามคุณหมอแล้ว ท่านตอบว่า มันแล้วแต่สูตรยาเคมี ถ้าเป็นมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ผมร่วง แต่นี่เป็นที่ลำไส้ ยาสูตรนี้ไม่ทำให้ผมร่วง แต่อาการแพ้อื่นๆก็ไม่ต่างกัน แต่เมื่อมาสังเกตตัวเอง หลังจากทำคีโมครั้งที่ 5-6 รู้สึกคันศีรษะมาก และผมเริ่มร่วงจนลูกชายทัก เพราะเห็นเส้นผมตกตามพื้นบ้านมากกว่าปกติ ดิฉันก็มาคิดว่าควรทำยังไงดี สาเหตุนั้นรู้แล้ว มาจากผลของยาเคมีบำบัด ซึ่งมีฤทธิ์ร้อนมากๆ คิดเอาเองว่าความร้อนนั้นนอกจากจะทำให้ศีรษะคันมากแล้ว อาจทำให้รากผมมีปัญหาอ่อนแอลง จนไม่สามารถตรึงเส้นผมไว้ได้ ผมจึงหลุดร่วงได้ง่าย แต่จะแก้ไขอย่างไรดี ก็มานึกได้ว่า เคยเรียนกับหมอเขียวเรื่องน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ที่จำได้คือ น้ำที่คั้นจากใบย่านาง (ซึ่งดิฉันเคยใช้เช็ดตัวเมื่อตัวร้อนจัดตามที่เล่าไปแล้วในตอนต้นๆ เรื่องอาการกำเริบของมะเร็งระยะที่ 4) คิดว่าความเป็นฤทธิ์เย็นของน้ำย่านาง น่าจะช่วยต้านฤทธิ์ร้อนของยาเคมีได้ และทำให้รากผมสบายขึ้น แข็งแรงขึ้นได้ จึงจัดแจงซื้อน้ำย่านางมาสองขวด ดื่มไปครึ่งขวด ที่เหลืออีกครึ่งก็เอามาราดรดศีรษะให้ชุ่ม แล้วเอาผ้าพันไว้รอบศีรษะหมักทิ้งไว้จนผมแห้งหมาดๆประมาณสักชั่วโมงหนึ่ง ยังไม่ล้างน้ำออก เอาน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาชโลมศีรษะแล้วนวดคลึงไปรอบๆ เอาผ้าพันรอบศีรษะ หมักไว้อีก 30 นาที ครบเวลาแล้วก็สระผมด้วยแชมพูตามปกติสามครั้ง ผลคือ ศีรษะหายคันทันที ดิฉันทำแบบนี้อีก 3 ครั้ง เมื่อครบรอบวันที่ต้องสระผม ผลก็คือไม่มีอาการคันศีรษะ และผมไม่ร่วงอีกเลยจนบัดนี้
ย้อนกลับมาเรื่อง “พอร์ทตัน” คุณหมอมาแจ้งว่า คงต้องผ่าถอดพอร์ทออกแล้ว ดิฉันถามว่า ทำไมไม่คาไว้ก่อน เพราะยังต้องให้ยาอีกสี่ครั้ง คุณหมอบอกว่า คงให้ยาทางพอร์ทต่อไปไม่ได้แล้ว การเก็บพอร์ทไว้ในขณะที่ให้คีโมทางเส้นเลือดที่แขนนั้น จะมีปัญหากับบริเวณโดยรอบพอร์ท และตัวของพอร์ทเอง อาจเกิดการไหม้เกรียมและอักเสบ ถึงตอนนั้นจะผ่าเอาพอร์ทออกก็จะทำไม่ได้แล้ว จากนั้นก็นัดวันผ่าเอาพอร์ทออก คือยี่สิบเอ็ดวันหลังการทำคีโมครั้งที่แปด
การไปผ่าตัดเอาพอร์ทออก ทำได้สองแบบ คุณหมอให้เลือกเอา แบบแรกคือ แค่ฉีดยาชาที่บริเวณนั้น ใช้เวลาในการทำ 1 ชั่วโมง เสร็จก็พักสัก 1-2 ชั่วโมง ก็กลับบ้านได้ ส่วนอีกวิธีคือ ดมยาหลับไป ใช้เวลาในการทำเท่ากัน แต่ต้องพักค้างที่โรงพยาบาล เพราะการดมยาจะมีผลข้างเคียงมากกว่า จึงต้องอยู่ในความดูแลของหมอและพยาบาล ดิฉันเลือกแบบที่สองค่ะ กลัวแล้ว! ไม่อยากรับรู้เรื่องราวในขณะที่หมอกำลังทำการ หลังจากผ่าตัดเอาพอร์ทออกแล้ว คุณหมอมาเยี่ยมดูอาการบอกกับดิฉันว่า
“คุณเป็นคนแรกที่พอร์ทตัน และต้องผ่าเอาพอร์ทออกกลางคัน ทั้งที่ยังไม่จบคอร์สการให้คีโม ตั้งแต่ผมผ่าตัดใส่พอร์ทมา ไม่เคยเจอปัญหาพอร์ทตันเลย”
เรื่องนี้ทั้งพยาบาลและคุณหมอที่เป็นผู้ดูแลการทำคีโม ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ดิฉันเลยบอกกับคุณหมอว่า
“ฮื้อ! เป็นคนแรกทุกเรื่องเลย ตอนผ่าตัดใหญ่ ก็เป็นคนแรกที่กลับบ้านได้เร็วกว่าใครเพื่อน พอพอร์ทตันก็เป็นคนแรกอีก”
คุณหมอก็รับว่า “จริงด้วย เป็นคนแรกทุกเรื่องเลย”
ดิฉันเคยถามคุณหมอว่า ในประวัติที่คุณหมอเคยอ่านหรือเจอมา มีใครพอร์ทตันบ้างมั้ย คุณหมอคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วตอบว่า ตั้งแต่หมอหันมาทำงานด้านเคมีบำบัด หกปีเข้าไปแล้ว ไม่เคยมีใครพอร์ทตัน มีคุณเป็นคนแรก ดิฉันก็ถามต่อว่า แล้วตามที่คุณหมอเรียนมา หรือในรายงานทางการแพทย์เคยมีลงไว้มั้ย เรื่องพอร์ทตัน หมอสั่นศีรษะตอบว่า ไม่เคยพบในรายงานใดๆว่ามีใครพอร์ทตัน ดิฉันเลยคุยอวดไปว่า งั้นดิฉันก็น่าจะเป็นคนแรกของโลกเลยใช่มั้ย?..ฮ่า ฮ่า ฮ่า …คุณหมอก็ว่า อาจจะมีบ้าง แต่ผมยังอ่านไม่เจอรายงานนั้น
เมื่อลาหมอออกมานั่งรอยาแล้ว ลูกชายก็เปรยๆว่า “แม่เป็นคนแรกทุกเรื่องเลย”
ดิฉันก็ว่า “นั่นซิ….แม่รู้สึกภูมิใจชะมัด ที่อาจจะเป็นคนแรกของโลกเลยนะเนี่ยที่พอร์ทตัน แถมแข็งแรงไว ตอนนี้น้ำหนักแม่ขึ้นไปเกือบสิบกิโลฯแล้วนะ ภายในเจ็ดเดือนเองแหละ”
เราแม่ลูกเลยได้หัวเราะกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..มีแต่เรื่องสนุกทั้งนั้น เพราะใจไม่ทุกข์
จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ ก็เป็นรอบของการทำคีโมครั้งที่9 แต่เพราะรอยช้ำที่เกิดจากการแทงเข็มที่หลังมือซ้ายทั้งสองครั้งนั้น ทำให้ต้องย้ายข้างการเจาะแทงเข็มมาที่หลังมือด้านขวา ปรากฏว่าเส้นเลือดด้านมือขวาใหญ่กว่าฝั่งซ้ายเล็กน้อย และแข็งแรงกว่า จึงไม่ทำให้เกิดรอยช้ำที่รูเข็ม แต่พอถึงคีโมครั้งที่10 แม้จะไม่มีรอยช้ำจากการแทงเข็มแต่ก็ปรากฏรอยไหม้เกรียมที่เส้นเลือดใหญ่ ไปตามแนวแขนเหมือนข้างซ้าย ในขณะนั้นรอยไหม้เกรียมตามแนวแขนด้านซ้าย ยังคงปรากฏรอยให้เห็นได้ชัด แม้จะจางลงไปบ้างก็ตาม เมื่อคุณหมอมาเห็นเข้า จึงบอกว่าครั้งต่อไปให้เปลี่ยนเป็นยากินก็แล้วกัน ดิฉันได้ทีเลยต่อว่าคุณหมอไปว่า น่าจะเปลี่ยนตั้งนานแล้ว คุณหมอก็ว่า ความจริงยาฉีดดีกว่ายากินมาก เดี๋ยวพอกินยาก็จะรู้เอง ดิฉันบอกคุณหมอไปว่า
“แต่ยังไงดิฉันก็ไม่อยากเจ็บตัวแล้ว จะเดินเหิน เปลี่ยนถุงหน้าท้องก็ลำบาก ต้องไปทั้งเสาน้ำเกลือ”
ดังนั้นในการไปรับยาคีโมครั้งที่ 11-12 จึงไม่ต้องจองห้องพัก พอถึงวันนัดก็ไปแต่เช้า เจาะเลือดส่งห้องแล็ปนำเลือดไปหาค่ามะเร็ง เพื่อนำไปผสมสูตรยาเคมี ใช้ฉีดเข้ากระแสเลือดต่อไป การให้ยาเคมีสองครั้งหลังนี้ ใช้เวลาเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น ก็สามารถรับยาเม็ด และกลับบ้านได้ แต่ยาเคมีที่ได้รับก็รุนแรงมาก ทั้งนี้เพราะคุณหมอเปลี่ยนสูตรยา เนื่องจากค่ามะเร็งเพิ่มขึ้น เพียงแค่ฉีดเข้าเส้นเลือดไม่เกิน 30 นาที ก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ตั้งแต่มือจนถึงข้อศอก ต้องประคบด้วยแผ่นเจลร้อนตลอดเวลา แม้เมื่อกลับมาบ้านก็ยังส่งผลต่อ ตลอดทั้งคืนนั้นมีอาการปวดแสบร้อนที่แขน จนต้องประคบด้วยแผ่นเจลร้อนเช่นกัน ส่วนยาเม็ดที่ต้องนำกลับมากินต่อที่บ้าน คุณหมอกำหนดให้กิน 14 วัน ในสัปดาห์แรกที่กินยา ยังไม่ส่งผลอะไรนัก อาการต่างๆก็เป็นปกติ แต่เมื่อเข้าสัปดาห์ที่สอง เริ่มมีอาการชาปลายนิ้วมือนิ้วเท้า และถ่ายเป็นน้ำ หมอเรียกอาการนี้ว่า “ท้องเสีย” แต่ดิฉันไม่ปวดท้อง ซึ่งถือเป็นข้อดีของคนมีถุงหน้าท้องคือ ไม่มีอาการปวดท้องเหมือนคนปกติที่ท้องเสีย แต่การถ่ายเป็นน้ำก็เป็นอยู่เพียง 2 วันเท่านั้น ดิฉันไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
รอบแรกของการกินยาเม็ดยังไม่ส่งผลอะไรนัก คงมีแค่อาการตามที่กล่าวไปแล้ว แต่พอไปรับยาครั้งที่12 คือวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ถือเป็นรอบสุดท้ายของคอร์สการทำคีโม นอกจากอาการท้องเสียซึ่งไม่มากมายอะไรแล้ว แต่อาการชามือ ชาเท้ากลับหนักข้อขึ้น ตอนนี้อาการชานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าเท่านั้น แต่ลามถึงฝ่ามือ ฝ่าเท้าทั้งแผง สำหรับมือก็ยังพอใช้ทำอะไรได้ตลอด แม้จะรู้สึกชาและเจ็บแสบที่ปลายนิ้ว อยู่ตลอดเวลา ส่วนที่เท้านอกจากอาการชาแล้วยังมีความเจ็บแสบผสมอยู่ด้วย เวลาเดินจะลำบากมาก แค่วางเท้ากระทบพื้นก็สะดุ้ง ราวกับเหยียบอยู่บนแผ่นหนามแหลมคม อันที่จริงเภสัชกรของโรงพยาบาลก็ได้แนะนำแล้วว่า ให้ใส่ถุงมือ ถุงเท้าตลอดเวลา และที่เท้าให้ทาวาสลินเจลด้วย ถึงกระนั้นก็ยังคงเจ็บแสบที่ฝ่าเท้าอย่างมาก แม้จะใส่ถุงเท้านุ่มหนาถึงสองชั้น และใช้รองเท้าพื้นนุ่ม แต่ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยสาเหตุของการเจ็บแสบและชาที่เท้าอย่างมากนั้น ทำให้ดิฉันต้องงดการไปออกกำลังกายถึงสิบกว่าวัน ในช่วงตอนนั้นก็มีกังวลอยู่บ้างว่า ถ้าอาการเจ็บแสบนี้เป็นนานๆ ร่างกายคงต้องอ่อนแอลงมาก เพราะขาดการออกกำลังกาย ดิฉันบอกกับตัวเองว่า ถ้าเป็นส่วนอื่นไม่ว่าจะเจ็บปวดรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่กังวล แต่เป็นที่เท้านี่ รู้สึกไม่ดีเลย หากเดินไม่ได้ ออกกำลังกายไม่ได้เป็นเดือน คงแย่แน่ๆ ดิฉันเลยลองใช้วิธีเดินในบ้านระยะสั้นๆ …ไม่ได้ค่ะ ความเจ็บแสบที่ฝ่าเท้ายังส่งผลรุนแรงในทุกก้าว แม้จะพยายามเดินเบาๆ หรือลากเท้าไป แต่ถ้านั่งเฉย ยกเท้าพาดโดยที่ฝ่าเท้าตั้งตรงไม่กระทบกับอะไร ก็โอเคค่ะ สบายเลย… แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่อยู่นิ่ง ต้องเคลื่อนไหว ถ้าอย่างนั้นทำอะไรดีที่ไม่ต้องนั่งนิ่งๆ นอนเฉยๆ ก็มาใช้วิธีออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะท่านั่ง และท่านอน วันละ 30 นาที ก็ช่วยได้มากค่ะ ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยขึ้น แม้ไม่ได้ไปออกกำลังกายกลางแจ้งก็ตาม แถมทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้ดี ผ่อนคลายสบายไปอีกแบบหนึ่ง
ความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่คุณหมออนุญาตให้ออกกำลังกายได้ ดิฉันก็ใช้การเล่นโยคะบ้างในบางท่า เพื่อให้เส้นสายในร่างกายยืดหยุ่น โดยเอาท่าง่ายๆทั้ง ท่ายืน นั่ง และนอน แต่ไม่ได้ทำสม่ำเสมอเหมือนการเดินและการรำไท้เก๊ก เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อบาดแผลหลังผ่าตัด ทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนี้ เมื่อเริ่มทำคีโมตั้งแต่ครั้งแรก ดิฉันใช้การกัวซามาช่วยในการรักษาร่างกายด้วย คิดเอาเองว่า การกัวซาคือการขูดเอาพิษร้ายต่างๆที่มีอยู่ในร่างกาย ให้หลุดออกมาตามผิวหนัง ซึ่งเราจะทราบได้จากร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนผิวหนังเมื่อมีการขูดซา ดิฉันนัดหมอทำกัวซาทุกสัปดาห์ ครั้งละ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งในระยะแรกๆของการขูดซา ปรากฏรอยแดงคล้ำออกมาตามผิวหนังทั่วไป แต่เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น น้ำหนักตัวขึ้นเป็นปกติ ร่องรอยจากการขูดซาเริ่มไม่ปรากฏ หรือถ้าจะมีบ้างก็เล็กน้อย
จนถึงบัดนี้ ดิฉันยังไม่เลิกการทำกัวซา คิดไว้ว่าหากหยุดทำคีโมแล้ว ก็คงเลื่อนการทำกัวซาไปเป็นสัปดาห์เว้นสัปดาห์ อย่าถามค่ะว่ากัวซาช่วยรักษามะเร็งได้ด้วยหรือ ดิฉันไม่ทราบค่ะ เพียงแต่คิดว่า ศาสตร์นี้เป็นวิชาการทางแพทย์แผนจีนที่มีมาแต่โบราณ และคุณพ่อของดิฉันเองก็ใช้การขูดซา ร่วมกับการกินยาหม้อจีน เพื่อรักษาอาการไข้และถอนพิษร้ายจากร่างกายตลอดมา ดิฉันเพียงทำตามอย่างท่านเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ หลังการขูดซาทุกครั้ง ร่างกายเย็นลง ผ่อนคลาย เบาสบายขึ้นมาก
จะถือเป็นโชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่ทราบ ช่วงที่เจ็บฝ่าเท้าและไปออกกำลังกายไม่ได้ คือช่วงที่อากาศในกรุงเทพฯ กำลังวิกฤตด้วยพิษของฝุ่นละอองPM2.5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ควรงดการออกกำลังกายกลางแจ้ง และการนั่งนอนอยู่กับบ้านก็เหมือนการได้อยู่กับตนเอง มีเวลาเรียนรู้กายใจตนเองได้มากขึ้น จิตเป็นสมาธิมากขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งอีกทางหนึ่ง
การรักษาด้วยเคมีบำบัดตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา ในช่วง 4-5 ครั้งแรกของการทำคีโม ค่ามะเร็งที่เช็คได้จากการเจาะเลือดทุกครั้ง ค่อนข้างคงที่และไม่เกิน 5 หน่วย ซึ่งเป็นค่ามะเร็งปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้น ค่ามะเร็งก็ขึ้นตลอด จนครั้งสุดท้าย คือการทำคีโมครั้งที่ 12 ค่ามะเร็งขึ้นไปเป็น 16.2 หน่วย ซึ่งค่ามะเร็งขนาดนี้ ก็ยังไม่มีความผิดปกติทางร่างกายปรากฏขึ้นมาให้เห็น แต่ดิฉันก็ถามคุณหมอนะคะว่า ทำไมยิ่งรักษาค่ามะเร็งยิ่งขึ้น คุณหมอบอกว่า ค่ามะเร็งเท่านี้ยังไม่เป็นปัญหา วัดจากผลของเลือดมันไม่แน่นอน ต้องทำซีทีสแกนจึงจะรู้ชัด ดิฉันไม่ซักถามต่อค่ะ เมื่อท่านว่าอย่างนั้นเราก็ต้องว่าตามไป และคุณหมอยังบอกต่อว่า ถ้าผลซีทีสแกนออกมาแล้ว ก็จะวางแผนการรักษาต่อไป ดิฉันไม่รับปากกับคุณหมอค่ะว่า จะรักษาต่อด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้จะเปลี่ยนสูตรยาเคมีก็ตาม ดิฉันบอกกับลูกๆแล้วว่า จะขอลองเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น อย่างการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน ตามคำแนะนำของเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นเภสัชกร เธอเป็นผู้มีพระคุณที่แนะนำสิ่งดีๆให้กับดิฉันตลอดมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอทราบว่าดิฉันเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณหมอนัดทำซีทีสแกนวันที่ 13 มกราคม 2562 เพื่อจะดูภาพโดยรวมของมะเร็งในจุดต่างๆทั่วร่างกาย ผลปรากฏออกมาว่า มะเร็งในลำไส้ใหญ่ และต่อมน้ำเหลืองไม่มีแล้ว และในส่วนอื่นเช่น ปอด ไต มดลูก หรือหน้าอก ก็ไม่มี แต่กลับมีเนื้องอกปรากฏขึ้นที่ตับ ในส่วนที่ต่อกับกระเพาะอาหาร โตประมาณ 2 เซนติเมตร คุณหมอว่า น่าจะเป็นเนื้องอกนี้แหละที่ทำให้ค่ามะเร็งของดิฉันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังรักษาด้วยเคมีบำบัด ตอนที่รู้ผลนี้ค่ามะเร็งเป็น 18 ค่ะ ดิฉันก็ถามคุณหมอนะคะว่า ค่ามะเร็งระยะสี่ หรือระยะ 1-2 แตกต่างกันอย่างไร ใช้อะไรเป็นตัววัด คุณหมอบอกว่า มันบอกไม่ได้ บางคนดูแย่มากๆ เป็นสารพัด แต่ค่ามะเร็งเป็นศูนย์ก็มี บางคนดูดีมาก เหมือนคนปกติ แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร แต่ค่ามะเร็งขึ้นเป็นร้อยก็มี บอกอะไรแน่นอนไม่ได้
ส่วนเรื่องเนื้องอกที่ตับ คุณหมอบอกว่า รักษาง่ายมากเพียงแค่จี้ออกเท่านั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของคุณหมออีกท่านหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการรักษาในด้านนี้ ลูกชายถามถึงการรักษาต่อเนื่อง หลังจากจี้เอาเนื้องอกออกแล้ว คุณหมอบอกว่า ต้องมีการให้ยาเคมีบำบัดต่อเนื่อง เรียกว่า Maintenance(เมนเทนแนนซ์) อีกหกครั้ง แต่งดยาเคมีตัวที่ทำให้แขนขาแสบชาไป ที่ลดลงน่าจะเป็นเพราะ ค่ามะเร็งไม่มีแล้ว และเนื้องอกที่ตับก็จะต้องเอาออก แต่เมื่อถามว่า การรักษาต่อเนื่องนี้ต้องทำทุกคนมั้ย คุณหมอว่า ไม่ต้องทำทุกคน ถ้าใครแพ้ยาเคมีมาก ก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้าไม่แพ้ก็ทำได้ ลูกชายถามต่อว่า การทำ Maintenance กับไม่ทำเลยนั้นให้ผลต่างกันมั้ย คุณหมอคิดสักครู่และตอบว่า ไม่แตกต่างกันมาก จะไม่ทำก็ได้ ตกลงดิฉันเลือกที่จะไม่ทำต่อค่ะ คุณหมอจึงนัดวันที่จะมาเจาะเลือดเพื่อดูค่ามะเร็งทุกเดือน และสั่งให้พยาบาลดูเวลาเพื่อนัดกับคุณหมอท่านที่จะเป็นผู้จี้เอาเนื้องอกออก ซึ่งคือวันถัดไป
ดิฉันและลูกชายคนโตไปตามนัดหมายในวันรุ่งขึ้น เมื่อพบคุณหมอ ท่านให้ดูภาพเนื้องอกในจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพก้อนเนื้อดำๆติดอยู่ตรงส่วนบนของตับและกระเพาะอาหารส่วนบน มีขนาดกำกับบอกด้วยว่า 2.1 cm.(เซนติเมตร) เมื่อถามถึงวิธีการรักษา ท่านว่าเอาเข็มขนาดเท่าหัวปากกา จิ้มเข้าไปตรงส่วนที่เป็นเนื้องอก โดยดูจากภาพอัลตราซาวด์ ใช้ความร้อนจี้ที่เนื้องอกนั้น จนแห้งฝ่อไป ซึ่งต่อไปก็จะหลุดออกไปเอง ขณะทำต้องดมยาให้หลับไป ใช้เวลาทำการประมาณ 1 ชั่วโมง พักค้างที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน เมื่อถามถึงอาการที่ตามมา คุณหมอว่า อาจจะเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเป็นอะไร ลูกชายถามว่าจะมีอันตรายมั้ย คุณหมอตอบว่า ถ้าจะมีก็คือ ส่วนที่ต่อกับกระเพาะอาหาร หากโดนความร้อนมากไป ก็อาจทำให้เกิดแผลขึ้นได้ แต่เท่าที่ทำมาก็ยังไม่เคยปรากฏเหตุการณ์นี้ จากนั้นคุณหมอก็นัดวันที่จะจี้เอาเนื้องอกออก คือวันที่ 31 มกราคม 62 เวลา 17.30 น.
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562 ดิฉันคงต้องจบเรื่องของตนเองเพียงเท่านี้ จนถึงบัดนี้นับจากวันที่เริ่มบันทึกเรื่องราวของตนเองเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 เป็นเวลารวม 4 เดือนกับอีก 20 วัน หากนับจากวันที่ผ่าตัดใหญ่ คือวันที่ 5 เมษายน 2561 ก็เป็นเวลา 9 เดือนกับอีก 15 วัน ถ้าจะนับเวลาตั้งแต่ที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง และหาวิธีรักษาตนเอง ก็เป็นเวลาสองปีกว่า ถึงตอนนี้น้ำหนักดิฉันขึ้นไปอีก 10 กิโลกรัม ร่างกายแข็งแรงสบายดีค่ะ ไม่มีเพื่อนหรือญาติมิตรท่านใดบ่นว่าเรื่อง “ผอมไป” อีกเลย มีแต่คนพูดว่า หุ่นดี เฟิร์มแล้ว แข็งแรงมาก สวยขึ้น(สวยกว่าตอนที่ผอมมากๆ ต้องวงเล็บไว้หน่อย เดี๋ยวเวอร์เกินไป) ….ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็เป็นปลื้มนะซิ จะมีอะไร!
เรื่องราวทั้งหลายที่เล่าให้ฟัง ยังไม่สิ้นสุดค่ะ เพราะยังไม่ได้จี้เนื้องอกที่ตับ ยังไม่ทราบสิ่งที่จะเกิดต่อไป แต่ไม่ว่าจะเกิดผลดีหรือร้ายอย่างไร ใจดิฉันก็ยอมรับได้กับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นอยู่แล้ว ไม่กังวลถึงอดีต ไม่ห่วงอนาคต เรื่องจริงในชีวิต ไม่ได้จบลงง่ายๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ยังต้องเดินทางต่อไป ไม่ว่าหนทางนั้นจะเป็นเช่นไร ครองสติและความรู้สึกตัวไว้ ทำให้ดีที่สุดต่อสถานการณ์นั้นๆ ด้วยใจที่ยอมรับผลอันอาจเกิดขึ้นได้ในทุกกรณี
การเล่าเรื่องราวต่างๆนี้ ไม่ต้องการบอกสิ่งใดมากไปกว่า เรื่องความสัมพันธ์กันอย่างยิ่งของ “กาย” กับ “ใจ” ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เหตุการณ์ใด ทุกครั้งที่เกิดการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ให้น้อมกลับเข้ามาดูที่ใจของคุณ เมื่อเห็นบ่อยๆเข้า จิตจะเรียนรู้ได้เองว่า ทุกสิ่งเมื่อมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่มีเรื่องใดเหตุใด คงที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นเพียงเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ทั้งสิ้น!
ด้วยจิตปรารถนาดี
เบญจรัตน์…..(แม่แจ๋ว ของลูก)
อ่านเรื่องนี้จบแล้ว เห็นว่าพอมีประโยชน์บ้าง บอกต่อนะคะ
ยังมีเรื่องที่เขียนโดยแม่แจ๋ว อีก 2 เรื่องค่ะ คือ
- เรื่อง “แม่ช่างคุย” มี 3 เล่ม 25 เรื่องราว เป็นเรื่องสนุกๆเกี่ยวกับลูกๆ ตั้งแต่ยังเล็ก จนถึงวัยรุ่น การแก้ไขปัญหาของลูกๆตามแบบฉบับของแม่แจ๋ว เรื่องนี้พิมพ์ตลอดมาเกือบยี่สิบปีแล้วค่ะ
- เรื่อง “น้องรักจากไป” เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับน้องชายคนสุดท้องที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก ตายเมื่อ อายุ 52 ปี เรื่องนี้พิมพ์มาตลอดเกือบสิบปีแล้วค่ะ
แจกฟรีทุกเรื่องค่ะ
Leave a Reply